"การเรียนธรรมเป็นของดี แต่ถ้าเรียนไม่เป็นก็มีโทษ"

ศาสนาใดก็ตามคำสอนจะสัมฤทธิ์ผลได้สมความตั้งใจของศาสดาผู้สอน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้เรียนรู้หรือผู้ที่รับนับถือศาสนานั้นๆ จะต้องใช้ปัญญาใน
การประยุกต์ ใช้หลักคำสอนนั้นๆ มาปรับปรุงใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ อย่างมีวินัยในการเพียรพยายามปฏิบัติตามแนวทางของคำสอนที่ศาสดาได้วางแนวทางไว้ให้ ถ้าผู้ศรัทธาไม่รู้จักการนำคำสอนของศาสดามาปฏิบัติโดยการใช้สติปัญญา สังคมนั้นๆก็จะปราศจากคุณธรรมและประชาชนในสังคมนั้นก็จะหันไปยึดวัตถุทรัพย์สิน เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าคุณธรรม 

   เราจะสังเกตุการเสื่อมทางคุณธรรมของสังคมได้จาก การเพิ่มขึ้นของคดีอาชกรรมชนิดต่างๆ, การคอรัปชั่นในสังคม เช่นการติดสินบน ตั้งแต่ระดับสูงลงมาถึงระดับล่าง, การทุจริตและขาดวินัยในสถาบันต่างๆ รวมทั้งสถาบันทางศาสนา, การหลอกลวงประชาชนทางโทรศัพท์, การพนันโดยใช้เทคโนโลยีที่ ทันสมัยหลอกลวงผู้คน, ชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศอย่างเปิดเผยโดยไม่มีความละอายที่ฝ่าฝืนประเพณีและวัฒนธรรมของสังคมที่สืบเนื่องกันมาแต่โบราณ ที่สำคัญที่สุดคือ การล่มสลายของขบวนการยุติธรรมของสังคม ซึ่งเป็นหัวใจของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของประชาชนในสังคม

  จากการสนทนากับพุทธศาสนิกชนในกระทู้ต่างๆที่ตั้งขึ้น เพื่อสอบถามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ พอจะสรุปได้ว่าส่วนมากของพุทธ สมาชิกที่ร่วม แสดงความคิดเห็นบางท่านยังไม่เข้าใจการประยุกต์ใช้คำสอนของพระพุทธองค์มาใช้เป็นแนวทางประยุคใช้ในชีวิตประจำวันของตนเอง 

   พระพุทธเจ้าทรงค้นพบธรรม และเพื่อให้ธรรมคือความจริงตามกฎธรรมชาตินั้น อำนวยผลเป็นประโยชน์แก่หมู่มนุษย์ จึงทรงวางวินัยขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์ในหมู่มนุษย์ วินัยนั้นมีความหมายเป็นการจัดระเบียบชีวิตและการจัดระบบสังคมทั้งหมด เช่น การจัดระบบเศรษฐกิจในเรื่องความเป็นอยู่เกี่ยวกับ ปัจจัย ๔ เป็นต้น จัดระบบสังคมว่าเราจะอยู่กันอย่างไร จัดระบบการบริหารการปกครอง การพิจารณาตัดสินคดี ฯลฯ นี้คือความหมายเดิมแท้ของวินัย ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวางมาก

แต่วินัยที่แท้ ในความหมายที่กว้าง คือระบบระเบียบทั้งหมดของชีวิตและสังคมมนุษย์นั้น จะตั้งอยู่ได้ดีเป็นผลสำเร็จได้ ต้องอาศัยความเข้าใจพื้นฐานที่
กล่าวแล้ว คือต้องมองวินัยโยงลงไปถึงธรรม หรือโยงวินัยกับธรรมเข้าด้วยกันได้เป็นเบื้องแรกก่อน, การที่เราสามารถจัดวินัย (ระเบียบชีวิตและระบบสังคม)ได้สำเร็จ เป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายอื่นไม่มีความสามารถนี้ แต่การที่จะตั้งวินัยได้สำเร็จก็ต้องเข้าถึงหลักธรรมก่อน ด้วยการใช้ปัญญา และความเพียรพยายาม ฝึกวินัยเพื่อควบคุมตนเอง แล้วจึงสามารถที่จะตั้งกฎเกณฑ์ของมนุษย์ได้สำเร็จและได้ผล  

หลักการใช้สติปัญญาประยุกต์ใช้ศีลข้อ 3. ในการป้องกันการประพฤติผิดในกาม

(1). ไม่ประพฤติผิดต่อภรรยาและสามีเขา คือไม่ประพฤติผิดต่อสามีและภรรยาเขาด้วยวิธีการต่างๆเช่นไม่พูดเกี้ยวในเชิงชู้สาวกับสามีและภรรยาเขา หรือไม่ชักชวนให้สามีและภรรยาเขามาร่วมหลับนอนกับตนและไม่ ล่อลวงสามีและภรรยาเขาด้วยวิธีการมอมเหล้า มอมยานอนหลับ หรือมอมยากระตุ้นเพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศและร่วมหลับนอนกับตนเองเป็นต้น

(2). ไม่ประพฤติผิดต่อบุตรและภรรยาและธิดาเขา คือไม่ประพฤติผิดต่อบุตรและธิดาเขาด้วยวิธีการต่างๆ เช่นไม่พูดเกี่ยวในเชิงชู้สาวกับบุตรและธิดาเขา
หรือไม่ชักชวนให้บุตรและธิดาเขามาร่วมหลับนอนกับตน และไม่ล่อลวงบุตรและธิดาเขาด้วยวิธีการมอมเหล้ามอมยานอนหลับหรือมอมยากระตุ้นเพื่อให้เกิดอารมณ์ทางเพศและร่วมหลับนอนกับตนเองเป็นต้น

3). ไม่บังคับขืนใจเขา คือไม่บังคับขืนใจเขา เช่นไม่พูดข่มขู่เขาให้ร่วมหลับนอนกับตนด้วยวิธีการต่างๆหรือไม่ใช้กำลังทุบตีเพื่อให้ยินยอมหลับนอนกับตนและไม่ฆ่าข่มขืนเขา เพื่อระบายความใคร่ของตนเองเป็นต้น 

(4). ไม่ค้าประเวณี คือไม่ค้าประเวณีเช่นไม่ชักจูงให้เขามาขายบริการทางเพศหรือไม่ซื้อตัวเขามาให้บริการทางเพศด้วยวิธีการต่างๆและไม่ลักพาตัวเขามาขายบริการทางเพศเพื่อประโยชน์ของตนเองเป็นต้น
 
 (5). ไม่สนับสนุนให้เขาค้าประเวณี คือไม่สนับสนุนให้เขาค้าประเวณีด้วยวิธีการต่างๆ เช่นไม่พูดจูงใจให้เขามาขายบริการทางเพศหรือไม่พูดชี้แนะให้เขาเห็นประโยชน์แล้วมาขายบริการทางเพศ และไม่ให้ผลประโยชน์แก่เขาที่จะเป็นแรงผลักดันให้เขามาบริการทางเพศตามความต้องการของตนเองเป็นต้น 

 (ุ6). ไม่ซื้อหรือสนับสนุนบริการทางเพศ ในทางตรงกันข้าม ต้องเรียกร้องทางรัฐ ให้ความช่วยเหลือ ผู้ที่ให้บริการทางเพศ เพื่อหยุดการกระทำที่ผิดศีลธรรมด้วยการศึกษา จัดหาวิชาชีพใหม่ เพราะอาชีพนี้จะอธิบายด้วยเหตุผลใดก็ตามผิดหลักคำสอนของทุกๆความศรัทธา

    หลักคุณธรรมเป็นหลักที่ไม่ยากต่อการเข้าใจ เพราะเป็นเหตุปัจจัย ที่ทำให้สังคมมนุษย์อยู่ร่วมกันได้โดยไม่เบียดเบียนกัน ดังนั้นไม่เป็นการยากสำหรับมนุษย์ทุกๆคนที่จะเข้าใจได้ และสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยปัญญาเพียงเล็กน้อย โดยไม่ต้องการความรู้ใดๆเลย มันฝังอยู่ในสัญชาติญาณของมนุษ ไม่ว่าจะมีศรัทธาใดๆก็ตาม
 
    จากการใช้ปัญญาเข้าใจเบ็ญจศีลข้อ3.นี้ ตามสัญชาตญาณของผู้ศรัทธา เงินที่ได้รับจากแมงดาหรือแม่เล้าค้ากาม (4), (5) และ (6) และ/หรือ เงินที่ได้รับจากการโจรกรรมและในธุระกิจสีเทา, อบายมุขทุกๆชนิด ไม่สมควรที่จะรับ เพื่อการทำนุบำรุงสถาบันคุณธรรม ไม่ว่าจะในศาสนาใดๆก็ตาม เพราะว่าจะทำให้เกิด Negative feedback  ซึ่งทางศาสนาหมายถึงการรับเงินบริจาคที่ได้มาจาก "อบายมุข" มาสนับสนุน "สถาบันคุณธรรม" จะทำให้เกิดการเข้าใจผิดว่า"อบายมุข" นั้นมีคุณค่าทาง​"คุณธรรม" ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอบายมุขเพิ่มมากขึ้นในสังคม เรียกว่าผลเชิงลบของ "การปฏิบัติธรรมที่ไม่ใช้สติปัญญา" ดังนั้น ถ้านับถือศาสนา อย่างใช้ "ปัญญา" ทั้งผู้สอนและผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นข้อเสียในเรื่องนี้ อย่างที่ปรากฏผลอยู่ในสังคมในปัจจุบันตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่