เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 9


ตอนที่  9  บริษัท  อาหารสัตว์ไทย  (มหาชน)  จำกัด  
สาขาอำเภอคำเขื่อนแก้ว  จังหวัดยโสธร

                วันนี้มีภารกิจต้องออกสำรวจพื้นที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว  จังหวัดยโสธร  ผมกับพี่ทศเราตื่นกันตั้งแต่เช้า  หลังจากทำภารกิจส่วนตัวแล้วเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราสองคนก็ลงมาทานมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้  อิ่มแล้วพี่ทศก็พามาเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม  

                “ไอ้เสือน้อย...วันนี้เราจะออกสำรวจที่อำเภอคำเขื่อนแก้วตามแผนนะ...กูนัดไอ้บุญถมไว้ที่หน้าที่ว่าการอำเภอคำเขื่อนแก้วป่านนี้มันคงมารอแล้วล่ะ...เดี๋ยวเราไปแวะรับมันก่อนนะ”  พี่ทศบอก  
                “ครับพี่แล้วแต่พี่ครับ”  

                วันนี้ผมพูดจาสุภาพเพราะยังไม่ถึงเวลากวนตีนพี่ทศ...ในใจผมคิดถึงแต่ยอดรักของผม  เฮ้อ!..ป่านนี้จะเข้าไปรายงานตัวกับท่านหญิงหรือยังนะ...จะมีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือเปล่า...คงไม่มีอะไรหรอกน่าคิดฟุ้งซ่านไปได้กูนี่ก็...แล้วพี่ทศก็ขับรถมาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งบุญถมรออยู่ก่อนแล้วลงไปทักทายกันเล็กน้อยแล้วพวกเราก็พากันขึ้นรถเพื่อออกสำรวจพื้นที่ในอำเภอคำเขื่อนแก้วบุญถมเป็นคนนำทาง  พวกเราสามคนก็ขับรถตระเวนเกือบทั่วทั้งในตัวอำเภอก็ยังไม่เจอจุดยุทธศาสตร์ที่พึงพอใจจนบ่ายคล้อย  ผมเอ่ยขึ้นว่า   

                “สงสัยจะคว้าน้ำเหลวอีกแล้วล่ะพี่”  แต่แล้วบุญถมก็พูดขึ้นมา  
                “ลูกพี่ครับยังเหลืออีกที่ที่เรายังไม่ได้ไป...แถวตลาดลุมพุกครับ...ตรงนั้นเป็นตลาดอยู่ติดกับสามแยกเป็นตลาดประจำอำเภอเปิดตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำเลยล่ะครับพ่อค้าแม่ค้ามักจะนำสินค้าของตนเองมาจำหน่ายที่นี่มีทั้งขาจรและขาประจำตอนกลางวันผู้คนค่อนข้างจะพรุกพล่านเพราะตลาดแห่งนี้เป็นทางผ่านของทางหลวงระหว่างจังหวัดยโสธรกับจังหวัดอุบลราชธานีจึงมักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาซื้อของกันตลอดทั้งวันเลย...แต่มันก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอราวๆ 2 กิโลเมตรเห็นจะได้นะครับ  ลูกพี่จะลองไปดูไหมครับ”  
                “เอาล่ะไหนๆก็เป็นที่สุดท้ายแล้วไปดูกันเลย”  พี่ทศสั่งการ บุญถมนำทางเราจนมาถึงตลาดลุมพุกที่ว่า...ผมสังเกตเห็นก็เหมือนอย่างที่บุญถมเล่าให้ฟังเลย  พี่ทศหาที่จอดรถแล้วพวกเราก็ลงไปเดินดูในตลาดและบริเวณข้างเคียงผมสังเกตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นห้องแถว 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้  ประมาณ 4 คูหา  อยู่ห่างจากตลาดประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ติดถนนใหญ่แล้วเห็นมีอยู่คูหาหนึ่งติดป้ายว่าให้เซ้งหรือให้เช่าผมชี้ให้พี่ทศดู  
                “พี่ๆดูตรงนั้นซิมีป้ายด้วย...ลองเข้าไปดูกันหน่อยไหมล่ะพี่”   พี่ทศมองตาม  
                “อะไรกันวะไอ้หนึ่ง” พี่ทศสงสัย 
                “อยากรู้ก็ตามผมมาดูกันซิครับลูกพี่”  ผมพูด  แล้วพวกเราสามคนก็เดินตามกันมาจนถึงห้องแถวหลังนั้นแล้วก็ช่วยกันพิจารณาดู...เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาสองชั้นข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้เมื่อพิจารณาจากอายุการก่อสร้างแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 10 – 15 ปี  ด้านหน้าเป็นประตูเลื่อนเหล็กน่าจะกว้างประมาณ 5 – 6 เมตรเห็นจะได้  มีป้ายติดว่าให้เซ้งหรือให้เช่า  ผมจึงถามพี่ทศว่า  
                “เอาไงพี่ในความคิดผมนะตรงนี้ถึงไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอแต่ก็อยู่ใกล้ตลาดผู้คนพรุกพล่านแถมยังติดทางหลวงสายยโสธร-อุบลฯอีกด้วยผมว่าเหมาะสมแล้วนะพี่บุญถมเห็นด้วยกับผมไหม”  ผมถามความเห็น  
                “เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับคุณหนึ่ง” บุญถมตอบ  
                “แล้วพี่ล่ะจะว่ายังไง...ถ้าเห็นด้วยกับพวกผม...นู่นเบอร์โทร.พี่มีมือถือไม่ใช่เหรอโทรไปหาเจ้าของเขาเลยสิจะได้รู้กันซะที”  ผมบอกแบบกวนๆ  
                “ไอ้เวร...เริ่มกวนตีนกูอีกแล้วนะ”  พี่ทศบ่นแต่แล้วก็ยกโทรศัพท์มือถือโทรหาเจ้าของห้องแถวสักพัก...แล้วก็หันมาบอกพวกเราว่าเดี๋ยวเจ้าของจะเข้ามาหาที่นี่  ประมาณ 15 นาทีต่อมา  ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุน่าจะประมาณ 40 ปี ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่พวกเรายืนอยู่แล้วบอกว่าเป็นเจ้าของห้องแถวห้องนี้  พี่ทศพรรับหน้าบอกว่าสนใจห้องเช่าแห่งนี้โดยที่จะเช่าเปิดเป็นสำนักงานสาขาของบริษัทฯ  แต่ขอเข้าไปดูด้านในก่อนได้ไหม  เจ้าของก็เปิดให้เข้าไปดูด้านใน  ด้านล่างเป็นห้องโถงกว้างต่อด้วยห้องน้ำ 1 ห้อง  ถัดมาเป็นห้องครัวด้านหลังสุดเป็นที่ซักล้าง  ต่อมาชั้น 2 เป็นไม้มีบันไดจากชั้น 1 ขึ้นชั้น 2 สุดบันไดขึ้นชั้น 2 เป็นห้องโถงถัดจากห้องโถงมีห้องนอน 1 ห้องซึ่งก็กว้างพอสมควรแต่ชั้นบนไม่มีห้องน้ำ  พวกเราก็หันมาปรึกษากันครู่หนึ่งแล้วตกลงกันว่าจะเอายังไงกันล่ะทีนี้    แล้วพี่ทศก็หันไปตกลงราคาค่าเช่ากับเจ้าของ  เจ้าของบอกราคาค่าเช่ากับพี่ทศแล้วพี่ทศยืนนิ่งแล้วบอกกับเจ้าของว่า  
                “ผมจ่ายล่วงหน้า 3 เดือนเลยครับ”  ผมพึ่งมารู้ในตอนหลังเจ้าของเขาเก็บค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000 บาทเอง  ถึงว่าพี่ทศแทบกราบเท้าเจ้าของห้องเช่าเขาเลย...อิๆๆๆ(ผมล้อเล่นนะ)   เจ้าของบ้านรีบยื่นกุญแจให้แล้วบอกเชิญอยู่กันตามสบายนะคะแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วจากไปส่วนเรื่องเอกสารการเช่าบุญถมขอรับหน้าที่จัดการให้เอง  ในที่สุดก็มีสาขาในจังหวัดยโสธรจนได้ผมไม่ผิดสัญญากับท่านหญิงแล้ว  นี่ก็เป็นเวลาประมาณ 18.00 น. แล้ว  พี่ทศชวนพวกเราไปหากินเหล้ากันดีกว่าผมบอกพี่ทศว่า  
                “พี่วันนี้ผมขอบายนะครับ  ผมอยากจะจัดการสัมภาระให้เข้าที่ก่อนคืนนี้ผมจะนอนที่นี่”  พี่ทศกับบุญถมพูดขึ้นพร้อมกัน  
                “เฮ้ย!..เอาจริงดิ...ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยอยู่เข้าไปได้ไงวะ”  พี่ทศพูด  แล้วบุญถมพูดเสริม  
                “คุณหนึ่งไปนอนที่บ้านผมก่อนไหมพรุ่งนี้เรามาด้วยกันช่วยกันทำความสะอาดก็ได้”  ผมบอกว่า 
                “เรื่องแค่นี้เองอย่าลืมนะว่าผมเป็นเด็กวัดมาก่อนแค่นี้เรื่องเล็กน้อย  อีกอย่างผมอยากจะสำรวจตลาดลุมพุกซะหน่อยเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง  พี่บุญถมพี่กลับบ้านไปก่อนเถอะพรุ่งนี้เราต้องมีอะไรให้ทำกันอีกเยอะ  พี่ทศครับพี่กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะพี่วันนี้เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว  แต่พรุ่งนี้พี่ต้องมานะเพราะเราจะต้องซื้อของเข้าสำนักงานใหม่อีกหลายอย่างเงินอยู่กับพี่ถ้าพี่ไม่มาจบเห่เลยนะครับลูกพี่”  ผมย้ำเห็นพี่ทศทำหน้าหงุดหงิดคงนึกด่าผมในใจกระมังว่าใครเป็นลูกพี่ใครเป็นลูกน้องกันแน่  
                “เออ...กูรู้แล้ว”  ผมพูดต่อ 
                “พี่ชายตอนนี้เราได้สำนักงานใหม่แล้วนะถึงจะเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นแต่ก็สำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้วผมจะบอกเมียผมให้รายงานท่านหญิงว่าครั้งนี้เป็นผลงานของพี่ทศพรเป็นผู้นำทีมให้เราเปิดสาขาในยโสธรได้ยอดเยี่ยม...ฮ้าๆๆๆ”  ผมพูดต่ออีก  
                “พี่รู้ไหมถ้าไม่มีพี่คอยส่งเสริมผมกับปุ๊พวกผมก็คงไม่มีวันนี้หรอกครับ  จะมีพนักงานธรรมดาๆสักกี่คนที่ได้รับโอกาสเข้าพบท่านประธานบริษัทฯได้พูดคุยแบบเป็นกันเองหนะ  ตอนนี้สัญญาของผมกับท่านหญิงเริ่มต้นมาหนึ่งก้าวแล้ว...แล้วมันจะมีก้าวต่อๆไป  งานนี้ผมขอยกเครดิตให้พี่เต็มๆเลยครับพี่” พี่ทศได้ฟ้งแล้วหันมามองหน้าผมแล้วพูดว่า  
                “ที่กูเคยเรียกว่าไอ้เสือน้อยหนะ...กูขอเปลี่ยนใหม่หวะกูจะเรียกว่า ไอ้เสือ อย่างเต็มตัวเลย  เป็นลูกน้องที่กูไว้ใจที่สุดไม่มีครั้งไหนที่จะทำให้กูผิดหวังเรื่องการทำงานเลย  ส่วนเรื่องของกับปุ๊หนะกูรู้มาตลอดว่าพวกรักกันและคับแค้นใจกับไอ้ผู้จัดการใหญ่มากแค่ไหนที่มันจะแอบเข้าหาปุ๊  กูถึงแอบส่งข่าวแล้วทำทีส่งพัสดุไปให้ท่านหญิงที่สาขายางตลาดเพื่อให้ท่านไปรับพัสดุที่นั่นกับปุ๊ด้วยตนเองเพื่อจะให้ท่านได้สัมผัสกับตัวตนของปุ๊  เมื่อท่านไปเห็นกับตาตัวเองแล้วเห็นว่าปุ๊เป็นคนอัธยาศัยดี  อ่อนน้อมถ่อมตน  เป็นคนสุภาพเรียบร้อย  พูดจามีสัมมาคารวะ  ท่านพึงพอใจมาก  ส่วนหนะท่านแอบไปนั่งฟังการประชุมกลุ่มประจำวันของพวก  ท่านทึ่งในความคิดของมากที่คิดไม่เหมือนคนอื่น  แล้วท่านก็เลยเรียกกูเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อถามประวัติที่มาที่ไปของพวกทั้งคู่ท่านก็เลยให้กูไปบอกพวกให้ไปพบเป็นการส่วนตัวตามนั้นแหล่ะ...เอาล่ะในเมื่อจะนอนที่นี่ก็ตามใจ  เรื่องที่กูอยากจะพูดกูก็พูดไปแล้วกูขอไปหาที่พักผ่อนก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน...กูไปล่ะนะ”  พี่ทศพูดจบแล้วก็เดินจากไป  ผมตะโกนไล่หลังพร้อมยกมือไหว้ 
                “ขอบคุณครับลูกพี่”  ผมคิดในใจยังไงซะลูกพี่กับลูกน้องมันก็ทิ้งกันไม่ลงหรอกถ้าจริงใจให้กัน  พี่ทศกับบุญถมกลับไปแล้ว  ผมรีบจัดการเรื่องสัมภาระให้เรียบร้อยเพราะยังไงผมต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว  สำรวจตลาดเหรอเอาไว้ก่อนตอนนี้ในสมองผมคือปุ๊เท่านั้น  ผมเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ  ยกหู  หยอดเหรียญ  กดเบอร์  ตอนนั้นเป็นเวลา 19.00 น. โดยประมาณ  เสียงปลายสายตอบมาว่า 
                “สวัสดีคะ  สำนักงานท่านประธานบริษัท อาหารสัตว์ไทยฯคะ”  
                “นั่นใช่คุณเจนจิรารับสายหรือป่าวครับ “  ปลายสายตอบ 
                “ อ๋อ...คุณเจนจิราตอนนี้อยู่กับท่านหญิงค่ะ  จะให้บอกไหมคะว่าใครโทรมาหา” เสียงปลายสายถาม 
                “รบกวนบอกคุณเจนจิราด้วยนะครับบอกว่าเด็กวัดไผ่ตันเปิดสาขาที่ยโสธรได้แล้ว  ให้คุณเจนจิราเรียนท่านหญิงด้วยนะครับขอบคุณครับ”   ผมวางหูโทรศัพท์สาธารณะแล้วกำลังจะเดินออกไป  จุ่ๆเสียงโทรศัพท์สาธารณะเครื่องนั้นก็ดังขึ้น  ผมตกใจแต่ก็ลองยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟังแล้วลองพูดทักทาย 
                “ฮัลโหล”  เสียงปลายสายตะโกนออกมาเสียงดัง 
                “หนึ่ง...หนึ่งใช่ไหมปุ๊เองนะ...เป็นห่วงแทบแย่  เป็นยังไงบ้างคะ”  
                “ผมก็ยังเป็นสามีสุดที่รักของปุ๊เหมือนเดิมนั่นล่ะครับ”  ผมพูดหยอก 
                “หนึ่งนี่นะ!...เอาจริงๆซิอย่าพูดเล่นซิท่านหญิงรอฟังอยู่นะ”  ปุ๊บอก  
                “ฮ้าจริงดิตอนนี้เปิดลำโพงอยู่เหรอ...มีใครอยู่บ้างล่ะ”  ผมถาม  
                “มีท่านหญิง  พี่มด  แล้วก็ปุ๊”  ผมพยายามตั้งสติแล้วก็พูดออกไป  
                “สวัสดีครับท่านทั้งหลายกระผมนายณพฉัตร  เปาชัยครับ  ตอนนี้อยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว  จังหวัดยโสธรครับ  ขอรายงานท่านประธานครับ  จากการที่พวกเราได้รับมอบหมายภารกิจให้มาเปิดสาขาแห่งใหม่ที่  จ.ยโสธรนั้น  ในวันแรกภารกิจของเราล้มเหลวเนื่องจากหาสถานที่เช่าเป็นสำนักงานแห่งใหม่ไม่ได้เพราะราคาสถานที่แพงเกินไป  พวกเราจึงหารือกันว่าเมื่อในเมืองหาไม่ได้ก็น่าจะลองไปหาแถวๆนอกเมืองดูกันไหม  บุญถมซึ่งเป็นผู้ช่วยของผมเสนอกับพี่ทศพรว่าน่าจะไปลองสำรวจดูที่อำเภอคำเขื่อนแก้วดูซึ่งเป็นอำเภอบ้านเกิดของเขาเองอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น  แล้วยังมีทางหลวงแผ่นดินสายหลักจากยโสธรถึงอุบลราชธานีอีกด้วย  การคมนาคมสะดวก  ด้วยความชานฉลาดของพี่ทศพรเลยนำพวกเรามาสำรวจในสถานที่ดังกล่าวจนพบสถานที่แห่งหนึ่งทำเลเหมาะมาก เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาติดกับทางหลวงใกล้กับตลาดลุมพุกซึ่งเป็นตลาดประจำอำเภอคำเขื่อนแก้วอีกด้วยแต่ก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร  แต่พวกเราปรึกษากันแล้วว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาและที่สำคัญมากก็คือราคาค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000  บาทเองครับ  พี่ทศพรในฐานะหัวหน้าคณะได้ตัดสินใจเช่าโดยไม่ลังเลในทันทีเนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทฯเป็นอย่างมากและสถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่มั่นตามหลักยุทธศาสตร์ทางการตลาดของบริษัทฯของเราต่อไปอย่างแน่นอนครับท่าน...ท่านมีอะไรจะสอบถามกระผมอีกไหมครับ”  ผมถาม  ท่านพูดต่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่