ผมมีเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงๆกับตัวผมเองเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วจะมาเล่าให้ฟังครับ
เหตุเกิดขึ้นที่ ตำบลนึง ใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ครับ เป็นช่วงที่ผมบวชพระให้พ่อ แม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยทั่วไปครับ ต้องเกรินก่อนว่าผมและครอบครัวไม่ใช่คนในพื้นที่ตั้งแต่เกิด ซึ่งคุณพ่อของผมเนี้ยเป็นข้าราชการทหาร ได้ซื้อที่ดินตรงที่อยู่ปัจุบันนี้และปลูกบ้านไว้ เมื่อเกษียญ ก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่
คุณพ่อก็ถือโอกาสในช่วงที่ผมบวช ทำบุญบ้านขึ้นบ้านใหม่และขึ้นศาลพระภูมิไปด้วยเลย ก็เลยมีการไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ชื่อลุงทองสุข แกเป็น สมาชิก.อบต ของตำบล และบ้านแกอยู่ใกล้กับบ้านคุณพ่อซึ่งห่างไปสักประมาณ 1 กิโลเมตร แกก็แนะนำให้ไปคุยกับพรามห์ณคนนึง ซึ่งอยู่อีกตำบล ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร มีพรามห์ณที่รับทำพิธีขึ้นศาลพระภูมิ ในละแวกนี้ ซึ่งคุณพ่อก็ได้ไปพบและติดต่อเพื่อให้มาทำพิธีให้ แต่ว่าวันที่พ่อดูฤกษ์ไว้ พรามห์ณคนเนี้ยะแกติดคิวมีงานต้องไปทำบุญขึ้นศาลที่อื่น เลยไม่สะดวกจะมาทำพิธีให้ ซึ่งคุณพ่อผมก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนวันเพราะได้ดูฤกษ์ยาม และนัดหมายกับเพื่อนฝูงและชาวบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว
คุณพ่อก็เลยเปลี่ยใจ จึงคิดว่าลองไปสอบถามพระที่เป็นเจ้าอาวาสวัดที่ผมบวช ชื่อพระอาจารย์เตี้ย ดีกว่า ซึ่งแก่บอกว่าแกสามารถทำพิธีได้นะ ซึ่งุณพ่อผมก็คิดว่า ดีเหมือนกัน ก็เลยทาบทามให้มาทำพิธีให้ ซึ่งแก่ก็ตกปากรับคำว่า "ไม่มีปัญหาขึ้นศาลฉันทำได้" แก่ว่างั้น ก็ตกปาดรับคำกันไป โดยแกก็ได้สั่งให้ไปจัดเตรียมซื้อของไหว้ทำบุญมาให้ครบ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ของเซ่นไหว้ ซึ่งแกก็เขียนรายการของที่ต้องซื้อมาให้
ถัดมาหลังนั้นในวันแรกที่เป็นงานบวชทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติดี และในวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่จะต้องทำพิธีทำบุญบ้านขึ้นศาล ที่บ้านแขกที่เชิญไว้ทั้งกลุ่มเพื่อนคุณพ่อ และชาวบ้านก็มารวมช่วยงานกัน ประมาณ 30 คน ซึ่งคุณพ่อได้ทำอาหารเลี้ยงแขกเอง พอถึงเวลาประมาณ 9 โมง พระอาจารย์เตี้ย ก็มาถึงที่บ้าน ซึ่งก็เริ่มทำพิธีในทันที ซึ่งในระหว่างทำพิธีทำบุญบ้านและขึ้นศาลพระภูมิเหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างปกติ จนถึงเวลาเลี้ยงอาหารเพลพระเสร็จสิ้นแขกที่มาร่วมงานทำบุณก็แบ่งกลุ่มกันกินอาหารกลางวันตามปกติ
ผมซึ่งในเวลานั้นผมกำลังจำวัดอยู่ที่กุฏิ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก็หยิบมาดูเป็นน้องชายผมโทรเข้ามา พอรับสายน้องชายผม ที่ชื่อเหม่งก็พูดด้วยนำเสียงที่ตกใจ และตื่นเต้นว่า
" หลวงพี่ๆ แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้ หลวงพี่มาที่บ้านหน่อย รีบๆมาเลยนะ"
ผมก็ถามกลับไปว่า มีอะไรเกิดขึ้น เล่ามาหน่อย ซึ่ง เหม่งก็เล่าให้ฟังอย่างรุกรี้รุกรนด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลมากว่า
ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวและคุญกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ คุณแม่ผม ก็ลุกออกจากวงอาหารเดินไปที่ประตูหลังบ้าน ซึ่งเมื่อมองออกไปก็จะเป็นป่า แกแหงนหน้ามองไปบนฟ้าแล้วตะโกนเสียงดังลั่นเลยว่า " เฮ้ย! มากันทำไม่เต็มเลย " เสียงดังมากๆ ตะโกนอยู่หลายรอบ จนคนที่กำลังกินข้างอยู่พากันตกใจกันหมดว่าแม่ ผมแกเป็นอะไร
คุณพ่อ พอได้ยินก็ ลุกออกจากวงเหล้า รีบเข้าไปหาคุณแม่ ก็เอื้อมมือไปจับที่ไหล่ เพื่อจะให้เเม่หันมา ตามด้วยคำถามว่า เฮ้ยแม่เป็นอะไร พอพ่อจับโดนตัวคุณแม่ แม่ก็หันมาถีบอย่างแรง จนพ่อตกไปในบ่อเลี้ยงปลาด้านข้าง แล้วก็ยังตะโกนด้วยคำพูดเดิมๆว่า " เฮ้ย มากันทำไมเต็มเลย " อยู่อีกหลายครั้ง
พอได้ฟังที่เหม่งเล่า ผมก็เรียกเด็กวันให้เอาซาเล้งออกแล้วพาผมไปที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 3 กิโล
พอมาถึงบ้านก็พบว่า ทุกคนได้พาแม่ เข้ามาในห้องนอน โดยแม่ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลย ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ ข้างหน้าแม่
เชื่อไหมครับ ปกติ แม่ ถ้าเห็นลูกซึ่งเป็นพระเพิ่งบวชใหม่มาที่บ้าน แกน่าจะมีความสุขสอบถาม ว่าอยู่วัดเป็นไง สอบถามอะไรประมาณนี้
แต่สิ่งที่ผทเห็นคือแม่ผม จ้องหน้าผม ด้วยสายตาขวาง ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ ผมก็ถามว่า "แม่ แม่เป็นอะไร จำได้ไหม นี่ต๋องไง พระต๋องไง " เชื่อไหมครับ แกไม่พูดมองตาขวางใส่ผมที่เป็นพระอยู่"
จากนั่นผมก็คิดในใจแล้วว่า ไม่ใช่แม่กูแน่ๆ ก็เลยถามใหม่ " มีอะไร บ้านผมทำอะไรผิด หรือไม่ถูก บอกมา เด่วให้คนไปจัดการให้"
พอสิ้นเสียงคำถาม แม่ผมก็ยกมือขวาแล้วชี้ไปที่หลังบ้านตรงที่แกยื่นตะโกนแล้วพูดออกมาว่า " ไปทางโน้น " พูดอยู่ประมาณ 3-4 รอบ แล้วแกก็เอนตัวลงนอน แต่ตายังไม่หลับ วึ่งถามอะไรต่อก็ไม่พูด ไม่จาอีกเลย
ผมก็เลยเรียกพ่อมาถามว่า "โยมพ่อไปทำอะไรไม่ถูกต้องหรือป่าว เพราะตอนไปเชิญพระอาจารย์เตี้ยมาทำพิธี ผมก็แย้งแล้วนะว่าไม่มีใครเขาให้พระสงฆ์ทำพิธีแบบนี้กัน"
พ่อก็พูดว่า "ไม่รู้เหมือนกัน ทุกอย่างก็ทำตามที่พระอาจารย์เตี้ยบอกนแหละะ " ลุงทองสุกจึงเดินเข้ามา ก็พูดกับพ่อผมว่า " ผู้พัน ที่บ้านเราที่นี่อ่ะ จะต้องตั้งศาลทั้งหมด 3 จุด คือ 1 ศาลพระภูมิ 2.ศาลตายาย และ 3ศาลเจ้าที่ ท่านน่าจะมาบอกเตือนให้ผู้พันไปตั้งศาลให้พ่อปู่แก่ด้วย เอางี้ผู้พันจุดธูป แล้วไปตรงจอมปลวกที่อยู่หลังบ้าน ขอขมาท่านซะและบอกพอปู่ไปว่าจะตั้งศาลให้ตรงนี้ "
ซึ่งพ่อก็ทำตามครับ หลังจากปักธูปเสร็จ เชื่อไหมครับ ผม น้องชาย และชาวบ้านที่นั้งอยู่ตรงนั้นก็ต้องตกใจ อยู่ดีๆ แม่ก็ลุกขึ้น คำแรกที่แม่พูดคือ
"อ้าวพระ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อ้าวแล้วมานั่งกันทำไมไม่ไปกินข้าว ไปๆๆๆๆ" ผมนี่ มองหน้ากับน้องชาย งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ.
หลังจากนั้น พ่อ ผม และน้องชาย ก็ได้ไปคุยกับลุงทองสุก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แกก็เล่าให้ฟังว่า
" พื้นที่แถวนี้ สมัยก่อนมันเป็นสนามรบ พอมาสมัยนี้ มันเป็นไร่มัน ไร้อ้อย คนงานก็มาตายเยอะ โดยรถตัดอ้อยเหยียบบ้าง รถ 10ล้อเหยียบบ้าง เยอะแยะ แล้วความเชื่อของคนพื้นที่ จะต้องตั้งศาลเจ้าที่ด้วย เพื่อให้เจ้าที่ที่อยู่แถวนี้ได้มาพัก ซึ่งเราเรียกเจ้าที่ที่อยู่แถวนี้ว่า พ่อปู่โป่ง"
ครอบครัวผมซึ่งไม่เคยมาอยู่ในพื้นที่แบบนี้ จากไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ต้องเชื่อ และปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยทุกวันพระแม่ก็จะไหว้ทุกศาลตลอด เป็นกิจวัตร ซึ่งก็ปกติไม่มีอะไรแปลประหลาด แต่ที่น่าสังเกตุคือ เมื่อเวลาคุณพ่อผมจัดงานเลี้ยง ก็จะมีเพื่อนมาเยอะ พอเมาก็เริ่มไม่เป็นระเบียบ เยี่ยวเรียราด และพูดถึงเรื่องแม่ผมเรื่องนี้ขึ้นมาในวงเหล้า ว่าที่บ้านนี้มีเจ้าที่นะ ทำอะไรให้เคารพ อย่าท้าทายซึ่งก็มีเพื่อพอ 1 คนชื่อ จ่ามัธยม แกเป็นคนไม่กลัวและไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ประกอบกับความเมา แกจึงพลั้งปากท้าทายว่า ถ้ามากูจะเตะให้กลิ้งเลย.
พอตกดึกวักประมาฯ ตี 2 ถึง ตี 3 ซึ่งทุกคนนอนหมดแล้ว จ่ามัธยมซึ่งงกางเต้นท์นอน ก็โวยวาย ฟังไม่เป็นภาษา จนทุกคนตื่นและวิ่งออกมาดู แต่ไม่เจอจ่ามัธยมที่เต้นท์ เพื่อๆพ่อก็ช่วยกันเดินหา สักพักก็ไปเจอแก่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างเสารั้วลวดหนามบ้านด้านนอก
พ่อผมก็ถามว่า " เป็น

ไรว่ะ ตกอกตกใจหมด"
จ่ามัธยาตอบกลับมาว่า " ไอ้

ใครไม่รู้

จะมาบีบคอกู ไอ้สัส กูต่องกับแมงอยู่พักหนึ่งสู้ไม่ไหวเลยมาแอบอยู่ตรงนี้ " ก็เข้าใจได้ว่าจ่ามัธยมน่าจะโดนเล่นงานจากการไปท้าทาย
หลักจากนั้นจ่ามัธยม โดยอีกหลายครั้งหนักสุดเลยคือขับรถมาชนเสาไปหน้าบ้านหักทับรถพัง เฉียดทับตัวแกไปนิดเดียว ตอนประมาณ 2 ทุ่ม ทั้งที่แกไม่เมาและมีสติดี โชคดีที่แก่ไม่เป็นอะไร แต่รถพังยับเลย แก่บอกว่า ขับมาอยู่ดีๆ เห็นกองทรายขวางทางอยู่หน้าบ้ายด้วยความตกใจ จึงหักหลบ แล้วชนกับเสาไฟฟ้า.
พอก็เลยบอกให้จ่ามัธยมไปขอขมา ที่ศาลพ่อปู่โป่ง โดยแกก็ยอมทำตาม และจากนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกเกิดกับแกอีกเลย.
ทั้งหมดนี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผม ทุกวันนี้ศาลพ่อปู่โป่งก็ยังตั้งอยู่ที่บ้าน และทุกคนในบ้านก็กราบไหว้ เพื่อให้คุ้มครองจากภัยอันตรายครับ.
เจ้าที่เจ้าทาง
เหตุเกิดขึ้นที่ ตำบลนึง ใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี ครับ เป็นช่วงที่ผมบวชพระให้พ่อ แม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติของคนไทยทั่วไปครับ ต้องเกรินก่อนว่าผมและครอบครัวไม่ใช่คนในพื้นที่ตั้งแต่เกิด ซึ่งคุณพ่อของผมเนี้ยเป็นข้าราชการทหาร ได้ซื้อที่ดินตรงที่อยู่ปัจุบันนี้และปลูกบ้านไว้ เมื่อเกษียญ ก็จะย้ายมาอยู่ที่นี่
คุณพ่อก็ถือโอกาสในช่วงที่ผมบวช ทำบุญบ้านขึ้นบ้านใหม่และขึ้นศาลพระภูมิไปด้วยเลย ก็เลยมีการไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้น ชื่อลุงทองสุข แกเป็น สมาชิก.อบต ของตำบล และบ้านแกอยู่ใกล้กับบ้านคุณพ่อซึ่งห่างไปสักประมาณ 1 กิโลเมตร แกก็แนะนำให้ไปคุยกับพรามห์ณคนนึง ซึ่งอยู่อีกตำบล ห่างออกไปประมาณ 10 กิโลเมตร มีพรามห์ณที่รับทำพิธีขึ้นศาลพระภูมิ ในละแวกนี้ ซึ่งคุณพ่อก็ได้ไปพบและติดต่อเพื่อให้มาทำพิธีให้ แต่ว่าวันที่พ่อดูฤกษ์ไว้ พรามห์ณคนเนี้ยะแกติดคิวมีงานต้องไปทำบุญขึ้นศาลที่อื่น เลยไม่สะดวกจะมาทำพิธีให้ ซึ่งคุณพ่อผมก็ไม่อยากที่จะเปลี่ยนวันเพราะได้ดูฤกษ์ยาม และนัดหมายกับเพื่อนฝูงและชาวบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว
คุณพ่อก็เลยเปลี่ยใจ จึงคิดว่าลองไปสอบถามพระที่เป็นเจ้าอาวาสวัดที่ผมบวช ชื่อพระอาจารย์เตี้ย ดีกว่า ซึ่งแก่บอกว่าแกสามารถทำพิธีได้นะ ซึ่งุณพ่อผมก็คิดว่า ดีเหมือนกัน ก็เลยทาบทามให้มาทำพิธีให้ ซึ่งแก่ก็ตกปากรับคำว่า "ไม่มีปัญหาขึ้นศาลฉันทำได้" แก่ว่างั้น ก็ตกปาดรับคำกันไป โดยแกก็ได้สั่งให้ไปจัดเตรียมซื้อของไหว้ทำบุญมาให้ครบ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน ของเซ่นไหว้ ซึ่งแกก็เขียนรายการของที่ต้องซื้อมาให้
ถัดมาหลังนั้นในวันแรกที่เป็นงานบวชทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติดี และในวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่จะต้องทำพิธีทำบุญบ้านขึ้นศาล ที่บ้านแขกที่เชิญไว้ทั้งกลุ่มเพื่อนคุณพ่อ และชาวบ้านก็มารวมช่วยงานกัน ประมาณ 30 คน ซึ่งคุณพ่อได้ทำอาหารเลี้ยงแขกเอง พอถึงเวลาประมาณ 9 โมง พระอาจารย์เตี้ย ก็มาถึงที่บ้าน ซึ่งก็เริ่มทำพิธีในทันที ซึ่งในระหว่างทำพิธีทำบุญบ้านและขึ้นศาลพระภูมิเหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างปกติ จนถึงเวลาเลี้ยงอาหารเพลพระเสร็จสิ้นแขกที่มาร่วมงานทำบุณก็แบ่งกลุ่มกันกินอาหารกลางวันตามปกติ
ผมซึ่งในเวลานั้นผมกำลังจำวัดอยู่ที่กุฏิ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก็หยิบมาดูเป็นน้องชายผมโทรเข้ามา พอรับสายน้องชายผม ที่ชื่อเหม่งก็พูดด้วยนำเสียงที่ตกใจ และตื่นเต้นว่า
" หลวงพี่ๆ แม่เป็นอะไรก็ไม่รู้ หลวงพี่มาที่บ้านหน่อย รีบๆมาเลยนะ"
ผมก็ถามกลับไปว่า มีอะไรเกิดขึ้น เล่ามาหน่อย ซึ่ง เหม่งก็เล่าให้ฟังอย่างรุกรี้รุกรนด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลมากว่า
ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวและคุญกันอย่างสนุกสนาน จู่ๆ คุณแม่ผม ก็ลุกออกจากวงอาหารเดินไปที่ประตูหลังบ้าน ซึ่งเมื่อมองออกไปก็จะเป็นป่า แกแหงนหน้ามองไปบนฟ้าแล้วตะโกนเสียงดังลั่นเลยว่า " เฮ้ย! มากันทำไม่เต็มเลย " เสียงดังมากๆ ตะโกนอยู่หลายรอบ จนคนที่กำลังกินข้างอยู่พากันตกใจกันหมดว่าแม่ ผมแกเป็นอะไร
คุณพ่อ พอได้ยินก็ ลุกออกจากวงเหล้า รีบเข้าไปหาคุณแม่ ก็เอื้อมมือไปจับที่ไหล่ เพื่อจะให้เเม่หันมา ตามด้วยคำถามว่า เฮ้ยแม่เป็นอะไร พอพ่อจับโดนตัวคุณแม่ แม่ก็หันมาถีบอย่างแรง จนพ่อตกไปในบ่อเลี้ยงปลาด้านข้าง แล้วก็ยังตะโกนด้วยคำพูดเดิมๆว่า " เฮ้ย มากันทำไมเต็มเลย " อยู่อีกหลายครั้ง
พอได้ฟังที่เหม่งเล่า ผมก็เรียกเด็กวันให้เอาซาเล้งออกแล้วพาผมไปที่บ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากวัดประมาณ 3 กิโล
พอมาถึงบ้านก็พบว่า ทุกคนได้พาแม่ เข้ามาในห้องนอน โดยแม่ผมนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลย ผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ ข้างหน้าแม่
เชื่อไหมครับ ปกติ แม่ ถ้าเห็นลูกซึ่งเป็นพระเพิ่งบวชใหม่มาที่บ้าน แกน่าจะมีความสุขสอบถาม ว่าอยู่วัดเป็นไง สอบถามอะไรประมาณนี้
แต่สิ่งที่ผทเห็นคือแม่ผม จ้องหน้าผม ด้วยสายตาขวาง ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ ผมก็ถามว่า "แม่ แม่เป็นอะไร จำได้ไหม นี่ต๋องไง พระต๋องไง " เชื่อไหมครับ แกไม่พูดมองตาขวางใส่ผมที่เป็นพระอยู่"
จากนั่นผมก็คิดในใจแล้วว่า ไม่ใช่แม่กูแน่ๆ ก็เลยถามใหม่ " มีอะไร บ้านผมทำอะไรผิด หรือไม่ถูก บอกมา เด่วให้คนไปจัดการให้"
พอสิ้นเสียงคำถาม แม่ผมก็ยกมือขวาแล้วชี้ไปที่หลังบ้านตรงที่แกยื่นตะโกนแล้วพูดออกมาว่า " ไปทางโน้น " พูดอยู่ประมาณ 3-4 รอบ แล้วแกก็เอนตัวลงนอน แต่ตายังไม่หลับ วึ่งถามอะไรต่อก็ไม่พูด ไม่จาอีกเลย
ผมก็เลยเรียกพ่อมาถามว่า "โยมพ่อไปทำอะไรไม่ถูกต้องหรือป่าว เพราะตอนไปเชิญพระอาจารย์เตี้ยมาทำพิธี ผมก็แย้งแล้วนะว่าไม่มีใครเขาให้พระสงฆ์ทำพิธีแบบนี้กัน"
พ่อก็พูดว่า "ไม่รู้เหมือนกัน ทุกอย่างก็ทำตามที่พระอาจารย์เตี้ยบอกนแหละะ " ลุงทองสุกจึงเดินเข้ามา ก็พูดกับพ่อผมว่า " ผู้พัน ที่บ้านเราที่นี่อ่ะ จะต้องตั้งศาลทั้งหมด 3 จุด คือ 1 ศาลพระภูมิ 2.ศาลตายาย และ 3ศาลเจ้าที่ ท่านน่าจะมาบอกเตือนให้ผู้พันไปตั้งศาลให้พ่อปู่แก่ด้วย เอางี้ผู้พันจุดธูป แล้วไปตรงจอมปลวกที่อยู่หลังบ้าน ขอขมาท่านซะและบอกพอปู่ไปว่าจะตั้งศาลให้ตรงนี้ "
ซึ่งพ่อก็ทำตามครับ หลังจากปักธูปเสร็จ เชื่อไหมครับ ผม น้องชาย และชาวบ้านที่นั้งอยู่ตรงนั้นก็ต้องตกใจ อยู่ดีๆ แม่ก็ลุกขึ้น คำแรกที่แม่พูดคือ
"อ้าวพระ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ อ้าวแล้วมานั่งกันทำไมไม่ไปกินข้าว ไปๆๆๆๆ" ผมนี่ มองหน้ากับน้องชาย งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ.
หลังจากนั้น พ่อ ผม และน้องชาย ก็ได้ไปคุยกับลุงทองสุก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แกก็เล่าให้ฟังว่า
" พื้นที่แถวนี้ สมัยก่อนมันเป็นสนามรบ พอมาสมัยนี้ มันเป็นไร่มัน ไร้อ้อย คนงานก็มาตายเยอะ โดยรถตัดอ้อยเหยียบบ้าง รถ 10ล้อเหยียบบ้าง เยอะแยะ แล้วความเชื่อของคนพื้นที่ จะต้องตั้งศาลเจ้าที่ด้วย เพื่อให้เจ้าที่ที่อยู่แถวนี้ได้มาพัก ซึ่งเราเรียกเจ้าที่ที่อยู่แถวนี้ว่า พ่อปู่โป่ง"
ครอบครัวผมซึ่งไม่เคยมาอยู่ในพื้นที่แบบนี้ จากไม่เคยเชื่อเรื่องพวกนี้ก็ต้องเชื่อ และปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยทุกวันพระแม่ก็จะไหว้ทุกศาลตลอด เป็นกิจวัตร ซึ่งก็ปกติไม่มีอะไรแปลประหลาด แต่ที่น่าสังเกตุคือ เมื่อเวลาคุณพ่อผมจัดงานเลี้ยง ก็จะมีเพื่อนมาเยอะ พอเมาก็เริ่มไม่เป็นระเบียบ เยี่ยวเรียราด และพูดถึงเรื่องแม่ผมเรื่องนี้ขึ้นมาในวงเหล้า ว่าที่บ้านนี้มีเจ้าที่นะ ทำอะไรให้เคารพ อย่าท้าทายซึ่งก็มีเพื่อพอ 1 คนชื่อ จ่ามัธยม แกเป็นคนไม่กลัวและไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ประกอบกับความเมา แกจึงพลั้งปากท้าทายว่า ถ้ามากูจะเตะให้กลิ้งเลย.
พอตกดึกวักประมาฯ ตี 2 ถึง ตี 3 ซึ่งทุกคนนอนหมดแล้ว จ่ามัธยมซึ่งงกางเต้นท์นอน ก็โวยวาย ฟังไม่เป็นภาษา จนทุกคนตื่นและวิ่งออกมาดู แต่ไม่เจอจ่ามัธยมที่เต้นท์ เพื่อๆพ่อก็ช่วยกันเดินหา สักพักก็ไปเจอแก่นั่งตัวสั่นอยู่ข้างเสารั้วลวดหนามบ้านด้านนอก
พ่อผมก็ถามว่า " เป็น
จ่ามัธยาตอบกลับมาว่า " ไอ้
หลักจากนั้นจ่ามัธยม โดยอีกหลายครั้งหนักสุดเลยคือขับรถมาชนเสาไปหน้าบ้านหักทับรถพัง เฉียดทับตัวแกไปนิดเดียว ตอนประมาณ 2 ทุ่ม ทั้งที่แกไม่เมาและมีสติดี โชคดีที่แก่ไม่เป็นอะไร แต่รถพังยับเลย แก่บอกว่า ขับมาอยู่ดีๆ เห็นกองทรายขวางทางอยู่หน้าบ้ายด้วยความตกใจ จึงหักหลบ แล้วชนกับเสาไฟฟ้า.
พอก็เลยบอกให้จ่ามัธยมไปขอขมา ที่ศาลพ่อปู่โป่ง โดยแกก็ยอมทำตาม และจากนั้นก็ไม่มีอะไรแปลกเกิดกับแกอีกเลย.
ทั้งหมดนี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผม ทุกวันนี้ศาลพ่อปู่โป่งก็ยังตั้งอยู่ที่บ้าน และทุกคนในบ้านก็กราบไหว้ เพื่อให้คุ้มครองจากภัยอันตรายครับ.