JJNY : ฮามาสปล่อยคลิปเล็งเป้า│‘เคเอ็นยู’ระเบิดสะพานใหญ่ทิ้ง│วิพากษ์พิมพ์เขียว ‘ส.ส.ร.’│‘แบงก์ชาติ’ค้านแจกเงินช่วยชาวนา

กลุ่มฮามาสปล่อยคลิปเล็งเป้ายิงสังหารอิสราเอลในกาซา
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/210616

กลุ่มฮามาสได้เผยแพร่คลิปวิดีโอที่กลุ่มนักรบเล็งเป้าหมายการโจมตีไปที่กลุ่มทหารของอิสราเอล ก่อนที่จะลั่นไกปืนใส่
 
กลุ่มติดฮาวุธฮามาส เผยแพร่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (18 พ.ย.) โดยในคลิปวิดีโอระบุว่า กองกำลังกลุ่มอัลกอสซาม ซึ่งหนึ่งในกองพลย่อยของกลุ่มฮามาสได้ใช้ปืนเล็งไปที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งมีทหารอิสราเอลอยู่ด้านใน ก่อนจะลั่นไกปืนใส่ และอีกคลิปหนึ่งที่อ้างว่าเป็นภาพระหว่างที่กลุ่มติดอาวุธฮามาสโจมตีทหารอิสราเอล  อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นที่ไหน และเมื่อไหร่ เนื่องจากสำนักข่าวรอยเตอร์สไม่สามารถตรวจสอบได้

ขณะที่ ทางฝั่งกองทัพอิสราเอลได้แพร่คลิปวิดีโอการโจมตีในกาซาเมื่อวานนี้ (17 พ.ย.) โดยคลิปวิดีโอดังกล่าวระบุว่า เป็นภาพของกองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดใส่สถานที่ผลิตอาวุธสำคัญในกาซา ซึ่งมีอาวุธของกลุ่มญิฮาดอิสราเอลปาเลสไตน์ในฉนวนกาซารวมอยู่ด้วย และอาคารหลังนี้ตั้งอยู่ใกล้โรงพยาบาลมิตรภาพตุรกี-ปาเลสไตน์ และศาล
 
ทั้งนี้ แถลงการณ์ของกองทัพอิสราเอลระบุว่า การกวาดล้างอาวุธของกลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ได้พบชิ้นส่วนจรวด Badr-3 ,อากาศยานไร้คนขับหรือยูเอวี, ชิ้นส่วน และวัสดุอื่นๆ ภายในอาคารด้วย 
 
การสู้รบที่ทวีความรุนแรงระหว่างกองทัพอิสราเอล และกลุ่มติดอาวุธฮามาสในกาซา ทำให้ผู้คนต้องอพยพหนีตายกันชุลมุน  โดยนี่คือภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดจาก Maxar Technologies ที่เผยแพร่เมื่อวานนี้ จากภาพจะเห็นว่า ผู้คนจำนวนมากอยู่บนท้องถนนทางตอนใต้ของกาซา และพยายามหนีออกจากพื้นที่ดังกล่าว สงครามที่เข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 ทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมสำหรับผู้อยู่อาศัยในกาซาราว 2.3 ล้านคนกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น
 
ขณะที่ เมื่อคืนที่ผ่านมามีรายงานพบเห็นลูกไฟหลายลูกผุดขึ้นมาเหนือท้องฟ้าในฉนวนกาซาในยามค่ำคืน ขณะที่กองทัพอิสราเอลยังคงเดินหน้าเปิดปฏิบัติการต่อไปในพื้นที่ที่มีการสู้รบ พร้อมประกาศโจมตีเป้าหมายของกลุ่มติดอาวุธฮามาสทุกที่ รวมถึงทางตอนใต้ของฉนวนกาซาด้วย อิสราเอลให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำลายล้างกลุ่มติดอาวุธฮามาสที่ควบคุมฉนวนกาซา นับตั้งแต่กลุ่มนักรบฮามาสเปิดฉากสังหารผู้คนในอิสราเอลไป 1,200 ราย และจับตัวประกันไปอีก 240 คน 
 
สถานการณ์ล่าสุดพบทหารอิสราเอลยังคงปฏิบัติการภาคพื้นดินอยู่ทั่วพื้นที่ทางตอนเหนือ รวมถึง ในโรงพยาบาลอัล-ชิฟา โรงพยาบาลใหญ่ที่สุดของฉนวนกาซา ทั้งนี้อิสราเอลเชื่อว่าโรงพยาบาลดังกล่าวถูกกลุ่มฮามาสใช้เป็นหน่วยบัญชาการใต้ดิน และควบคุมตัวประกันไว้ที่นั่น หลังจากพบศพของตัวประกัน 2 รายในอาคารใกล้กับบริเวณโรงพยาบาลดังกล่าว
 
อย่างไรก็ตาม เอซซัต เอล ราชก์ สมาชิกอาวุโสของกลุ่มฮามาสในกาตาร์ ได้ปฏิเสธข้อครหาของอิสราเอล พร้อมยืนยันว่ามีเพียงแค่ตัวประกันบางคนเข้ารับการรักษาที่นั่น และไม่ได้ถูกควบคุมตัวแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังวิพากษ์วิจารณ์อิสราเอลว่า พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อใช้เป็นเหตุผลในการโจมตีโรงพยาบาลอัล-ชิฟาและโรงพยาบาลอื่นๆ
 
นับตั้งแต่สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสปะทุ ยอดผู้เสียชีวิตในฉนวนกาซา เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 12,000 คนแล้ว ในจำนวนนี้เป็นเด็กราว 5,000 คน ขณะที่โรงพยาบาล 35 แห่ง ซึ่งตกอยู่ในการปิดล้อมของอิสราเอล ตอนนี้มี 26 แห่งที่หยุดการให้บริการ เนื่องจากได้รับความเสียหายจากการทิ้งระเบิดโจมตี และเชื้อเพลิงไม่เพียงพอ 
 
ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แสดงความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคต่างๆ  ในกาซา เนื่องจากความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสงคราม ส่งผลทำให้ผู้คนจำนวนมาก ซึ่งรวมตัวกันในศูนย์พักพิง ขาดแคลนอาหาร และน้ำสะอาด รายงาน WHO ยังระบุว่าด้วยว่า ล่าสุดพบผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันแล้วกว่า 70,000 คนและผู้ป่วยโรคท้องร่วงกว่า 44,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าคาดการณ์
 


เมียนมาปะทุหนัก ‘เคเอ็นยู’ ระเบิดสะพานใหญ่ทิ้ง ห่างเมืองมะละแหม่ง 35 กม.
https://www.matichon.co.th/region/news_4288799

เมียนมาใกล้วิกฤตแล้ว ทหารเคเอ็นยูระเบิดสะพานใหญ่เชื่อมอำเภอ ห่างจากมะละแหม่ง 32 กม.
 
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวรายงานจากชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.ตาก ว่า ทหารสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) จำนวน 4 กองพัน สังกัดกองพลที่ 6 ด้านใต้ อ.แม่สอด จ.ตาก ได้ปฏิบัติการทางทหารระเบิดสะพานเชานะคั่วะ หมู่บ้านเชานะคั่วะที่ อ.จ้ายเมียว จ.มะละแหม่ง รัฐมอญ ประเทศเมียนมา ห่างเมืองละแหม่ง 35 กิโลเมตร
 
ทั้งนี้ หลังฝ่ายกะเหรี่ยงได้โจมตีฐานทหารเมียนมา กองพล 22 ซึ่งเฝ้าระวังสะพานดังกล่าวจนสามารถยึดสะพานดังกล่าวได้เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2566 และควบคุมพื้นหมู่บ้านเชานะคั่วะได้มาจนถึงวันนี้
 
โดยที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่าย มีการปะทะกันอย่างหนัก ทำให้ทหารเมียนมาเสียชีวิตจำนวนมาก และมีการมอบตัวอีกจำนวนมาก การควบคุมพื้นที่ดังกล่าวของฝ่ายกะเหรี่ยง ทหารเมียนมาไม่สามารถเข้ามายึดพื้นที่สะพานคืนได้ เพราะไม่มีกำลังทหาร และเกิดศึกหลายด้านในปัจจุบันนี้
 

 
นักวิชาการวิพากษ์ พิมพ์เขียว ‘ส.ส.ร.’
https://www.matichon.co.th/politics/politics-in-depth/news_4288116

นักวิชาการวิพากษ์
พิมพ์เขียว‘ส.ส.ร.’
 
หมายเหตุ – ความเห็นของนักวิชาการถึงรูปแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งข้อเสนอที่มาของส.ส.ร.เคยมีการเสนอออกมาคร่าวๆ อาทิ เลือกตั้งแบบมีจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง เลือกตั้งแบบมีประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง เลือกตั้งผสมกับการแต่งตั้ง และแต่งตั้งทั้งหมด เพื่อมายกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
 
เอกพลณัฐ ณัฐพัทธนันท์
ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
 
การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรจะมีความยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก เพื่อให้ได้เสียงสะท้อนจากประชาชนจริงๆ ว่าเขาอยากจะได้รัฐธรรมนูญแบบไหน โดยหลักการปกติควรที่จะเลือกตั้ง สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน่าจะทำ เพราะสามารถอ้างอิงความยึดโยงกับประชาชนได้ดีกว่า เหมือนกับการที่เราได้ตัวแทนของประชาชนเข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญ
 
เมื่อมองโมเดลคณะกรรมการศึกษาแนวทางในการทำประชามติ ที่ได้รับข้อเสนอให้พิจารณาว่า “เลือกตั้ง” ส.ส.ร.บางส่วน หรือ “การคัดสรร” คนจากกลุ่มต่างๆ เข้ามาร่วมนั้น หากดำเนินการโดยการเลือกตั้งบางส่วนและมีการคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญเข้ามามีส่วนในการร่าง ก็จะได้ความเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่อาจจะไม่ได้มีเนื้อหาตามที่ประชาชนต้องการ เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญก็จะมีวาระที่ตนเองผลักดันอยู่ ซึ่งมันมีข้อดี-ข้อเสียต่างกัน แต่ถ้าพูดถึงตัวแทนของประชาชนโดยทั่วไป คนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง ก็น่าจะดีกว่า
 
หากเราจะดำเนินการ โดยการคัดเลือกคนจากกลุ่มต่างๆ เพื่อให้มีความแตกต่างหลากหลาย เช่น กลุ่มคนพิการ กลุ่มคนที่มีหลากหลายทางเพศ ผู้หญิง กลุ่มชาติพันธุ์ ก็ควรที่จะมีการกำหนดโควต้าสัดส่วน เราควรจะให้โอกาสคนที่เสียงเบากว่าคนอื่น หมายความว่า ประชาชนควรที่จะมีตัวแทนของเขาไปนั่ง เพราะถ้าเกิดเราเอาเฉพาะคนที่มีปากมีเสียงอยู่แล้วเข้าไป มันก็จะทำให้ตัวรัฐธรรมนูญที่ออกมามีปัญหาว่าไม่สามารถตอบโจทย์คนธรรมดาทั่วไปที่เขาไม่ได้มีอำนาจมากนักในสังคม
 
ฉะนั้น ผมมองว่าหากต้องใช้เกณฑ์ในการคัดสรรเลือกคนเข้าไป ก็ต้องร่างตัวแบบมาก่อนว่า ควรกำหนดโควต้าให้คนกลุ่มใด เข้ามามีที่นั่งตรงนี้บ้าง แล้วมีเหตุผลอะไรบ้างสำหรับการมานั่งตรงนี้ อย่างน้อยเพื่อทำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มาพิจารณาก่อนว่า โมเดลที่เขาสร้างขึ้นมานั้นครอบคลุมคนทุกฝ่ายจริงหรือไม่ แล้วมีสัดส่วนที่สามารถเป็นปากเป็นเสียง มีน้ำหนักพอหรือไม่ เป็นสิ่งที่เขาควรจะทำให้ชัดเจนเสียก่อน หากจะใช้วิธีการคัดสรร
เหมือนอย่างที่เราเคยทำมา ตอนรัฐธรรมนูญปี 2540 เราเคยมีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา หากเราใช้โมเดลการเลือกตั้ง ส.ส.ร.จากตัวแทนพื้นที่แต่ละจังหวัด เพื่อที่จะให้ ส.ส.ร.เข้าไปในสภา คนเหล่านี้จะรวบรวมประเด็นในพื้นที่ตัวเองเข้ามาถกเถียงในตัวสภาร่าง ซึ่งก็จะทำให้เห็นถึงรูปธรรมที่เราเคยทำมา คิดว่าน่าจะใช้งานได้ ควรที่จะเอามาดูต่อว่า เราควรจะเอามาใช้งานต่อ หรือปรับเพิ่มเติมอย่างไร ซึ่งอย่างน้อยเราควรรักษามาตรฐาน ไม่ให้ต่ำไปกว่ารัฐธรรมนูญ 2540
 
ส่วนตัวมองปัญหาของการคัดสรร ส.ส.ร.เข้ามา คือประชาชนมักจะไม่รู้ว่าคนเหล่านี้เป็นใคร แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ากติกาการอยู่ร่วมกันในสังคม ที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” เป็นกติกาที่เรายอมรับได้ ซึ่งเราไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเลย อยู่ดีๆ ก็มีคนร่างขึ้นมา ถ้าหากว่าเปรียบเทียบกันแล้ว รัฐธรรมนูญปี 2540 ก็น่าจะเป็นโมเดลที่เราควรปรับไปใช้ แล้วทำให้เกิดความครอบคลุมมากขึ้นอีกทั้ง การคัดเลือกตัวคนที่มีความแตกต่างของวิชาชีพ จะมีการมองว่ามีคนกลุ่มไหนมากน้อยเพียงใด แล้วทำให้คนเหล่านี้มีตัวแทนของเขาเข้าไป ส่วนหนึ่งก็จะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องต่างๆ ทางการเมืองและกฎหมาย เป็นต้น ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นการกำหนดวิถีพื้นฐานการอยู่ร่วมกันของผู้คน การที่จะคัดเลือกผู้เชี่ยวชาญ จึงต้องครอบคลุมไปทุกมิติของสังคมว่า กติกาอะไรบ้างที่เราต้องเข้ามาเขียนร่วม เพื่อทำให้คนมาอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีปัญหาความขัดแย้งบานปลาย และเกิดข้อพิพาทที่รุนแรง
 
เราต้องมาดูกันอีกทีว่ากลุ่มวิชาชีพที่เราคิดว่าควรจะไปอยู่นั้น เป็นตัวแทนกลุ่มอะไรบ้าง ซึ่งผมคิดว่าตัวรัฐธรรมนูญที่ผ่านมามีโมเดลเหล่านี้ค่อนข้างเยอะ ที่เปิดช่องให้คนกลุ่มต่างๆ ไปคัดเลือกกันเอง แต่ว่ามันไม่ค่อยเวิร์ก อย่างที่เราเห็นมาคือคนที่เขาเสนอกันไป จะเป็นคนที่มีอิทธิพล เนื่องจากมักมีการเสนอชื่อคนที่เป็นที่รู้จัก กลายเป็นคนหน้าเดิม ซึ่งรัฐธรรมนูญเหล่านั้นก็มีปัญหามาตลอด มันจะทำให้โมเดลแบบนี้วนอยู่กับที่ เราคงไม่เสนอชื่อคนที่เราไม่รู้จัก แต่จะเสนอคนที่เรามีข้อมูล ทำให้คนขอบเขตคนที่เราเสนอชื่อเข้าไปนั้นแคบลงเรื่อยๆ
 
เขาควรจะทำประชามติไปเลยว่า ควรร่างทั้งฉบับหรือไม่ ควรคัด ส.ส.ร.หรือเลือกตั้ง สามารถที่จะทำคำถามเบื้องต้นก่อนได้ เพื่อให้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่ใช่เราทำไปเรื่อย สอบถามความเห็นคนแล้วไม่ได้ตั้ง ส.ส.ร.สักที
 
วีระ เลิศสมพร
คณะรัฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา

การสรรหาสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ควรมาจากเลือกตั้งหรือแต่งตั้งนั้น ส่วนตัวมองว่าทั้ง 2 ทางมีทั้งข้อดีและข้อเสียคนละแบบ สมัยก่อนหน้านี้มีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 เป็นการแต่งตั้ง ส.ส.ร.ทั้งหมด ไม่มีการเลือกตั้งเลย ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ข้อดีคือ มีการกำหนดสัดส่วนเลือกตั้ง ส.ส.ร.ประจำจังหวัดขึ้นมา แต่ก็ยังผสมสัดส่วนของการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิทั้งฝ่ายนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ เข้ามาด้วยในช่วงนั้น ที่จำได้เป็นการแต่งตั้งอรหันต์ ส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ
 
พอมาในยุคปัจจุบัน ส่วนตัวมองว่าสามารถออกไปได้ 2 แนวทาง ขึ้นอยู่กับว่าที่กำหนดให้ออกไปแนวทางไหน ซึ่งจะต้องมีการสอบถามประชามติด้วยว่า หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องแก้ไขทั้งฉบับหรือไม่ รวมทั้งต้องมีการถามด้วยว่าการตั้ง ส.ส.ร.จะเป็นในแบบสัดส่วนผสม หรือแบบเลือกตั้งทั้งหมด หากเป็นการผสมสัดส่วน ข้อดีคือจะได้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย หรือนักวิชาการนั่นเอง
 
เมื่อมองในมุมข้อเสีย หากมีใบสั่งหรือการชี้นำ จากเบื้องหลังการได้มาของ ส.ส.ร.แบบแต่งตั้ง ทำให้มีโพยตั้งไว้ล่วงหน้าที่ต้องการจะให้ร่างเนื้อหาออกมาแบบไหน ซึ่งมีลักษณะแบบนี้ในอดีต และในครั้งนี้จะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั้งหมด อยากให้ลองดูจะได้ไม่ต้องมีสัดส่วนของการแต่งตั้ง ส่วนทิศทางหรือเนื้อหา ส.ส.ร.จะเป็นอย่างไร ในแง่ของผมหากเป็นการเลือกตั้ง ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะเราเคยผ่านในสิ่งที่เป็นปัญหามาแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่ามันไม่ได้เป็นธรรมาภิบาล 100 เปอร์เซ็นต์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่