บันทึกของคนบ้า
ในขณะที่กำลังอ่านบันทึกของผมฉบับนี้ หมอคงอาจหลงคิดไปว่าตัวเองกำลังนั่งอ่านนิยายแฟนตาซีอยู่ ตอนนี้อาจจะกำลังหัวเราะจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้ คำว่า ‘ไอ้บ้า’ หรือไม่ก็ ‘คนบ้า’ คงจะผุดขึ้นมาในหัวสมอง แบบแทบไม่ต้องเสียเวลาให้คิด ให้จินตนาการเลยใช่ไหมครับ
ผมรู้ว่าหมอต้องเป็นอย่างนั้น ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นละ แต่...ทั้ง ๆ ที่รู้ ผมก็ยังอยากให้หมอได้อ่าน ยังอยากจะบอกใครสักคนที่พร้อมจะเปิดใจ และพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ของผมอยู่ดี
หมอคงไม่รู้ หรือถ้ารู้ก็คงนึกภาพไม่ออก ว่าอันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ ที่เดินดินกินข้าวแกงเหมือนอย่างคนปกติทั่ว ๆ ไปนั่นละครับ
ตื่นตอนแต่เช้าตรู่ นั่งสัปหงกบนรถสาธารณะเพื่อไปทำงานให้ทันเวลา ขังตัวเองอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าออฟฟิศ ตีตรวนตัวเองไว้กับโต๊ะทำงานในคอกเล็ก ๆ รอให้หมดวัน และเดินทางกลับที่พัก เพื่อที่จะขังตัวเองต่อในห้องพักของตัวเอง
ไม่ได้สะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ หรือขัดสนในเรื่องการใช้ชีวิตเลยสักนิด
ออกจะเรียบง่ายจนดูน่าเบื่อไปด้วยซ้ำ สำหรับใครบางคนที่ชอบใช้ชีวิตให้มีสีสัน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นอย่างผม ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ
ใช่...ผมคิดแบบนั้น แต่นั่นก็แค่จนถึงวันที่ผม ได้บังเอิญไปอ่านเจอบทความวิชาการเจ๋ง ๆ บทหนึ่งเข้าให้นั่นละ
แต่เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนครับ ก่อนที่หมอจะฟัง อ้อ ไม่สิ ก่อนที่หมอจะอ่านต่อ ผมอยากขออะไรหมอสักอย่างหนึ่งก่อน หมออย่าถามเชียวนะ ว่าบทความที่ผมอ่านมาน่ะ เป็นทฤษฎีอะไรหรือเป็นทฤษฎีของใคร ผมไม่รู้และก็จำไม่ได้หรอกครับ
ก็ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่ครับ...
“เราไม่สามารถวัดคุณสมบัติและตำแหน่งได้อย่างแม่นยำพร้อม ๆ กัน หากเราเลือกที่จะวัดคุณสมบัติ ก็ไม่อาจรู้ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ และแน่นอนว่า...ถ้าหากเราเลือกที่จะวัดตำแหน่ง เราไม่อาจรู้คุณสมบัติที่ถูกต้องได้เช่นกัน”
ในหนังสือที่ผมอ่าน ไม่ได้เขียนข้อความที่ดูไร้ความสละสลวยสวยงาม และปราศจากชั้นเชิงแบบนี้หรอกนะครับ ต้องขออภัยอีกครั้งที่หากหมออ่านแล้ว จะทำให้รู้สึกขัดใจไปบ้าง ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อไม่กี่บรรทัดก่อนนั่นละครับ ก็ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่ จำได้แค่นี้ก็น่าจะพออนุโลมกันได้ใช่ไหมล่ะครับ
เข้าเรื่องกันต่อดีกว่า...
หมอเชื่อไหม แค่บทความสั้น ๆ ประโยคนี้ประโยคเดียว แต่มันเวิร์คครับ ทันทีที่ผมอ่านจนจบ ก็คล้ายกับมีใครจุดคบเพลิงขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นเขาคนนั้นก็วิ่งถือคบเพลิงนั้นมา จุดดวงไฟแห่งปัญหาและการตื่นรู้ให้แก่ผมอีกต่อหนึ่ง
ฟังดูเว่อร์ไปใช่ไหมครับ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ
ผมฉุกคิดถึงการใช้ชีวิตที่ผ่าน ๆ มาของตัวเอง เพราะผมมัวแต่ยึดติดอยู่กับสถานะและตัวตน เฝ้าคิดถึงแต่เรื่องของความอยู่รอดให้พ้นไปวัน ๆ เอาแต่คอยเหนี่ยวรั้งชีวิตอยู่แต่กับการเป็นพนักงานออฟฟิศ ยึดมันไว้แน่นอยู่อย่างนั้น ผมก็เลยไม่สามารถพาตัวเองให้หลุดออกจากตำแหน่งเดิม และก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งของเวลาได้เสียที
หมอครับ...หมอเชื่อไหม เสี้ยววินาทีที่เรื่องนี้แวบเข้ามาในสมอง บางสิ่งบางอย่างของผมก็เปลี่ยนแปลงไป ผมรับรู้ได้ สัมผัสได้ ว่าผมเริ่มปลดปล่อยตัวเอง ให้ข้ามพ้นสิ่งที่เรียกว่าสถานะและตัวตนที่เป็นอยู่ และในเสี้ยววินาทีถัดจากเสี้ยววินาทีนั้น ผมก็ค้นพบว่า ผมสามารถเป็นอะไรก็ได้
เอาละ อ่านมาถึงตรงนี้ หมอก็น่าจะเดาออกใช่ไหมครับ ว่าผมจะทำอะไรต่อไป ใช่ครับ หมอเดาถูก เป็นอย่างที่หมอคิดนั่นละครับ ผมรู้...เพราะผู้รู้ว่าหมอก็คิดเหมือนกันกับผม
พอผมเลิกยึดติดกับตำแหน่งที่อยู่ของตัวเอง ผมก็พบว่าตัวเองสามารถไปที่ไหนก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา หรือจะเป็นทุกที่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ เป็นปกติเลยทีเดียว
ในขณะที่เพื่อนหน้าเดิม ๆ เห็นผมกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ ผมก็กำลังแบกถุงปูนอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง
ในขณะที่ชนชั้นสูงซึ่งเห็นเงินหลักล้านเป็นแค่เพียงเศษเงิน กำลังนั่งละเลียดตับห่านเลิศรส ซึ่งผ่านการปรุงด้วยความพิถีพิถันมาอย่างดี โดยฝีมือของผมในฝรั่งเศส ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมกำลังนั่งเรียบเรียง คิดค้นทฤษฎีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำมันไปใช้กับยานอวกาศ ซึ่งกำลังจะถูกส่งไปสำรวจกาแลกซี่อันโดรเมด้า ในอนาคตอันใกล้อยู่ที่องค์การนาซ่า
เมื่อไม่วัดคุณสมบัติและตำแหน่ง ผมก็จะไม่เป็นอะไรสักอย่าง ไม่อยู่ที่ได้เลยสักแห่ง และนั่นก็เท่ากับว่าผมจะเป็นอะไรก็ได้ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ใช่ไหมล่ะครับหมอ ถึงคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้จะไม่เข้าใจ เพราะมันขัดต่อสามัญสำนึกของคนปกติไปไกลโขแบบกู่ไม่กลับ แต่ผมรู้ว่าหมอเข้าใจ
ทนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้ หากไม่คิดคล้อยตาม หมอก็คงจะเชื่อหมดใจว่าผมบ้าเต็มขั้นแน่ ๆ ใช่ไหมครับ เอาเถอะ...ผมเองก็ไม่ได้หวังว่า จะให้หมอเชื่อสิ่งที่ผมเขียนในทันทีทันใดหรอกนะครับ แต่หากถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากจะขอให้หมอลองเปิดใจอีกนิด พิจารณาแล้วคิดตามให้ละเอียดอีกหน่อย
อ้อ เติมความเชื่อ เพิ่มทางเลือก เปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ทั้งหมดด้วยก็ยิ่งดี
สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง หรือไม่มีทางเกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะครับ ก็เหมือนอย่างออกซิเจนที่เรา ๆ ใช้หายใจกันนั่นละครับ เรามองไม่เห็น และเมื่อก่อนก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่มันก็มีอยู่จริงและถูกพิสูจน์ว่าเป็นอย่างนั้นในอีกหลายร้อยหลายพันปีให้หลัง
ผมอยากให้หมอลองเตรียมใจถึงขั้นนั้น แล้วลองก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งการรับรู้เส้นนั้น มาพบกับผมในโลกฝั่งนี้ โลกที่หมอจะไม่มีวันได้พบเลย หากยังไม่ก้าวผ่านความปกติสามัญในตลอดชีวิตที่ผ่าน ๆ มา
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกกับหมอว่า อยู่ที่นี่ผมมีความสุขดี แต่ผมคงต้องไปแล้ว เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากทำและอยากรู้ แต่หากมีเวลาหรือวาสนาต่อกัน พวกเราสองคนคงได้กลับมาพบกันอีกนะครับ
สวัสดีและลาก่อน...
ผมปิดบันทึกของคนไข้ที่ถืออยู่ในมือ หลังจากได้อ่านมันวนไปวนมาแล้วหลายรอบ แล้วก็โยนมันทิ้งไปรวมกับแฟ้มของคนไข้รายอื่น ๆ ที่กองสุมอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง เอนทิ้งน้ำหนักของแผ่นหลังลงไปกับพนักพิงนุ่มนิ่ม หลับพักสายตาและใช้สองนิ้วคลึงนวดขมับเบา ๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายอารมณ์
“ท่าจะบ้าจริง ๆ ไม่สิ...อย่างนี้ต้องเรียกว่า บ้าจนกู่ไม่กลับมากกว่า” ผมพูดลอย ๆ ออกมา คล้ายคุยอยู่กับอากาศธาตุรอบตัว
นึกไปถึงวันที่ได้พบกับคนไข้รายนี้เมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเขาอยู่ในห้องโกโรโกโส ที่ภายในนั้นแทบไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเลย ด้วยท่านั่งขัดสมาธิที่นอกจากจังหวะหายใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรขยับไหวติงให้ได้เห็น ไร้การตอบสนองใด ๆ ไม่ว่าจะพยายามพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่
ทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับตัวของเขาจึงค่อนข้างจำกัด และแทบจะทั้งหมดที่รู้ ก็มาจากบันทึกเล่มนี้ที่วางอยู่ใกล้ ๆ กันกับตัวของเขาเท่านั้น
ตั้งแต่พาชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยปริศนามาที่นี่ ก็มีเรื่องให้น่าแปลกใจและชวนสงสัยอยู่ไม่น้อย เขาแทบจะไร้การตอบสนอง ร่างกายแทบไม่ขยับเลยสักนิด เขานั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน แต่ร่างกายของเขาก็ยังกลับเป็นปกติดี แถมสีหน้าผิวกายดูเหมือนจะสดใสเปล่งปลั่งขึ้นด้วยซ้ำ
หรือว่าเรื่องในบันทึกเล่มนี้มันจะเป็นเรื่องจริง...รู้ทั้งรู้ว่ามันก็แค่เรื่องบ้า ๆ แต่สิ่งที่ได้ประจักษ์กับตา ก็ทำให้บางครั้งผมอดที่จะคิดแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ
แน่ละ ใครจะไปเชื่อลง เรื่องแบบนี้มันบ้าเกินไป และเรื่องที่บ้าจนหลุดโลกอย่างนี้ ก็คงจะมีแต่คนที่บ้าเข้าขั้นเท่านั้นที่จะเข้าใจ ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่ผมอย่างแน่นอนที่สุด
อาการของคนไข้ที่พอจะคิดได้ในเวลานี้ก็คงมีเพียง เขาเจอเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจอะไรสักอย่าง จนทำให้จิตหลุด เจ็บปวดจนล่องลอยเพ้อฝันอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ไม่อาจกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้...ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านี้
ส่วน...เรื่องที่เขาไม่กินไม่ดื่ม ก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องที่ต้องค้นหาคำตอบ และทำความเข้าใจตามหลักวิทยาศาสตร์ต่อไป
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง หันไปมองก็พบว่าเป็นนางพยาบาลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ที่เปิดประตูและก้าวเท้าเข้ามา
“ได้เวลาตรวจคนไข้ที่ห้องสี่ศูนย์สองแล้วค่ะ หมอ”
เสียงหวาน ๆ ของเธอ ทำให้ผมต้องชำเลืองมองนาฬิกาแขวนผนัง ใกล้ถึงเวลาตรวจอาการรอบเที่ยงแล้ว นี่ผมใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองไปนานขนาดนี้เชียว พยักหน้าให้เธอเป็นเชิงรับรู้ ทำเป็นหยิบจับอะไรต่ออีกนิดหน่อย จึงค่อยเดินตามกันออกมาเพื่อไปหาคนไข้ห้องนั้น ซึ่งก็คือคน ๆ เดียวกันกับผู้ที่เขียนบันทึกพิลึกโลก ที่ผมเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่นั่นเอง
“วันนี้อาการของคนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“เหมือนวันก่อน ๆ ค่ะ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ขยับ”
ผมถามพยาบาลสาวสวยที่กำลังเดินอยู่ด้วยกันไปตามหน้าที่ เพราะถึงอย่างไรผมก็รู้อยู่แล้ว ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหนกลับมา
เราสองคนเดินกันต่อเงียบ ๆ อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสี่ศูนย์สอง อันเป็นจุดหมายปลายทาง น้องพยาบาลคนสวยเคาะประตูให้ผู้ที่อยู่ภายในได้รับรู้ รอเธอเปิดมันออกและก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ผมจึงค่อยเดินตามเข้าไปบ้าง
และแล้วความประหลาดใจชวนพิศวงก็พุ่งเข้าจู่โจมใส่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เมื่อภายในห้องที่ควรจะมีร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่อย่างเช่นทุกวัน กลับว่างเปล่าปราศจากแม้เงาหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นใด
“หมอ...หมอคะ คนไข้ คนไข้หายไปไหน”
สีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่แสดงออกว่าตื่นตระหนกของเธอ ทำเอาผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีตามขึ้นมาด้วย สมองที่กำลังอยู่ในสภาวะกึ่งแสตนบายด์เริ่มทำงานและพยายามประมวลผลอีกครั้ง
เขาไปไหน สวนหย่อมหน้าโรงพยาบาล ในห้องน้ำ ห้องตรวจ...ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ ก็เขาไม่เคยขยับตัวออกจากจุดเดิม หรือแม้แค่เพียงเปลี่ยนอิริยาบทเลยด้วยซ้ำ
หรือว่าจะมีญาติมาหา พาไปเดินเล่น หรือไม่ก็พาเขากลับบ้านไปแล้ว...อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยมีใครมาแสดงตัวเป็นญาติหรือคนรู้จักของเขาเลย แล้วถ้ามีคนมารับตัวคนไข้กลับ ผมซึ่งเป็นเจ้าของเคสย่อมต้องรู้สิ
แล้วเขาหายไปไหน หายไปได้อย่างไรกันล่ะ...
ในเสี้ยววินาทีที่ทุกความเป็นไปได้ค่อย ๆ คลี่กางออกให้ได้เห็น ข้อความจากบันทึกซึ่งเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่ก็โลดแล่นเข้ามาในหัวสมอง ฉับพลัน...ก็คล้ายสะเก็ดไฟที่ถูกจุดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นมันก็ลุกลามจนขยายใหญ่ ปกคลุมไปทั่วห้องแห่งมโนสำนึกอย่างรวดเร็วเกินการรับรู้
“หมอ หมอคะ”
ได้ยินเสียงพยาบาลสาวเรียกไม่ขาดปาก ทว่ามันค่อย ๆ เลือนรางเบาบางลงไปทีละน้อย จนกระทั่งเงียบหายไป สีสันรอบกายจืดจางลงจนกลายเป็นสีขาวเสมอกันทั้งหมด แล้วร่างหนึ่งก็กลับผุดแทรกออกมาจากความเวิ้งว้างว่างเปล่านั้น
อา...เขาอยู่ที่นี่นี่เอง ในที่สุดผมก็ตาหาตัวจริงของเขาจนพบได้เสียที
“ผมรู้...รู้อยู่แล้วว่าหมอต้องเข้าใจ ยินดีต้อนรับสู่โลกอีกใบครับ หมอ”
บันทึกของคนบ้า
ในขณะที่กำลังอ่านบันทึกของผมฉบับนี้ หมอคงอาจหลงคิดไปว่าตัวเองกำลังนั่งอ่านนิยายแฟนตาซีอยู่ ตอนนี้อาจจะกำลังหัวเราะจนแทบหงายหลังตกเก้าอี้ คำว่า ‘ไอ้บ้า’ หรือไม่ก็ ‘คนบ้า’ คงจะผุดขึ้นมาในหัวสมอง แบบแทบไม่ต้องเสียเวลาให้คิด ให้จินตนาการเลยใช่ไหมครับ
ผมรู้ว่าหมอต้องเป็นอย่างนั้น ก็เหมือนกับคนอื่น ๆ นั่นละ แต่...ทั้ง ๆ ที่รู้ ผมก็ยังอยากให้หมอได้อ่าน ยังอยากจะบอกใครสักคนที่พร้อมจะเปิดใจ และพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ของผมอยู่ดี
หมอคงไม่รู้ หรือถ้ารู้ก็คงนึกภาพไม่ออก ว่าอันที่จริงแล้ว ก่อนหน้านี้ผมก็เป็นพนักงานออฟฟิศธรรมดา ๆ ที่เดินดินกินข้าวแกงเหมือนอย่างคนปกติทั่ว ๆ ไปนั่นละครับ
ตื่นตอนแต่เช้าตรู่ นั่งสัปหงกบนรถสาธารณะเพื่อไปทำงานให้ทันเวลา ขังตัวเองอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าออฟฟิศ ตีตรวนตัวเองไว้กับโต๊ะทำงานในคอกเล็ก ๆ รอให้หมดวัน และเดินทางกลับที่พัก เพื่อที่จะขังตัวเองต่อในห้องพักของตัวเอง
ไม่ได้สะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เดือดเนื้อร้อนใจ หรือขัดสนในเรื่องการใช้ชีวิตเลยสักนิด
ออกจะเรียบง่ายจนดูน่าเบื่อไปด้วยซ้ำ สำหรับใครบางคนที่ชอบใช้ชีวิตให้มีสีสัน แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นอย่างผม ก็ถือว่าน่าพอใจแล้วใช่ไหมล่ะครับ
ใช่...ผมคิดแบบนั้น แต่นั่นก็แค่จนถึงวันที่ผม ได้บังเอิญไปอ่านเจอบทความวิชาการเจ๋ง ๆ บทหนึ่งเข้าให้นั่นละ
แต่เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนครับ ก่อนที่หมอจะฟัง อ้อ ไม่สิ ก่อนที่หมอจะอ่านต่อ ผมอยากขออะไรหมอสักอย่างหนึ่งก่อน หมออย่าถามเชียวนะ ว่าบทความที่ผมอ่านมาน่ะ เป็นทฤษฎีอะไรหรือเป็นทฤษฎีของใคร ผมไม่รู้และก็จำไม่ได้หรอกครับ
ก็ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่ครับ...
“เราไม่สามารถวัดคุณสมบัติและตำแหน่งได้อย่างแม่นยำพร้อม ๆ กัน หากเราเลือกที่จะวัดคุณสมบัติ ก็ไม่อาจรู้ตำแหน่งที่ถูกต้องได้ และแน่นอนว่า...ถ้าหากเราเลือกที่จะวัดตำแหน่ง เราไม่อาจรู้คุณสมบัติที่ถูกต้องได้เช่นกัน”
ในหนังสือที่ผมอ่าน ไม่ได้เขียนข้อความที่ดูไร้ความสละสลวยสวยงาม และปราศจากชั้นเชิงแบบนี้หรอกนะครับ ต้องขออภัยอีกครั้งที่หากหมออ่านแล้ว จะทำให้รู้สึกขัดใจไปบ้าง ก็อย่างที่ผมบอกไปเมื่อไม่กี่บรรทัดก่อนนั่นละครับ ก็ผมไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่ จำได้แค่นี้ก็น่าจะพออนุโลมกันได้ใช่ไหมล่ะครับ
เข้าเรื่องกันต่อดีกว่า...
หมอเชื่อไหม แค่บทความสั้น ๆ ประโยคนี้ประโยคเดียว แต่มันเวิร์คครับ ทันทีที่ผมอ่านจนจบ ก็คล้ายกับมีใครจุดคบเพลิงขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นเขาคนนั้นก็วิ่งถือคบเพลิงนั้นมา จุดดวงไฟแห่งปัญหาและการตื่นรู้ให้แก่ผมอีกต่อหนึ่ง
ฟังดูเว่อร์ไปใช่ไหมครับ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ นะ
ผมฉุกคิดถึงการใช้ชีวิตที่ผ่าน ๆ มาของตัวเอง เพราะผมมัวแต่ยึดติดอยู่กับสถานะและตัวตน เฝ้าคิดถึงแต่เรื่องของความอยู่รอดให้พ้นไปวัน ๆ เอาแต่คอยเหนี่ยวรั้งชีวิตอยู่แต่กับการเป็นพนักงานออฟฟิศ ยึดมันไว้แน่นอยู่อย่างนั้น ผมก็เลยไม่สามารถพาตัวเองให้หลุดออกจากตำแหน่งเดิม และก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งของเวลาได้เสียที
หมอครับ...หมอเชื่อไหม เสี้ยววินาทีที่เรื่องนี้แวบเข้ามาในสมอง บางสิ่งบางอย่างของผมก็เปลี่ยนแปลงไป ผมรับรู้ได้ สัมผัสได้ ว่าผมเริ่มปลดปล่อยตัวเอง ให้ข้ามพ้นสิ่งที่เรียกว่าสถานะและตัวตนที่เป็นอยู่ และในเสี้ยววินาทีถัดจากเสี้ยววินาทีนั้น ผมก็ค้นพบว่า ผมสามารถเป็นอะไรก็ได้
เอาละ อ่านมาถึงตรงนี้ หมอก็น่าจะเดาออกใช่ไหมครับ ว่าผมจะทำอะไรต่อไป ใช่ครับ หมอเดาถูก เป็นอย่างที่หมอคิดนั่นละครับ ผมรู้...เพราะผู้รู้ว่าหมอก็คิดเหมือนกันกับผม
พอผมเลิกยึดติดกับตำแหน่งที่อยู่ของตัวเอง ผมก็พบว่าตัวเองสามารถไปที่ไหนก็ได้ ทุกที่ ทุกเวลา หรือจะเป็นทุกที่ในเวลาเดียวกัน ก็ยังเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ที่ทำได้ง่าย ๆ เป็นปกติเลยทีเดียว
ในขณะที่เพื่อนหน้าเดิม ๆ เห็นผมกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศ ผมก็กำลังแบกถุงปูนอยู่ในไซต์งานก่อสร้าง
ในขณะที่ชนชั้นสูงซึ่งเห็นเงินหลักล้านเป็นแค่เพียงเศษเงิน กำลังนั่งละเลียดตับห่านเลิศรส ซึ่งผ่านการปรุงด้วยความพิถีพิถันมาอย่างดี โดยฝีมือของผมในฝรั่งเศส ก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมกำลังนั่งเรียบเรียง คิดค้นทฤษฎีและนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อนำมันไปใช้กับยานอวกาศ ซึ่งกำลังจะถูกส่งไปสำรวจกาแลกซี่อันโดรเมด้า ในอนาคตอันใกล้อยู่ที่องค์การนาซ่า
เมื่อไม่วัดคุณสมบัติและตำแหน่ง ผมก็จะไม่เป็นอะไรสักอย่าง ไม่อยู่ที่ได้เลยสักแห่ง และนั่นก็เท่ากับว่าผมจะเป็นอะไรก็ได้ จะอยู่ที่ไหนก็ได้ใช่ไหมล่ะครับหมอ ถึงคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้จะไม่เข้าใจ เพราะมันขัดต่อสามัญสำนึกของคนปกติไปไกลโขแบบกู่ไม่กลับ แต่ผมรู้ว่าหมอเข้าใจ
ทนอ่านมาจนถึงบรรทัดนี้ได้ หากไม่คิดคล้อยตาม หมอก็คงจะเชื่อหมดใจว่าผมบ้าเต็มขั้นแน่ ๆ ใช่ไหมครับ เอาเถอะ...ผมเองก็ไม่ได้หวังว่า จะให้หมอเชื่อสิ่งที่ผมเขียนในทันทีทันใดหรอกนะครับ แต่หากถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป ผมอยากจะขอให้หมอลองเปิดใจอีกนิด พิจารณาแล้วคิดตามให้ละเอียดอีกหน่อย
อ้อ เติมความเชื่อ เพิ่มทางเลือก เปิดประตูแห่งความเป็นไปได้ทั้งหมดด้วยก็ยิ่งดี
สิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ สิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอยู่จริง หรือไม่มีทางเกิดขึ้นได้ใช่ไหมล่ะครับ ก็เหมือนอย่างออกซิเจนที่เรา ๆ ใช้หายใจกันนั่นละครับ เรามองไม่เห็น และเมื่อก่อนก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่มันก็มีอยู่จริงและถูกพิสูจน์ว่าเป็นอย่างนั้นในอีกหลายร้อยหลายพันปีให้หลัง
ผมอยากให้หมอลองเตรียมใจถึงขั้นนั้น แล้วลองก้าวข้ามผ่านเส้นแบ่งแห่งการรับรู้เส้นนั้น มาพบกับผมในโลกฝั่งนี้ โลกที่หมอจะไม่มีวันได้พบเลย หากยังไม่ก้าวผ่านความปกติสามัญในตลอดชีวิตที่ผ่าน ๆ มา
สุดท้ายนี้ ผมอยากจะบอกกับหมอว่า อยู่ที่นี่ผมมีความสุขดี แต่ผมคงต้องไปแล้ว เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมอยากทำและอยากรู้ แต่หากมีเวลาหรือวาสนาต่อกัน พวกเราสองคนคงได้กลับมาพบกันอีกนะครับ
สวัสดีและลาก่อน...
ผมปิดบันทึกของคนไข้ที่ถืออยู่ในมือ หลังจากได้อ่านมันวนไปวนมาแล้วหลายรอบ แล้วก็โยนมันทิ้งไปรวมกับแฟ้มของคนไข้รายอื่น ๆ ที่กองสุมอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง เอนทิ้งน้ำหนักของแผ่นหลังลงไปกับพนักพิงนุ่มนิ่ม หลับพักสายตาและใช้สองนิ้วคลึงนวดขมับเบา ๆ เพื่อช่วยผ่อนคลายอารมณ์
“ท่าจะบ้าจริง ๆ ไม่สิ...อย่างนี้ต้องเรียกว่า บ้าจนกู่ไม่กลับมากกว่า” ผมพูดลอย ๆ ออกมา คล้ายคุยอยู่กับอากาศธาตุรอบตัว
นึกไปถึงวันที่ได้พบกับคนไข้รายนี้เมื่อเดือนก่อน ตอนนั้นเขาอยู่ในห้องโกโรโกโส ที่ภายในนั้นแทบไม่มีข้าวของเครื่องใช้อะไรเลย ด้วยท่านั่งขัดสมาธิที่นอกจากจังหวะหายใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรขยับไหวติงให้ได้เห็น ไร้การตอบสนองใด ๆ ไม่ว่าจะพยายามพูดคุยด้วยสักเท่าไหร่
ทุกอย่างที่รู้เกี่ยวกับตัวของเขาจึงค่อนข้างจำกัด และแทบจะทั้งหมดที่รู้ ก็มาจากบันทึกเล่มนี้ที่วางอยู่ใกล้ ๆ กันกับตัวของเขาเท่านั้น
ตั้งแต่พาชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยปริศนามาที่นี่ ก็มีเรื่องให้น่าแปลกใจและชวนสงสัยอยู่ไม่น้อย เขาแทบจะไร้การตอบสนอง ร่างกายแทบไม่ขยับเลยสักนิด เขานั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่นอน แต่ร่างกายของเขาก็ยังกลับเป็นปกติดี แถมสีหน้าผิวกายดูเหมือนจะสดใสเปล่งปลั่งขึ้นด้วยซ้ำ
หรือว่าเรื่องในบันทึกเล่มนี้มันจะเป็นเรื่องจริง...รู้ทั้งรู้ว่ามันก็แค่เรื่องบ้า ๆ แต่สิ่งที่ได้ประจักษ์กับตา ก็ทำให้บางครั้งผมอดที่จะคิดแบบนี้ไม่ได้จริง ๆ
แน่ละ ใครจะไปเชื่อลง เรื่องแบบนี้มันบ้าเกินไป และเรื่องที่บ้าจนหลุดโลกอย่างนี้ ก็คงจะมีแต่คนที่บ้าเข้าขั้นเท่านั้นที่จะเข้าใจ ซึ่งนั่นย่อมไม่ใช่ผมอย่างแน่นอนที่สุด
อาการของคนไข้ที่พอจะคิดได้ในเวลานี้ก็คงมีเพียง เขาเจอเรื่องราวกระทบกระเทือนจิตใจอะไรสักอย่าง จนทำให้จิตหลุด เจ็บปวดจนล่องลอยเพ้อฝันอยู่แต่ในโลกของตัวเอง ไม่อาจกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงได้...ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านี้
ส่วน...เรื่องที่เขาไม่กินไม่ดื่ม ก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องที่ต้องค้นหาคำตอบ และทำความเข้าใจตามหลักวิทยาศาสตร์ต่อไป
เสียงเคาะประตูที่ดังขึ้น ทำให้ผมหลุดออกจากความคิดของตัวเอง หันไปมองก็พบว่าเป็นนางพยาบาลที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ที่เปิดประตูและก้าวเท้าเข้ามา
“ได้เวลาตรวจคนไข้ที่ห้องสี่ศูนย์สองแล้วค่ะ หมอ”
เสียงหวาน ๆ ของเธอ ทำให้ผมต้องชำเลืองมองนาฬิกาแขวนผนัง ใกล้ถึงเวลาตรวจอาการรอบเที่ยงแล้ว นี่ผมใช้เวลาอยู่กับความคิดของตัวเองไปนานขนาดนี้เชียว พยักหน้าให้เธอเป็นเชิงรับรู้ ทำเป็นหยิบจับอะไรต่ออีกนิดหน่อย จึงค่อยเดินตามกันออกมาเพื่อไปหาคนไข้ห้องนั้น ซึ่งก็คือคน ๆ เดียวกันกับผู้ที่เขียนบันทึกพิลึกโลก ที่ผมเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่นั่นเอง
“วันนี้อาการของคนไข้เป็นอย่างไรบ้างครับ”
“เหมือนวันก่อน ๆ ค่ะ ไม่กิน ไม่ดื่ม ไม่ขยับ”
ผมถามพยาบาลสาวสวยที่กำลังเดินอยู่ด้วยกันไปตามหน้าที่ เพราะถึงอย่างไรผมก็รู้อยู่แล้ว ว่าจะได้รับคำตอบแบบไหนกลับมา
เราสองคนเดินกันต่อเงียบ ๆ อีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องสี่ศูนย์สอง อันเป็นจุดหมายปลายทาง น้องพยาบาลคนสวยเคาะประตูให้ผู้ที่อยู่ภายในได้รับรู้ รอเธอเปิดมันออกและก้าวเท้าเข้าไปในห้อง ผมจึงค่อยเดินตามเข้าไปบ้าง
และแล้วความประหลาดใจชวนพิศวงก็พุ่งเข้าจู่โจมใส่อย่างไม่ทันให้ตั้งตัว เมื่อภายในห้องที่ควรจะมีร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่อย่างเช่นทุกวัน กลับว่างเปล่าปราศจากแม้เงาหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอื่นใด
“หมอ...หมอคะ คนไข้ คนไข้หายไปไหน”
สีหน้าแววตาและน้ำเสียงที่แสดงออกว่าตื่นตระหนกของเธอ ทำเอาผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีตามขึ้นมาด้วย สมองที่กำลังอยู่ในสภาวะกึ่งแสตนบายด์เริ่มทำงานและพยายามประมวลผลอีกครั้ง
เขาไปไหน สวนหย่อมหน้าโรงพยาบาล ในห้องน้ำ ห้องตรวจ...ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้ ก็เขาไม่เคยขยับตัวออกจากจุดเดิม หรือแม้แค่เพียงเปลี่ยนอิริยาบทเลยด้วยซ้ำ
หรือว่าจะมีญาติมาหา พาไปเดินเล่น หรือไม่ก็พาเขากลับบ้านไปแล้ว...อันนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ ยังไม่เคยมีใครมาแสดงตัวเป็นญาติหรือคนรู้จักของเขาเลย แล้วถ้ามีคนมารับตัวคนไข้กลับ ผมซึ่งเป็นเจ้าของเคสย่อมต้องรู้สิ
แล้วเขาหายไปไหน หายไปได้อย่างไรกันล่ะ...
ในเสี้ยววินาทีที่ทุกความเป็นไปได้ค่อย ๆ คลี่กางออกให้ได้เห็น ข้อความจากบันทึกซึ่งเพิ่งอ่านไปเมื่อสักครู่ก็โลดแล่นเข้ามาในหัวสมอง ฉับพลัน...ก็คล้ายสะเก็ดไฟที่ถูกจุดขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นมันก็ลุกลามจนขยายใหญ่ ปกคลุมไปทั่วห้องแห่งมโนสำนึกอย่างรวดเร็วเกินการรับรู้
“หมอ หมอคะ”
ได้ยินเสียงพยาบาลสาวเรียกไม่ขาดปาก ทว่ามันค่อย ๆ เลือนรางเบาบางลงไปทีละน้อย จนกระทั่งเงียบหายไป สีสันรอบกายจืดจางลงจนกลายเป็นสีขาวเสมอกันทั้งหมด แล้วร่างหนึ่งก็กลับผุดแทรกออกมาจากความเวิ้งว้างว่างเปล่านั้น
อา...เขาอยู่ที่นี่นี่เอง ในที่สุดผมก็ตาหาตัวจริงของเขาจนพบได้เสียที
“ผมรู้...รู้อยู่แล้วว่าหมอต้องเข้าใจ ยินดีต้อนรับสู่โลกอีกใบครับ หมอ”