ตอนที่ 9 บริษัท อาหารสัตว์ไทย (มหาชน) จำกัด
สาขาอำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร
วันนี้มีภารกิจต้องออกสำรวจพื้นที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ผมกับพี่ทศเราตื่นกันตั้งแต่เช้า หลังจากทำภารกิจส่วนตัวแล้วเก็บสัมภาระเรียบร้อยเราสองคนก็ลงมาทานมื้อเช้าที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ อิ่มแล้วพี่ทศก็พามาเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม
“ไอ้เสือน้อย...วันนี้เราจะออกสำรวจที่อำเภอคำเขื่อนแก้วตามแผนนะ...กูนัดไอ้บุญถมไว้ที่หน้าที่ว่าการอำเภอคำเขื่อนแก้วป่านนี้มันคงมารอแล้วล่ะ...เดี๋ยวเราไปแวะรับมันก่อนนะ” พี่ทศบอก
“ครับพี่แล้วแต่พี่ครับ”
วันนี้ผมพูดจาสุภาพเพราะยังไม่ถึงเวลากวนตีนพี่ทศ...ในใจผมคิดถึงแต่ยอดรักของผม เฮ้อ!..ป่านนี้จะเข้าไปรายงานตัวกับท่านหญิงหรือยังนะ...จะมีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือเปล่า...คงไม่มีอะไรหรอกน่าคิดฟุ้งซ่านไปได้กูนี่ก็...แล้วพี่ทศก็ขับรถมาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งบุญถมรออยู่ก่อนแล้วลงไปทักทายกันเล็กน้อยแล้วพวกเราก็พากันขึ้นรถเพื่อออกสำรวจพื้นที่ในอำเภอคำเขื่อนแก้วบุญถมเป็นคนนำทาง พวกเราสามคนก็ขับรถตระเวนเกือบทั่วทั้งในตัวอำเภอก็ยังไม่เจอจุดยุทธศาสตร์ที่พึงพอใจจนบ่ายคล้อย ผมเอ่ยขึ้นว่า
“สงสัยจะคว้าน้ำเหลวอีกแล้วล่ะพี่” แต่แล้วบุญถมก็พูดขึ้นมา
“ลูกพี่ครับยังเหลืออีกที่ที่เรายังไม่ได้ไป...แถวตลาดลุมพุกครับ...ตรงนั้นเป็นตลาดอยู่ติดกับสามแยกเป็นตลาดประจำอำเภอเปิดตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำเลยล่ะครับพ่อค้าแม่ค้ามักจะนำสินค้าของตนเองมาจำหน่ายที่นี่มีทั้งขาจรและขาประจำตอนกลางวันผู้คนค่อนข้างจะพรุกพล่านเพราะตลาดแห่งนี้เป็นทางผ่านของทางหลวงระหว่างจังหวัดยโสธรกับจังหวัดอุบลราชธานีจึงมักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาซื้อของกันตลอดทั้งวันเลย...แต่มันก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอราวๆ 2 กิโลเมตรเห็นจะได้นะครับ ลูกพี่จะลองไปดูไหมครับ”
“เอาล่ะไหนๆก็เป็นที่สุดท้ายแล้วไปดูกันเลย” พี่ทศสั่งการ บุญถมนำทางเราจนมาถึงตลาดลุมพุกที่ว่า...ผมสังเกตเห็นก็เหมือนอย่างที่บุญถมเล่าให้ฟังเลย พี่ทศหาที่จอดรถแล้วพวกเราก็ลงไปเดินดูในตลาดและบริเวณข้างเคียงผมสังเกตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นห้องแถว 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ประมาณ 4 คูหา อยู่ห่างจากตลาดประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ติดถนนใหญ่แล้วเห็นมีอยู่คูหาหนึ่งติดป้ายว่าให้เซ้งหรือให้เช่าผมชี้ให้พี่ทศดู
“พี่ๆดูตรงนั้นซิมีป้ายด้วย...ลองเข้าไปดูกันหน่อยไหมล่ะพี่” พี่ทศมองตาม
“อะไรกันวะไอ้หนึ่ง” พี่ทศสงสัย
“อยากรู้ก็ตามผมมาดูกันซิครับลูกพี่” ผมพูด แล้วพวกเราสามคนก็เดินตามกันมาจนถึงห้องแถวหลังนั้นแล้วก็ช่วยกันพิจารณาดู...เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาสองชั้นข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้เมื่อพิจารณาจากอายุการก่อสร้างแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 10 – 15 ปี ด้านหน้าเป็นประตูเลื่อนเหล็กน่าจะกว้างประมาณ 5 – 6 เมตรเห็นจะได้ มีป้ายติดว่าให้เซ้งหรือให้เช่า ผมจึงถามพี่ทศว่า
“เอาไงพี่ในความคิดผมนะตรงนี้ถึงไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอแต่ก็อยู่ใกล้ตลาดผู้คนพรุกพล่านแถมยังติดทางหลวงสายยโสธร-อุบลฯอีกด้วยผมว่าเหมาะสมแล้วนะพี่บุญถมเห็นด้วยกับผมไหม” ผมถามความเห็น
“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับคุณหนึ่ง” บุญถมตอบ
“แล้วพี่ล่ะจะว่ายังไง...ถ้าเห็นด้วยกับพวกผม...นู่นเบอร์โทร.พี่มีมือถือไม่ใช่เหรอโทรไปหาเจ้าของเขาเลยสิจะได้รู้กันซะที” ผมบอกแบบกวนๆ
“ไอ้เวร...เริ่มกวนตีนกูอีกแล้วนะ” พี่ทศบ่นแต่แล้วก็ยกโทรศัพท์มือถือโทรหาเจ้าของห้องแถวสักพัก...แล้วก็หันมาบอกพวกเราว่าเดี๋ยวเจ้าของจะเข้ามาหาที่นี่ ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุน่าจะประมาณ 40 ปี ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่พวกเรายืนอยู่แล้วบอกว่าเป็นเจ้าของห้องแถวห้องนี้ พี่ทศพรรับหน้าบอกว่าสนใจห้องเช่าแห่งนี้โดยที่จะเช่าเปิดเป็นสำนักงานสาขาของบริษัทฯ แต่ขอเข้าไปดูด้านในก่อนได้ไหม เจ้าของก็เปิดให้เข้าไปดูด้านใน ด้านล่างเป็นห้องโถงกว้างต่อด้วยห้องน้ำ 1 ห้อง ถัดมาเป็นห้องครัวด้านหลังสุดเป็นที่ซักล้าง ต่อมาชั้น 2 เป็นไม้มีบันไดจากชั้น 1 ขึ้นชั้น 2 สุดบันไดขึ้นชั้น 2 เป็นห้องโถงถัดจากห้องโถงมีห้องนอน 1 ห้องซึ่งก็กว้างพอสมควรแต่ชั้นบนไม่มีห้องน้ำ พวกเราก็หันมาปรึกษากันครู่หนึ่งแล้วตกลงกันว่าจะเอายังไงกันล่ะทีนี้ แล้วพี่ทศก็หันไปตกลงราคาค่าเช่ากับเจ้าของ เจ้าของบอกราคาค่าเช่ากับพี่ทศแล้วพี่ทศยืนนิ่งแล้วบอกกับเจ้าของว่า
“ผมจ่ายล่วงหน้า 3 เดือนเลยครับ” ผมพึ่งมารู้ในตอนหลังเจ้าของเขาเก็บค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000 บาทเอง ถึงว่าพี่ทศแทบกราบเท้าเจ้าของห้องเช่าเขาเลย...อิๆๆๆ(ผมล้อเล่นนะ) เจ้าของบ้านรีบยื่นกุญแจให้แล้วบอกเชิญอยู่กันตามสบายนะคะแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วจากไปส่วนเรื่องเอกสารการเช่าบุญถมขอรับหน้าที่จัดการให้เอง ในที่สุดก็มีสาขาในจังหวัดยโสธรจนได้ผมไม่ผิดสัญญากับท่านหญิงแล้ว นี่ก็เป็นเวลาประมาณ 18.00 น. แล้ว พี่ทศชวนพวกเราไปหากินเหล้ากันดีกว่าผมบอกพี่ทศว่า
“พี่วันนี้ผมขอบายนะครับ ผมอยากจะจัดการสัมภาระให้เข้าที่ก่อนคืนนี้ผมจะนอนที่นี่” พี่ทศกับบุญถมพูดขึ้นพร้อมกัน
“เฮ้ย!..เอาจริงดิ...ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยอยู่เข้าไปได้ไงวะ” พี่ทศพูด แล้วบุญถมพูดเสริม
“คุณหนึ่งไปนอนที่บ้านผมก่อนไหมพรุ่งนี้เรามาด้วยกันช่วยกันทำความสะอาดก็ได้” ผมบอกว่า
“เรื่องแค่นี้เองอย่าลืมนะว่าผมเป็นเด็กวัดมาก่อนแค่นี้เรื่องเล็กน้อย อีกอย่างผมอยากจะสำรวจตลาดลุมพุกซะหน่อยเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง พี่บุญถมพี่กลับบ้านไปก่อนเถอะพรุ่งนี้เราต้องมีอะไรให้ทำกันอีกเยอะ พี่ทศครับพี่กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะพี่วันนี้เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว แต่พรุ่งนี้พี่ต้องมานะเพราะเราจะต้องซื้อของเข้าสำนักงานใหม่อีกหลายอย่างเงินอยู่กับพี่ถ้าพี่ไม่มาจบเห่เลยนะครับลูกพี่” ผมย้ำเห็นพี่ทศทำหน้าหงุดหงิดคงนึกด่าผมในใจกระมังว่าใครเป็นลูกพี่ใครเป็นลูกน้องกันแน่
“เออ...กูรู้แล้ว” ผมพูดต่อ
“พี่ชายตอนนี้เราได้สำนักงานใหม่แล้วนะถึงจะเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นแต่ก็สำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้วผมจะบอกเมียผมให้รายงานท่านหญิงว่าครั้งนี้เป็นผลงานของพี่ทศพรเป็นผู้นำทีมให้เราเปิดสาขาในยโสธรได้ยอดเยี่ยม...ฮ้าๆๆๆ” ผมพูดต่ออีก
“พี่รู้ไหมถ้าไม่มีพี่คอยส่งเสริมผมกับปุ๊พวกผมก็คงไม่มีวันนี้หรอกครับ จะมีพนักงานธรรมดาๆสักกี่คนที่ได้รับโอกาสเข้าพบท่านประธานบริษัทฯได้พูดคุยแบบเป็นกันเองหนะ ตอนนี้สัญญาของผมกับท่านหญิงเริ่มต้นมาหนึ่งก้าวแล้ว...แล้วมันจะมีก้าวต่อๆไป งานนี้ผมขอยกเครดิตให้พี่เต็มๆเลยครับพี่” พี่ทศได้ฟ้งแล้วหันมามองหน้าผมแล้วพูดว่า
“ที่กูเคยเรียกว่าไอ้เสือน้อยหนะ...กูขอเปลี่ยนใหม่หวะกูจะเรียกว่า ไอ้เสือ อย่างเต็มตัวเลย เป็นลูกน้องที่กูไว้ใจที่สุดไม่มีครั้งไหนที่จะทำให้กูผิดหวังเรื่องการทำงานเลย ส่วนเรื่องของกับปุ๊หนะกูรู้มาตลอดว่าพวกรักกันและคับแค้นใจกับไอ้ผู้จัดการใหญ่มากแค่ไหนที่มันจะแอบเข้าหาปุ๊ กูถึงแอบส่งข่าวแล้วทำทีส่งพัสดุไปให้ท่านหญิงที่สาขายางตลาดเพื่อให้ท่านไปรับพัสดุที่นั่นกับปุ๊ด้วยตนเองเพื่อจะให้ท่านได้สัมผัสกับตัวตนของปุ๊ เมื่อท่านไปเห็นกับตาตัวเองแล้วเห็นว่าปุ๊เป็นคนอัธยาศัยดี อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย พูดจามีสัมมาคารวะ ท่านพึงพอใจมาก ส่วนหนะท่านแอบไปนั่งฟังการประชุมกลุ่มประจำวันของพวก ท่านทึ่งในความคิดของมากที่คิดไม่เหมือนคนอื่น แล้วท่านก็เลยเรียกกูเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อถามประวัติที่มาที่ไปของพวกทั้งคู่ท่านก็เลยให้กูไปบอกพวกให้ไปพบเป็นการส่วนตัวตามนั้นแหล่ะ...เอาล่ะในเมื่อจะนอนที่นี่ก็ตามใจ เรื่องที่กูอยากจะพูดกูก็พูดไปแล้วกูขอไปหาที่พักผ่อนก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน...กูไปล่ะนะ” พี่ทศพูดจบแล้วก็เดินจากไป ผมตะโกนไล่หลังพร้อมยกมือไหว้
“ขอบคุณครับลูกพี่” ผมคิดในใจยังไงซะลูกพี่กับลูกน้องมันก็ทิ้งกันไม่ลงหรอกถ้าจริงใจให้กัน พี่ทศกับบุญถมกลับไปแล้ว ผมรีบจัดการเรื่องสัมภาระให้เรียบร้อยเพราะยังไงผมต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว สำรวจตลาดเหรอเอาไว้ก่อนตอนนี้ในสมองผมคือปุ๊เท่านั้น ผมเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ยกหู หยอดเหรียญ กดเบอร์ ตอนนั้นเป็นเวลา 19.00 น. โดยประมาณ เสียงปลายสายตอบมาว่า
“สวัสดีคะ สำนักงานท่านประธานบริษัท อาหารสัตว์ไทยฯคะ”
“นั่นใช่คุณเจนจิรารับสายหรือป่าวครับ “ ปลายสายตอบ
“ อ๋อ...คุณเจนจิราตอนนี้อยู่กับท่านหญิงค่ะ จะให้บอกไหมคะว่าใครโทรมาหา” เสียงปลายสายถาม
“รบกวนบอกคุณเจนจิราด้วยนะครับบอกว่าเด็กวัดไผ่ตันเปิดสาขาที่ยโสธรได้แล้ว ให้คุณเจนจิราเรียนท่านหญิงด้วยนะครับขอบคุณครับ” ผมวางหูโทรศัพท์สาธารณะแล้วกำลังจะเดินออกไป จุ่ๆเสียงโทรศัพท์สาธารณะเครื่องนั้นก็ดังขึ้น ผมตกใจแต่ก็ลองยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟังแล้วลองพูดทักทาย
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายตะโกนออกมาเสียงดัง
“หนึ่ง...หนึ่งใช่ไหมปุ๊เองนะ...เป็นห่วงแทบแย่ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมก็ยังเป็นสามีสุดที่รักของปุ๊เหมือนเดิมนั่นล่ะครับ” ผมพูดหยอก
“หนึ่งนี่นะ!...เอาจริงๆซิอย่าพูดเล่นซิท่านหญิงรอฟังอยู่นะ” ปุ๊บอก
“ฮ้าจริงดิตอนนี้เปิดลำโพงอยู่เหรอ...มีใครอยู่บ้างล่ะ” ผมถาม
“มีท่านหญิง พี่มด แล้วก็ปุ๊” ผมพยายามตั้งสติแล้วก็พูดออกไป
“สวัสดีครับท่านทั้งหลายกระผมนายณพฉัตร เปาชัยครับ ตอนนี้อยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธรครับ ขอรายงานท่านประธานครับ จากการที่พวกเราได้รับมอบหมายภารกิจให้มาเปิดสาขาแห่งใหม่ที่ จ.ยโสธรนั้น ในวันแรกภารกิจของเราล้มเหลวเนื่องจากหาสถานที่เช่าเป็นสำนักงานแห่งใหม่ไม่ได้เพราะราคาสถานที่แพงเกินไป พวกเราจึงหารือกันว่าเมื่อในเมืองหาไม่ได้ก็น่าจะลองไปหาแถวๆนอกเมืองดูกันไหม บุญถมซึ่งเป็นผู้ช่วยของผมเสนอกับพี่ทศพรว่าน่าจะไปลองสำรวจดูที่อำเภอคำเขื่อนแก้วดูซึ่งเป็นอำเภอบ้านเกิดของเขาเองอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วยังมีทางหลวงแผ่นดินสายหลักจากยโสธรถึงอุบลราชธานีอีกด้วย การคมนาคมสะดวก ด้วยความชานฉลาดของพี่ทศพรเลยนำพวกเรามาสำรวจในสถานที่ดังกล่าวจนพบสถานที่แห่งหนึ่งทำเลเหมาะมาก เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาติดกับทางหลวงใกล้กับตลาดลุมพุกซึ่งเป็นตลาดประจำอำเภอคำเขื่อนแก้วอีกด้วยแต่ก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร แต่พวกเราปรึกษากันแล้วว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาและที่สำคัญมากก็คือราคาค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000 บาทเองครับ พี่ทศพรในฐานะหัวหน้าคณะได้ตัดสินใจเช่าโดยไม่ลังเลในทันทีเนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทฯเป็นอย่างมากและสถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่มั่นตามหลักยุทธศาสตร์ทางการตลาดของบริษัทฯของเราต่อไปอย่างแน่นอนครับท่าน...ท่านมีอะไรจะสอบถามกระผมอีกไหมครับ” ผมถาม ท่านพูดต่อ
เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 9
“ไอ้เสือน้อย...วันนี้เราจะออกสำรวจที่อำเภอคำเขื่อนแก้วตามแผนนะ...กูนัดไอ้บุญถมไว้ที่หน้าที่ว่าการอำเภอคำเขื่อนแก้วป่านนี้มันคงมารอแล้วล่ะ...เดี๋ยวเราไปแวะรับมันก่อนนะ” พี่ทศบอก
“ครับพี่แล้วแต่พี่ครับ”
วันนี้ผมพูดจาสุภาพเพราะยังไม่ถึงเวลากวนตีนพี่ทศ...ในใจผมคิดถึงแต่ยอดรักของผม เฮ้อ!..ป่านนี้จะเข้าไปรายงานตัวกับท่านหญิงหรือยังนะ...จะมีปัญหาอุปสรรคอะไรหรือเปล่า...คงไม่มีอะไรหรอกน่าคิดฟุ้งซ่านไปได้กูนี่ก็...แล้วพี่ทศก็ขับรถมาถึงหน้าที่ว่าการอำเภอซึ่งบุญถมรออยู่ก่อนแล้วลงไปทักทายกันเล็กน้อยแล้วพวกเราก็พากันขึ้นรถเพื่อออกสำรวจพื้นที่ในอำเภอคำเขื่อนแก้วบุญถมเป็นคนนำทาง พวกเราสามคนก็ขับรถตระเวนเกือบทั่วทั้งในตัวอำเภอก็ยังไม่เจอจุดยุทธศาสตร์ที่พึงพอใจจนบ่ายคล้อย ผมเอ่ยขึ้นว่า
“สงสัยจะคว้าน้ำเหลวอีกแล้วล่ะพี่” แต่แล้วบุญถมก็พูดขึ้นมา
“ลูกพี่ครับยังเหลืออีกที่ที่เรายังไม่ได้ไป...แถวตลาดลุมพุกครับ...ตรงนั้นเป็นตลาดอยู่ติดกับสามแยกเป็นตลาดประจำอำเภอเปิดตั้งแต่เช้ามืดจนถึงค่ำเลยล่ะครับพ่อค้าแม่ค้ามักจะนำสินค้าของตนเองมาจำหน่ายที่นี่มีทั้งขาจรและขาประจำตอนกลางวันผู้คนค่อนข้างจะพรุกพล่านเพราะตลาดแห่งนี้เป็นทางผ่านของทางหลวงระหว่างจังหวัดยโสธรกับจังหวัดอุบลราชธานีจึงมักจะมีนักท่องเที่ยวแวะเวียนมาซื้อของกันตลอดทั้งวันเลย...แต่มันก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอราวๆ 2 กิโลเมตรเห็นจะได้นะครับ ลูกพี่จะลองไปดูไหมครับ”
“เอาล่ะไหนๆก็เป็นที่สุดท้ายแล้วไปดูกันเลย” พี่ทศสั่งการ บุญถมนำทางเราจนมาถึงตลาดลุมพุกที่ว่า...ผมสังเกตเห็นก็เหมือนอย่างที่บุญถมเล่าให้ฟังเลย พี่ทศหาที่จอดรถแล้วพวกเราก็ลงไปเดินดูในตลาดและบริเวณข้างเคียงผมสังเกตเห็นสถานที่แห่งหนึ่งเป็นห้องแถว 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ประมาณ 4 คูหา อยู่ห่างจากตลาดประมาณ 100 เมตรเห็นจะได้ติดถนนใหญ่แล้วเห็นมีอยู่คูหาหนึ่งติดป้ายว่าให้เซ้งหรือให้เช่าผมชี้ให้พี่ทศดู
“พี่ๆดูตรงนั้นซิมีป้ายด้วย...ลองเข้าไปดูกันหน่อยไหมล่ะพี่” พี่ทศมองตาม
“อะไรกันวะไอ้หนึ่ง” พี่ทศสงสัย
“อยากรู้ก็ตามผมมาดูกันซิครับลูกพี่” ผมพูด แล้วพวกเราสามคนก็เดินตามกันมาจนถึงห้องแถวหลังนั้นแล้วก็ช่วยกันพิจารณาดู...เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาสองชั้นข้างล่างเป็นปูนข้างบนเป็นไม้เมื่อพิจารณาจากอายุการก่อสร้างแล้วน่าจะมีอายุประมาณ 10 – 15 ปี ด้านหน้าเป็นประตูเลื่อนเหล็กน่าจะกว้างประมาณ 5 – 6 เมตรเห็นจะได้ มีป้ายติดว่าให้เซ้งหรือให้เช่า ผมจึงถามพี่ทศว่า
“เอาไงพี่ในความคิดผมนะตรงนี้ถึงไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอแต่ก็อยู่ใกล้ตลาดผู้คนพรุกพล่านแถมยังติดทางหลวงสายยโสธร-อุบลฯอีกด้วยผมว่าเหมาะสมแล้วนะพี่บุญถมเห็นด้วยกับผมไหม” ผมถามความเห็น
“เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับคุณหนึ่ง” บุญถมตอบ
“แล้วพี่ล่ะจะว่ายังไง...ถ้าเห็นด้วยกับพวกผม...นู่นเบอร์โทร.พี่มีมือถือไม่ใช่เหรอโทรไปหาเจ้าของเขาเลยสิจะได้รู้กันซะที” ผมบอกแบบกวนๆ
“ไอ้เวร...เริ่มกวนตีนกูอีกแล้วนะ” พี่ทศบ่นแต่แล้วก็ยกโทรศัพท์มือถือโทรหาเจ้าของห้องแถวสักพัก...แล้วก็หันมาบอกพวกเราว่าเดี๋ยวเจ้าของจะเข้ามาหาที่นี่ ประมาณ 15 นาทีต่อมา ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนอายุน่าจะประมาณ 40 ปี ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่พวกเรายืนอยู่แล้วบอกว่าเป็นเจ้าของห้องแถวห้องนี้ พี่ทศพรรับหน้าบอกว่าสนใจห้องเช่าแห่งนี้โดยที่จะเช่าเปิดเป็นสำนักงานสาขาของบริษัทฯ แต่ขอเข้าไปดูด้านในก่อนได้ไหม เจ้าของก็เปิดให้เข้าไปดูด้านใน ด้านล่างเป็นห้องโถงกว้างต่อด้วยห้องน้ำ 1 ห้อง ถัดมาเป็นห้องครัวด้านหลังสุดเป็นที่ซักล้าง ต่อมาชั้น 2 เป็นไม้มีบันไดจากชั้น 1 ขึ้นชั้น 2 สุดบันไดขึ้นชั้น 2 เป็นห้องโถงถัดจากห้องโถงมีห้องนอน 1 ห้องซึ่งก็กว้างพอสมควรแต่ชั้นบนไม่มีห้องน้ำ พวกเราก็หันมาปรึกษากันครู่หนึ่งแล้วตกลงกันว่าจะเอายังไงกันล่ะทีนี้ แล้วพี่ทศก็หันไปตกลงราคาค่าเช่ากับเจ้าของ เจ้าของบอกราคาค่าเช่ากับพี่ทศแล้วพี่ทศยืนนิ่งแล้วบอกกับเจ้าของว่า
“ผมจ่ายล่วงหน้า 3 เดือนเลยครับ” ผมพึ่งมารู้ในตอนหลังเจ้าของเขาเก็บค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000 บาทเอง ถึงว่าพี่ทศแทบกราบเท้าเจ้าของห้องเช่าเขาเลย...อิๆๆๆ(ผมล้อเล่นนะ) เจ้าของบ้านรีบยื่นกุญแจให้แล้วบอกเชิญอยู่กันตามสบายนะคะแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วจากไปส่วนเรื่องเอกสารการเช่าบุญถมขอรับหน้าที่จัดการให้เอง ในที่สุดก็มีสาขาในจังหวัดยโสธรจนได้ผมไม่ผิดสัญญากับท่านหญิงแล้ว นี่ก็เป็นเวลาประมาณ 18.00 น. แล้ว พี่ทศชวนพวกเราไปหากินเหล้ากันดีกว่าผมบอกพี่ทศว่า
“พี่วันนี้ผมขอบายนะครับ ผมอยากจะจัดการสัมภาระให้เข้าที่ก่อนคืนนี้ผมจะนอนที่นี่” พี่ทศกับบุญถมพูดขึ้นพร้อมกัน
“เฮ้ย!..เอาจริงดิ...ยังไม่ได้ทำความสะอาดเลยอยู่เข้าไปได้ไงวะ” พี่ทศพูด แล้วบุญถมพูดเสริม
“คุณหนึ่งไปนอนที่บ้านผมก่อนไหมพรุ่งนี้เรามาด้วยกันช่วยกันทำความสะอาดก็ได้” ผมบอกว่า
“เรื่องแค่นี้เองอย่าลืมนะว่าผมเป็นเด็กวัดมาก่อนแค่นี้เรื่องเล็กน้อย อีกอย่างผมอยากจะสำรวจตลาดลุมพุกซะหน่อยเผื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมบ้าง พี่บุญถมพี่กลับบ้านไปก่อนเถอะพรุ่งนี้เราต้องมีอะไรให้ทำกันอีกเยอะ พี่ทศครับพี่กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะพี่วันนี้เราเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว แต่พรุ่งนี้พี่ต้องมานะเพราะเราจะต้องซื้อของเข้าสำนักงานใหม่อีกหลายอย่างเงินอยู่กับพี่ถ้าพี่ไม่มาจบเห่เลยนะครับลูกพี่” ผมย้ำเห็นพี่ทศทำหน้าหงุดหงิดคงนึกด่าผมในใจกระมังว่าใครเป็นลูกพี่ใครเป็นลูกน้องกันแน่
“เออ...กูรู้แล้ว” ผมพูดต่อ
“พี่ชายตอนนี้เราได้สำนักงานใหม่แล้วนะถึงจะเป็นแค่เพียงการเริ่มต้นแต่ก็สำเร็จไปก้าวหนึ่งแล้วผมจะบอกเมียผมให้รายงานท่านหญิงว่าครั้งนี้เป็นผลงานของพี่ทศพรเป็นผู้นำทีมให้เราเปิดสาขาในยโสธรได้ยอดเยี่ยม...ฮ้าๆๆๆ” ผมพูดต่ออีก
“พี่รู้ไหมถ้าไม่มีพี่คอยส่งเสริมผมกับปุ๊พวกผมก็คงไม่มีวันนี้หรอกครับ จะมีพนักงานธรรมดาๆสักกี่คนที่ได้รับโอกาสเข้าพบท่านประธานบริษัทฯได้พูดคุยแบบเป็นกันเองหนะ ตอนนี้สัญญาของผมกับท่านหญิงเริ่มต้นมาหนึ่งก้าวแล้ว...แล้วมันจะมีก้าวต่อๆไป งานนี้ผมขอยกเครดิตให้พี่เต็มๆเลยครับพี่” พี่ทศได้ฟ้งแล้วหันมามองหน้าผมแล้วพูดว่า
“ที่กูเคยเรียกว่าไอ้เสือน้อยหนะ...กูขอเปลี่ยนใหม่หวะกูจะเรียกว่า ไอ้เสือ อย่างเต็มตัวเลย เป็นลูกน้องที่กูไว้ใจที่สุดไม่มีครั้งไหนที่จะทำให้กูผิดหวังเรื่องการทำงานเลย ส่วนเรื่องของกับปุ๊หนะกูรู้มาตลอดว่าพวกรักกันและคับแค้นใจกับไอ้ผู้จัดการใหญ่มากแค่ไหนที่มันจะแอบเข้าหาปุ๊ กูถึงแอบส่งข่าวแล้วทำทีส่งพัสดุไปให้ท่านหญิงที่สาขายางตลาดเพื่อให้ท่านไปรับพัสดุที่นั่นกับปุ๊ด้วยตนเองเพื่อจะให้ท่านได้สัมผัสกับตัวตนของปุ๊ เมื่อท่านไปเห็นกับตาตัวเองแล้วเห็นว่าปุ๊เป็นคนอัธยาศัยดี อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนสุภาพเรียบร้อย พูดจามีสัมมาคารวะ ท่านพึงพอใจมาก ส่วนหนะท่านแอบไปนั่งฟังการประชุมกลุ่มประจำวันของพวก ท่านทึ่งในความคิดของมากที่คิดไม่เหมือนคนอื่น แล้วท่านก็เลยเรียกกูเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อถามประวัติที่มาที่ไปของพวกทั้งคู่ท่านก็เลยให้กูไปบอกพวกให้ไปพบเป็นการส่วนตัวตามนั้นแหล่ะ...เอาล่ะในเมื่อจะนอนที่นี่ก็ตามใจ เรื่องที่กูอยากจะพูดกูก็พูดไปแล้วกูขอไปหาที่พักผ่อนก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน...กูไปล่ะนะ” พี่ทศพูดจบแล้วก็เดินจากไป ผมตะโกนไล่หลังพร้อมยกมือไหว้
“ขอบคุณครับลูกพี่” ผมคิดในใจยังไงซะลูกพี่กับลูกน้องมันก็ทิ้งกันไม่ลงหรอกถ้าจริงใจให้กัน พี่ทศกับบุญถมกลับไปแล้ว ผมรีบจัดการเรื่องสัมภาระให้เรียบร้อยเพราะยังไงผมต้องนอนที่นี่อยู่แล้ว สำรวจตลาดเหรอเอาไว้ก่อนตอนนี้ในสมองผมคือปุ๊เท่านั้น ผมเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ยกหู หยอดเหรียญ กดเบอร์ ตอนนั้นเป็นเวลา 19.00 น. โดยประมาณ เสียงปลายสายตอบมาว่า
“สวัสดีคะ สำนักงานท่านประธานบริษัท อาหารสัตว์ไทยฯคะ”
“นั่นใช่คุณเจนจิรารับสายหรือป่าวครับ “ ปลายสายตอบ
“ อ๋อ...คุณเจนจิราตอนนี้อยู่กับท่านหญิงค่ะ จะให้บอกไหมคะว่าใครโทรมาหา” เสียงปลายสายถาม
“รบกวนบอกคุณเจนจิราด้วยนะครับบอกว่าเด็กวัดไผ่ตันเปิดสาขาที่ยโสธรได้แล้ว ให้คุณเจนจิราเรียนท่านหญิงด้วยนะครับขอบคุณครับ” ผมวางหูโทรศัพท์สาธารณะแล้วกำลังจะเดินออกไป จุ่ๆเสียงโทรศัพท์สาธารณะเครื่องนั้นก็ดังขึ้น ผมตกใจแต่ก็ลองยกหูโทรศัพท์ขึ้นฟังแล้วลองพูดทักทาย
“ฮัลโหล” เสียงปลายสายตะโกนออกมาเสียงดัง
“หนึ่ง...หนึ่งใช่ไหมปุ๊เองนะ...เป็นห่วงแทบแย่ เป็นยังไงบ้างคะ”
“ผมก็ยังเป็นสามีสุดที่รักของปุ๊เหมือนเดิมนั่นล่ะครับ” ผมพูดหยอก
“หนึ่งนี่นะ!...เอาจริงๆซิอย่าพูดเล่นซิท่านหญิงรอฟังอยู่นะ” ปุ๊บอก
“ฮ้าจริงดิตอนนี้เปิดลำโพงอยู่เหรอ...มีใครอยู่บ้างล่ะ” ผมถาม
“มีท่านหญิง พี่มด แล้วก็ปุ๊” ผมพยายามตั้งสติแล้วก็พูดออกไป
“สวัสดีครับท่านทั้งหลายกระผมนายณพฉัตร เปาชัยครับ ตอนนี้อยู่ที่อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธรครับ ขอรายงานท่านประธานครับ จากการที่พวกเราได้รับมอบหมายภารกิจให้มาเปิดสาขาแห่งใหม่ที่ จ.ยโสธรนั้น ในวันแรกภารกิจของเราล้มเหลวเนื่องจากหาสถานที่เช่าเป็นสำนักงานแห่งใหม่ไม่ได้เพราะราคาสถานที่แพงเกินไป พวกเราจึงหารือกันว่าเมื่อในเมืองหาไม่ได้ก็น่าจะลองไปหาแถวๆนอกเมืองดูกันไหม บุญถมซึ่งเป็นผู้ช่วยของผมเสนอกับพี่ทศพรว่าน่าจะไปลองสำรวจดูที่อำเภอคำเขื่อนแก้วดูซึ่งเป็นอำเภอบ้านเกิดของเขาเองอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 30 กิโลเมตรเท่านั้น แล้วยังมีทางหลวงแผ่นดินสายหลักจากยโสธรถึงอุบลราชธานีอีกด้วย การคมนาคมสะดวก ด้วยความชานฉลาดของพี่ทศพรเลยนำพวกเรามาสำรวจในสถานที่ดังกล่าวจนพบสถานที่แห่งหนึ่งทำเลเหมาะมาก เป็นห้องแถวหนึ่งคูหาติดกับทางหลวงใกล้กับตลาดลุมพุกซึ่งเป็นตลาดประจำอำเภอคำเขื่อนแก้วอีกด้วยแต่ก็อยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 2 กิโลเมตร แต่พวกเราปรึกษากันแล้วว่าไม่น่าจะเป็นปัญหาและที่สำคัญมากก็คือราคาค่าเช่าแค่เดือนละ 1,000 บาทเองครับ พี่ทศพรในฐานะหัวหน้าคณะได้ตัดสินใจเช่าโดยไม่ลังเลในทันทีเนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทฯเป็นอย่างมากและสถานที่แห่งนี้จะต้องเป็นที่มั่นตามหลักยุทธศาสตร์ทางการตลาดของบริษัทฯของเราต่อไปอย่างแน่นอนครับท่าน...ท่านมีอะไรจะสอบถามกระผมอีกไหมครับ” ผมถาม ท่านพูดต่อ