ตอนนี้เราคิดว่าจะย้ายหน่วยงานภายในองค์กรเดียวกัน (เป็นหน่วยงานรัฐที่แบ่งเป็นหน่วยงานย่อยๆอีกมากมาย) เราทำอยู่หน่วยงานปัจจุบันได้ 3 ปีแล้ว เมื่อก่อนเราเคยอยู่หน่วยงานอื่น และก็โอนย้ายมาหน่วยงานปัจจุบันเพราะถูกหัวหน้ากลั่นแกล้ง และตอนนี้ก็อยากโอนย้ายไปหน่วยงานอื่นอีก ด้วยสาเหตุนี้ (จากมากไปน้อย)
1. งานโอเวอร์โหลดมาก เพราะองค์กรมีการขยายฐานลูกค้าและพัฒนาการให้บริการ ส่งผลให้งานเราเพิ่มขึ้น และเราก็ทำไม่ทัน งานเก่ายังไม่เสร็จ งานใหม่ก็เข้ามาเรื่อยๆ หัวหน้าก็ไม่รับคนเพิ่มมาช่วยแบ่งภาระงานจากเรา เราต้องทำคนเดียวโดยมีหัวหน้าช่วยซัพพอร์ต แต่หัวหน้าไม่ได้ช่วยซัพพอร์ตงานเราคนเดียว เขาต้องซัพพอร์ตงานลูกน้องคนอื่นๆด้วย หลายครั้งที่เราจะไปปรึกษาเรื่องงานกับเขา เขาจะไม่ว่างคุยกับเรา ขนาดนัดวันเวลาคุยกันแล้ว แต่หลายครั้งพอถึงเวลานัด เขาก็ไม่ว่างคุยกับเราอีก ทำให้งานของเราค้างคา บางอย่างเป็นงานใหม่สำหรับเรา เรายังไม่มีความเข้าใจ กลายเป็นดินพอกหางหมู ตอนนี้หัวหน้าให้เราทำโอทีได้ มีค่าโอทีให้ (เมื่อก่อนมีแต่โอฟรี) แต่เราก็ไม่ค่อยอยากทำเพราะมันเหนื่อยและเครียด (ลูกน้องคนอื่นๆก็ไม่ทำโอทีกัน) แต่ถึงเราจะไม่อยากทำโอที แต่ปกติเราจะเลิกงานเลทประมาณ 0.5-1 ชม. และเราก็มีเอางานกลับไปทำที่บ้านด้วย
2. หัวหน้าไม่ค่อยน่ารักเหมือนเมื่อก่อน เขาดูเครียดมากขึ้น จุกจิกมากขึ้น และเจ้าอารมณ์มากขึ้น เราคิดว่าสาเหตุมาจากข้อ 1 นั่นแหละ และลูกน้องบางคนก็ไม่ได้ดั่งใจ (ความเครียดเปลี่ยนนิสัยคนได้) เวลาเราไม่เข้าใจงานที่ได้รับมอบหมาย เวลาไปถามหัวหน้า เขาก็มีท่าทีหัวเสียหลายครั้ง เหมือนคิดว่าเราจะต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งเราจะไปรู้ได้ไง ในเมื่อไม่มีคู่มือให้ศึกษา หัวหน้าก็ไม่ว่างสอน บางครั้งเราต้องถามคนนอกหน่วยงาน และหัวหน้าก็จะบ่นโดยใช้คำพูดที่ไม่ค่อยน่ารัก (เช่น "ถ้าทำงานแบบนี้ก็เหนื่อยไปจนเกษียณแหละ" ที่พูดนี่คือสภาพชีวิตหัวหน้าเลย และเราจะไม่ยอมเป็นแบบนี้แน่) และเขาจะคอยโทษว่าเป็นความผิดเรา (ตัวเขาไม่เคยผิดอะไรสักอย่าง) และหัวหน้าเองทั้งๆที่รู้ว่าเรางานเยอะ แต่เขาก็ยังคอยสั่งงานเพิ่ม และก็เร่งงานเรา สั่งเราทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่แทบจะไม่เคยกำหนดเดดไลน์มาให้ ทำให้งานทุกอย่างที่เขาสั่งเราดูเหมือนจะเป็นงานเร่งรีบทุกอย่าง เราพยายามลำดับความสำคัญเอง อันไหนสั่งก่อนก็ทำก่อน แต่วันดีคืนดีหัวหน้าก็จะมาทวงงานที่เรายังทำไม่เสร็จ หรือยังไม่ทำ กลายเป็นว่าเราต้องวางงานที่ทำอยู่ แล้วไปเร่งทำงานที่เขาทวงให้เสร็จ หลายครั้งก็เบียดเบียนเวลาส่วนตัว นอกจากนี้เขาไม่ค่อยฟังความรู้สึกของลูกน้องด้วย ชอบบอกว่าลูกน้องเอาแต่ใช้อารมณ์ (หัวหน้าเคยโดนลูกน้องคอมเพลนไปที่ฝ่ายบุคคลถึง 2 ครั้งในปีนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น)
3. หัวหน้าไม่ค่อยรู้มารยาทและกาลเทศะ เขาชอบสั่งงานลูกน้องทั้งในเวลาและนอกเวลางาน นึกได้เมื่อไหร่ก็สั่งเมื่อนั้นเลย และก็จะชอบสั่งทางไลน์ หรือไม่ก็โทรไลน์ (ถ้าเป็นเรื่องที่เขาสงสัยและต้องการคำตอบ เขาจะโทรไลน์เดี๋ยวนั้น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะด่วนหรือไม่ด่วนก็ตาม) จริงๆข้อนี้เขาเป็นมานานแล้ว เปลี่ยนเขาไม่ได้ เมื่อก่อนเราพอรับได้เพราะงานยังไม่โอเวอร์โหลด แต่ตอนนี้เราเริ่มจะทนไม่ได้ ในทางกลับกัน เวลาเราส่งงานให้หัวหน้าทางไลน์ (เพราะเราจะเข้าไปหาเขา แล้วเขาไม่ว่าง และก็ไม่รู้จะว่างเมื่อไหร่) เขากลับไม่ยอมรับรู้งานที่เราส่งให้ แล้วก็จะมาตำหนิเราที่ไม่ยอมไปคุยงานกับเขา เราก็งงว่าเราผิดตรงไหน ใช้วิธีเดียวกันแท้ๆ อย่างเมื่อวานเราลาป่วย เขาก็ไลน์มาสั่งงานเราหลายครั้ง ทั้งที่สามารถสั่งในวันที่เราไปทำงานก็ได้
4. เราเบื่อการทำรายงานประชุม หน่วยงานเราจะมีการประชุมสรุปงานของแต่ละคนเดือนละ 1 ครั้ง และเราต้องเป็นคนทำรายงานประชุมทุกครั้ง ทำมาตลอด 3 ปี ตอนนี้แต่ละเดือนเราต้องทำรายงานประชุมมากกว่า 1 ครั้งอีก เพราะมีประชุมบ่อยครั้ง เวลางานเรามีปัญหาก็จะนัดฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน แล้วหัวหน้าก็จะสั่งให้เราเป็นคนจดสรุปเรื่องที่ประชุม เราทั้งบันทึกเสียง ทั้งจดสรุป หลายเรื่องเราฟังครั้งเดียวไม่เข้าใจ หรือฟังไม่ทัน พอประชุมเสร็จเราก็ต้องเอาที่อัดเสียงมาเปิดฟังซ้ำพร้อมจดสรุปไปด้วย งานนี้เป็นงานที่เบียดเบียนเวลาส่วนตัวเรามากที่สุด เพราะเราไม่สามารถทำงานนี้ตอนอยู่ที่ทำงานได้ ในที่ทำงานมีเสียงรบกวนมาก หัวหน้าก็เรียกใช้งาน เราต้องทำนอกเวลางาน หัวหน้าไม่เคยใช้ลูกน้องคนอื่นจดเลย ถ้าเป็นการประชุมที่เราเข้าด้วย เราจะต้องเป็นคนจดตลอด
5. เรารู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบคนอื่น ภาระงานเราจะไม่เหมือนกับภาระงานของลูกน้องคนอื่นๆ ในหน่วยงานเดียวกัน แต่ทุกภาระงานจะต้องมีการสรุปและพรีเซนต์ในที่ประชุมผู้บริหาร เมื่อก่อนหัวหน้าจะพรีเซนต์คนเดียวตลอด แต่ตอนนี้หัวหน้าพยายามจะฝึกให้เราพรีเซนต์งานของเราเอง ซึ่งเราก็ไม่ว่าอะไร พรีเซนต์ได้ แต่ต้องมีหัวหน้าช่วยซัพพอร์ต เพราะผู้บริหารในที่ประชุมมักจะมีคำถามที่อยู่นอกเหนือเรื่องที่เราพรีเซนต์ เรายังจับทางไม่ได้ว่าพรีเซนต์แต่ละครั้งจะต้องเจอคำถามอะไรบ้าง แต่เราก็พยายามฝึก แต่ในทางกลับกัน ลูกน้องคนอื่นๆไม่เคยต้องพรีเซนต์งานตัวเองในที่ประชุมเลย หัวหน้าพรีเซนต์ให้ตลอด (ยิ่งรองหัวหน้านี่ปฏิเสธเลยว่าจะไม่พรีเซนต์ในที่ประชุม เพราะเขามีอาการแพนิค พูดไม่ออก ต้องกินยา) เราเคยถามเรื่องนี้กับหัวหน้า หัวหน้าก็พูดเป็นเชิงว่าคนอื่นๆพรีเซนต์ไม่ได้ เพราะแต่ละคนรับผิดชอบงานเดียวกัน แต่รับผิดชอบกันคนละส่วน เวลาพรีเซนต์มันต้องพรีเซนต์เป็นภาพรวม ไม่เหมือนงานเราที่เรารับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด
6. เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยโอเค ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน บางคนมีนิสัยหัวร้อนชอบวีนเสียงดัง เจอเรื่องขัดใจนิดหน่อยก็โวยวายไม่ยอมใคร และชอบใช้คำพูดข่มขู่อวดดีเหมือนคนไร้วุฒิภาวะ บางคนชอบพูดจาประชดประชัน และโดยรวมคือมีนิสัยชอบนินทากันเอง (เคยรับพนักงานใหม่เข้ามา แล้วเขาอยู่ไม่ได้เพราะเหตุนี้ด้วย) ส่วนเพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละหน่วยงาน แต่ต้องทำงานข้องเกี่ยวกับเรา ก็ให้ความร่วมมือได้ไม่ดีเท่าที่ควร และพยายามจะโยนภาระงานมากองที่ฝ่ายเรา บางครั้งเราก็รู้สึกว่างานตัวเองมันต้องพึ่งพาฝ่ายอื่นเยอะไปหรือเปล่า ถ้าพึ่งพาคนอื่นน้อยกว่านี้ได้ก็คงจะไม่ลำบากเท่านี้
บางคนอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสของเราที่จะก้าวหน้า แต่สำหรับเราที่ไม่เคยคิดอยากก้าวหน้า ไม่อยากได้ตำแหน่งสูงๆ ไม่อยากมีลูกน้อง ไม่อยากรับผิดชอบเยอะ (เราสังเกตคนที่เป็นหัวหน้าหลายหน่วยงาน บางคนก็ไม่ได้โหมทำงานหนักเหมือนกับหน่วยงานเรา ได้เลิกงานตรงเวลา ไม่ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน ถ้าเราจะก้าวหน้า เราอยากได้แบบนี้ ไม่อยากเป็นแบบหัวหน้าตัวเอง) พอเราเจอเรื่องแบบนี้ เราจึงคิดว่าเราเสียเปรียบ มากกว่า ตอนนี้เงินเดือนเราก็พอๆกับลูกน้องคนอื่นที่อายุรุ่นเดียวกับเรา แต่เราทำงานหนักกว่า คนอื่นมีเวลาเหลือไปทำอาชีพเสริม แต่เราไม่มี
และจากการทำงานหนักเช่นนี้ สิ่งที่เราได้ตอบแทนกลับมา คือได้ขึ้นเงินเดือนปีละ 4-5% คิดเป็นจำนวนเงินก็พันกว่าบาท ส่วนสิ่งที่เสียไป คือเวลาส่วนตัว กับสุขภาพที่ดี ตอนนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราลดลง บวกอายุที่มากขึ้น เรามีสิวขึ้นเต็มหน้านานเป็นปี และยังรักษาไม่หาย เรารู้สึกว่าชีวิตเราต้องการความสุขมากกว่านี้ ความเครียดน้อยกว่านี้ ตอนนี้เราอยากย้ายหน่วยงาน ไปอยู่หน่วยที่ภาระงานตรงสายกับที่เราเรียนจบมา แต่ตอนนี้หน่วยงานที่เราอยากไปยังไม่มีตำแหน่งว่าง มีหน่วยงานอื่นที่มีตำแหน่งว่าง แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าควรลองย้ายไปหรือเปล่า เพราะมันไม่ตรงสายกับที่เรียนมา
ถ้าเราจะย้ายหน่วยงานเพราะสาเหตุแบบนี้จะดีหรือเปล่า
1. งานโอเวอร์โหลดมาก เพราะองค์กรมีการขยายฐานลูกค้าและพัฒนาการให้บริการ ส่งผลให้งานเราเพิ่มขึ้น และเราก็ทำไม่ทัน งานเก่ายังไม่เสร็จ งานใหม่ก็เข้ามาเรื่อยๆ หัวหน้าก็ไม่รับคนเพิ่มมาช่วยแบ่งภาระงานจากเรา เราต้องทำคนเดียวโดยมีหัวหน้าช่วยซัพพอร์ต แต่หัวหน้าไม่ได้ช่วยซัพพอร์ตงานเราคนเดียว เขาต้องซัพพอร์ตงานลูกน้องคนอื่นๆด้วย หลายครั้งที่เราจะไปปรึกษาเรื่องงานกับเขา เขาจะไม่ว่างคุยกับเรา ขนาดนัดวันเวลาคุยกันแล้ว แต่หลายครั้งพอถึงเวลานัด เขาก็ไม่ว่างคุยกับเราอีก ทำให้งานของเราค้างคา บางอย่างเป็นงานใหม่สำหรับเรา เรายังไม่มีความเข้าใจ กลายเป็นดินพอกหางหมู ตอนนี้หัวหน้าให้เราทำโอทีได้ มีค่าโอทีให้ (เมื่อก่อนมีแต่โอฟรี) แต่เราก็ไม่ค่อยอยากทำเพราะมันเหนื่อยและเครียด (ลูกน้องคนอื่นๆก็ไม่ทำโอทีกัน) แต่ถึงเราจะไม่อยากทำโอที แต่ปกติเราจะเลิกงานเลทประมาณ 0.5-1 ชม. และเราก็มีเอางานกลับไปทำที่บ้านด้วย
2. หัวหน้าไม่ค่อยน่ารักเหมือนเมื่อก่อน เขาดูเครียดมากขึ้น จุกจิกมากขึ้น และเจ้าอารมณ์มากขึ้น เราคิดว่าสาเหตุมาจากข้อ 1 นั่นแหละ และลูกน้องบางคนก็ไม่ได้ดั่งใจ (ความเครียดเปลี่ยนนิสัยคนได้) เวลาเราไม่เข้าใจงานที่ได้รับมอบหมาย เวลาไปถามหัวหน้า เขาก็มีท่าทีหัวเสียหลายครั้ง เหมือนคิดว่าเราจะต้องรู้ทุกเรื่อง ซึ่งเราจะไปรู้ได้ไง ในเมื่อไม่มีคู่มือให้ศึกษา หัวหน้าก็ไม่ว่างสอน บางครั้งเราต้องถามคนนอกหน่วยงาน และหัวหน้าก็จะบ่นโดยใช้คำพูดที่ไม่ค่อยน่ารัก (เช่น "ถ้าทำงานแบบนี้ก็เหนื่อยไปจนเกษียณแหละ" ที่พูดนี่คือสภาพชีวิตหัวหน้าเลย และเราจะไม่ยอมเป็นแบบนี้แน่) และเขาจะคอยโทษว่าเป็นความผิดเรา (ตัวเขาไม่เคยผิดอะไรสักอย่าง) และหัวหน้าเองทั้งๆที่รู้ว่าเรางานเยอะ แต่เขาก็ยังคอยสั่งงานเพิ่ม และก็เร่งงานเรา สั่งเราทำงานหลายอย่างพร้อมกัน แต่แทบจะไม่เคยกำหนดเดดไลน์มาให้ ทำให้งานทุกอย่างที่เขาสั่งเราดูเหมือนจะเป็นงานเร่งรีบทุกอย่าง เราพยายามลำดับความสำคัญเอง อันไหนสั่งก่อนก็ทำก่อน แต่วันดีคืนดีหัวหน้าก็จะมาทวงงานที่เรายังทำไม่เสร็จ หรือยังไม่ทำ กลายเป็นว่าเราต้องวางงานที่ทำอยู่ แล้วไปเร่งทำงานที่เขาทวงให้เสร็จ หลายครั้งก็เบียดเบียนเวลาส่วนตัว นอกจากนี้เขาไม่ค่อยฟังความรู้สึกของลูกน้องด้วย ชอบบอกว่าลูกน้องเอาแต่ใช้อารมณ์ (หัวหน้าเคยโดนลูกน้องคอมเพลนไปที่ฝ่ายบุคคลถึง 2 ครั้งในปีนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น)
3. หัวหน้าไม่ค่อยรู้มารยาทและกาลเทศะ เขาชอบสั่งงานลูกน้องทั้งในเวลาและนอกเวลางาน นึกได้เมื่อไหร่ก็สั่งเมื่อนั้นเลย และก็จะชอบสั่งทางไลน์ หรือไม่ก็โทรไลน์ (ถ้าเป็นเรื่องที่เขาสงสัยและต้องการคำตอบ เขาจะโทรไลน์เดี๋ยวนั้น ไม่ว่าเรื่องนั้นจะด่วนหรือไม่ด่วนก็ตาม) จริงๆข้อนี้เขาเป็นมานานแล้ว เปลี่ยนเขาไม่ได้ เมื่อก่อนเราพอรับได้เพราะงานยังไม่โอเวอร์โหลด แต่ตอนนี้เราเริ่มจะทนไม่ได้ ในทางกลับกัน เวลาเราส่งงานให้หัวหน้าทางไลน์ (เพราะเราจะเข้าไปหาเขา แล้วเขาไม่ว่าง และก็ไม่รู้จะว่างเมื่อไหร่) เขากลับไม่ยอมรับรู้งานที่เราส่งให้ แล้วก็จะมาตำหนิเราที่ไม่ยอมไปคุยงานกับเขา เราก็งงว่าเราผิดตรงไหน ใช้วิธีเดียวกันแท้ๆ อย่างเมื่อวานเราลาป่วย เขาก็ไลน์มาสั่งงานเราหลายครั้ง ทั้งที่สามารถสั่งในวันที่เราไปทำงานก็ได้
4. เราเบื่อการทำรายงานประชุม หน่วยงานเราจะมีการประชุมสรุปงานของแต่ละคนเดือนละ 1 ครั้ง และเราต้องเป็นคนทำรายงานประชุมทุกครั้ง ทำมาตลอด 3 ปี ตอนนี้แต่ละเดือนเราต้องทำรายงานประชุมมากกว่า 1 ครั้งอีก เพราะมีประชุมบ่อยครั้ง เวลางานเรามีปัญหาก็จะนัดฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน แล้วหัวหน้าก็จะสั่งให้เราเป็นคนจดสรุปเรื่องที่ประชุม เราทั้งบันทึกเสียง ทั้งจดสรุป หลายเรื่องเราฟังครั้งเดียวไม่เข้าใจ หรือฟังไม่ทัน พอประชุมเสร็จเราก็ต้องเอาที่อัดเสียงมาเปิดฟังซ้ำพร้อมจดสรุปไปด้วย งานนี้เป็นงานที่เบียดเบียนเวลาส่วนตัวเรามากที่สุด เพราะเราไม่สามารถทำงานนี้ตอนอยู่ที่ทำงานได้ ในที่ทำงานมีเสียงรบกวนมาก หัวหน้าก็เรียกใช้งาน เราต้องทำนอกเวลางาน หัวหน้าไม่เคยใช้ลูกน้องคนอื่นจดเลย ถ้าเป็นการประชุมที่เราเข้าด้วย เราจะต้องเป็นคนจดตลอด
5. เรารู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบคนอื่น ภาระงานเราจะไม่เหมือนกับภาระงานของลูกน้องคนอื่นๆ ในหน่วยงานเดียวกัน แต่ทุกภาระงานจะต้องมีการสรุปและพรีเซนต์ในที่ประชุมผู้บริหาร เมื่อก่อนหัวหน้าจะพรีเซนต์คนเดียวตลอด แต่ตอนนี้หัวหน้าพยายามจะฝึกให้เราพรีเซนต์งานของเราเอง ซึ่งเราก็ไม่ว่าอะไร พรีเซนต์ได้ แต่ต้องมีหัวหน้าช่วยซัพพอร์ต เพราะผู้บริหารในที่ประชุมมักจะมีคำถามที่อยู่นอกเหนือเรื่องที่เราพรีเซนต์ เรายังจับทางไม่ได้ว่าพรีเซนต์แต่ละครั้งจะต้องเจอคำถามอะไรบ้าง แต่เราก็พยายามฝึก แต่ในทางกลับกัน ลูกน้องคนอื่นๆไม่เคยต้องพรีเซนต์งานตัวเองในที่ประชุมเลย หัวหน้าพรีเซนต์ให้ตลอด (ยิ่งรองหัวหน้านี่ปฏิเสธเลยว่าจะไม่พรีเซนต์ในที่ประชุม เพราะเขามีอาการแพนิค พูดไม่ออก ต้องกินยา) เราเคยถามเรื่องนี้กับหัวหน้า หัวหน้าก็พูดเป็นเชิงว่าคนอื่นๆพรีเซนต์ไม่ได้ เพราะแต่ละคนรับผิดชอบงานเดียวกัน แต่รับผิดชอบกันคนละส่วน เวลาพรีเซนต์มันต้องพรีเซนต์เป็นภาพรวม ไม่เหมือนงานเราที่เรารับผิดชอบคนเดียวทั้งหมด
6. เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยโอเค ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ทำงานอยู่ในห้องเดียวกัน บางคนมีนิสัยหัวร้อนชอบวีนเสียงดัง เจอเรื่องขัดใจนิดหน่อยก็โวยวายไม่ยอมใคร และชอบใช้คำพูดข่มขู่อวดดีเหมือนคนไร้วุฒิภาวะ บางคนชอบพูดจาประชดประชัน และโดยรวมคือมีนิสัยชอบนินทากันเอง (เคยรับพนักงานใหม่เข้ามา แล้วเขาอยู่ไม่ได้เพราะเหตุนี้ด้วย) ส่วนเพื่อนร่วมงานที่อยู่คนละหน่วยงาน แต่ต้องทำงานข้องเกี่ยวกับเรา ก็ให้ความร่วมมือได้ไม่ดีเท่าที่ควร และพยายามจะโยนภาระงานมากองที่ฝ่ายเรา บางครั้งเราก็รู้สึกว่างานตัวเองมันต้องพึ่งพาฝ่ายอื่นเยอะไปหรือเปล่า ถ้าพึ่งพาคนอื่นน้อยกว่านี้ได้ก็คงจะไม่ลำบากเท่านี้
บางคนอาจคิดว่านี่เป็นโอกาสของเราที่จะก้าวหน้า แต่สำหรับเราที่ไม่เคยคิดอยากก้าวหน้า ไม่อยากได้ตำแหน่งสูงๆ ไม่อยากมีลูกน้อง ไม่อยากรับผิดชอบเยอะ (เราสังเกตคนที่เป็นหัวหน้าหลายหน่วยงาน บางคนก็ไม่ได้โหมทำงานหนักเหมือนกับหน่วยงานเรา ได้เลิกงานตรงเวลา ไม่ต้องเอางานกลับไปทำที่บ้าน ถ้าเราจะก้าวหน้า เราอยากได้แบบนี้ ไม่อยากเป็นแบบหัวหน้าตัวเอง) พอเราเจอเรื่องแบบนี้ เราจึงคิดว่าเราเสียเปรียบ มากกว่า ตอนนี้เงินเดือนเราก็พอๆกับลูกน้องคนอื่นที่อายุรุ่นเดียวกับเรา แต่เราทำงานหนักกว่า คนอื่นมีเวลาเหลือไปทำอาชีพเสริม แต่เราไม่มี
และจากการทำงานหนักเช่นนี้ สิ่งที่เราได้ตอบแทนกลับมา คือได้ขึ้นเงินเดือนปีละ 4-5% คิดเป็นจำนวนเงินก็พันกว่าบาท ส่วนสิ่งที่เสียไป คือเวลาส่วนตัว กับสุขภาพที่ดี ตอนนี้ภูมิคุ้มกันร่างกายเราลดลง บวกอายุที่มากขึ้น เรามีสิวขึ้นเต็มหน้านานเป็นปี และยังรักษาไม่หาย เรารู้สึกว่าชีวิตเราต้องการความสุขมากกว่านี้ ความเครียดน้อยกว่านี้ ตอนนี้เราอยากย้ายหน่วยงาน ไปอยู่หน่วยที่ภาระงานตรงสายกับที่เราเรียนจบมา แต่ตอนนี้หน่วยงานที่เราอยากไปยังไม่มีตำแหน่งว่าง มีหน่วยงานอื่นที่มีตำแหน่งว่าง แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าควรลองย้ายไปหรือเปล่า เพราะมันไม่ตรงสายกับที่เรียนมา