3 ข้อฝึกรู้สักว่ารู้ เห็นสักว่าเห็น สำหรับนักปฏิบัติที่ตันไปต่อไม่ได้

สำหรับนักปฏิบัติที่ฝึกจนเห็นความไม่เที่ยงแล้ว หลายคนอาจตันอยู่ขั้นนี้ไปต่อไม่ได้
ฝึกเท่าไรก็ไม่ไปขั้นต่อไปสักที มันติดอะไรอยู่นะ ลองฝึกวิธีใหม่ดูหน่อยไหม

✻ 1. ผู้สังเกตการณ์ต้องไม่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ ✻

ที่ผ่านมามีตัวท่านที่อยู่ในการปฏิบัติหรือไม่ เช่น เห็นความคิดเกิดขึ้นแล้วบอกว่า ฉันเห็นความคิดเกิดขึ้น
อย่างนี้เป็นการสร้างสัญญาว่ามี "ตัวเรา" เป็นผู้ปฏิบัติ มีตัวเราเป็นผู้ไปเห็นความคิด อย่าทำเช่นนี้

การปฏิบัติให้ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ จดบันทึกเฉพาะเหตุการณ์ อย่าเอาผู้สังเกตการณ์ลงไปอยู่ในเหตุการณ์เสียเอง
ถ้าเปรียบเป็นภาษาคือมีเฉพาะกริยาและกรรม แต่ไม่มีประธาน
เช่น "ฉัน ปวดขาซ้าย" อย่างนี้ผิด ให้ตัดผู้สังเกตการณ์ออกไปเหลือ "ปวดขาซ้าย"
จดบันทึกเฉพาะเหตุการณ์ ทำแบบนี้บ่อยๆ จนชิน จะได้เห็นเหตุการณ์โดยไม่อาศัยตัวเราหรืออัตตาเข้าไปเกี่ยวข้อง

✻ 2. อย่าทำเหมือนควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ ✻

ขณะปฏิบัติบางคนมีนิสัยชอบควบคุม เจอความคิดโผล่รีบทำลายความคิด เจออาการปวดหลังรีบทำลายอาการปวดหลัง
พยายามควบคุมให้จิตว่าง ควบคุมให้จิตสงบ อย่างนี้สายเข้าฌานถือว่าถูก เพราะเป็นการรวมจิตให้แน่วแน่
แต่ไม่ใช่สำหรับการปฏิบัติเพื่อเกิดปัญญา ควบคุมให้ผิดไปจากเดิมจะเห็นความจริงได้อย่างไร

การปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง อย่าพยายามควบคุมสิ่งต่าง ๆ อะไรโผล่มาให้รับรู้ไปตามนั้น รู้ตามจริง ซื่อๆ
เช่น ขณะนั่งสมาธิเบาๆ แล้วนึกถึงละครขึ้นมา ให้รู้ตัวว่ากำลังนึกถึงละคร อย่าทำอะไรมากไปกว่านั้น
อย่าพยายามควบคุม อย่าพยายามหยุดคิด อย่าเสริมให้คิดต่อยอดไปไกล อย่าเปลี่ยนความคิดไปเรื่องอื่น
ให้ทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ คือแค่รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อะไรจะเกิดปล่อยให้มันเกิด ทำหน้าที่เพียงสังเกตการณ์

✻ 3. อย่ามองแต่เหตุการณ์ ย้อนกลับมามองผู้สังเกตการณ์ด้วย ✻

เวลาปฏิบัติมักจะไปรู้เหตุการณ์ภายนอก ซึ่งก็คือขันธ์สี่ตัว ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
โอเค ถึงจุดนี้ท่านคงปฏิบัติจนเกิดปัญญาเกี่ยวกับขันธ์สี่ตัวนี้แล้ว เห็นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่น่ายึดมั่น
เหลือตัวสุดท้ายที่ยังไม่ได้ดูคือวิญญาณ หรือจิต หรือผู้รู้ หรือผู้สังเกตการณ์ หรือคำอะไรก็ตามแต่จะเรียก

ให้ผู้สังเกตการณ์ย้อนมาดูผู้สังเกตการณ์เอง ตรงนี้ระวังนะ ไม่ใช่มีผู้สังเกตการณ์คนที่ 1 มองดูผู้สังเกตการณ์คนที่ 2 ไม่ใช่นะ
แต่เป็นการย้อนดูตัวผู้สังเกตการณ์เอง ดูว่าผู้สังเกตการณ์มันทำอะไรของมันนะ มันมีหน้าที่อะไร ปกติมันเป็นอย่างไร

ตรงนี้แนะนำให้ฝึกในชีวิตประจำวันด้วย เช่น ขณะล้างจาน ผู้สังเกตการณ์รับรู้ว่าแขนข้างขวาเปียกน้ำและขยับไปมา
ทีนี้ดึงผู้สังเกตการณ์กลับมามองผู้สังเกตการณ์เอง เมื่อกี้ผู้สังเกตการณ์ไปรับรู้แขนซึ่งเป็นเหตุการณ์ภายนอก (ขันธ์ตัวอื่น)
อ๋อ นี่คือปกติของผู้สังเกตการณ์สินะ ทำแบบนี้ปล่อยๆ จะเห็นธรรมชาติของผู้สังเกตการณ์หรือวิญญาณได้

✻ สรุป รู้สักว่ารู้ เห็นสักว่าเห็น ✻

ทั้งสามข้อข้างต้นมีจุดร่วมเดียวกันคือ "รู้สักว่ารู้ เห็นสักว่าเห็น"
แต่ทำไมนักปฏิบัติหลายคนถึงรู้สักว่ารู้ไม่ได้สักที เพราะไม่ได้สักว่ารู้จริงๆ แต่ปรุงแต่งอย่างอื่นโดยไม่รู้ตัว
เช่น ปรุงแต่งว่ามีตัวเรากำลังปฏิบัติ มีตัวเราดูความคิด พยายามทำลายความคิด พยายามทำจิตว่าง
หรือมองแต่ภายนอกคือขันธ์สี่ตัว แต่ไม่เคยมองย้อนมาที่ขันธ์อีกตัวคือวิญญาณ จึงไม่เคยรู้สักว่ารู้เกี่ยวกับวิญญาณ

รู้สักว่ารู้ เห็นสักว่าเห็น เทคนิคคือทำใจซื่อๆ ตรงไปตรงมา รู้อะไรก็บอกว่ารู้อย่างนั้น
เช่น รู้ว่าปวดหลังก็บอกว่าปวดหลัง อย่าต่อยอดไปมากกว่านั้น แค่รู้ปวดหลังพอ อย่าไปอยากหายปวดหลัง อย่าเพ่งการปวดหลัง
มีหน้าที่สังเกตการณ์ก็สังเกตการณ์อย่างเดียว สังเกตบ่อยๆ เห็นปกติของสิ่งต่างๆ จนวันหนึ่งจะยอมรับความปกติได้เอง

ระวัง! เมื่อสังเกตการณ์มากเข้า กิเลสดิ้นรนและหลอกล่อให้ออกจากการปฏิบัติ เช่น "เลิกปฏิบัติแบบนี้เถอะ มันไม่ใช่หรอก
หันไปปฏิบัติแบบเดิมที่มีตัวเราอยู่ในเหตุการณ์ มีตัวเราเป็นผู้ทำลายความคิด ทำจิตว่างกันดีกว่า ไปปฏิบัติแบบนั้นกันเถอะ"
เจอความคิดอย่างนี้อย่าหลงกลกิเลส ให้สู้สังเกตการณ์ต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งกิเลสกดดันให้เลิกเท่าไร นั่นล่ะสังเกตต่อไปอีก จี้ๆๆ เข้าไป
จนถึงจุดหนึ่งสังเกตการณ์ได้อย่างแท้จริง รู้สักว่ารู้ของจริง เมื่อนั้นล่ะถึงทำลายอวิชชาได้หมดสิ้น กิเลสไม่มารบกวนแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่