กลับมาแล้ว ไม่เอาไม่พูดงี้ดีกว่าอาจจะมากลับมาแบบเฉพาะกิจดีกว่า เพราะอีกแปปๆเทอม 2 ก็จะเปิดละ เทอมสุดท้ายวิจัยมาแน่ๆ คงยังไม่มีเวลามารีวิว แต่อย่างน้อยช่วงนี้ว่างๆก็อาจจะกลับมารีวิวสักเล่มสองเล่มละกัน บวกกับได้ข่าวว่าจะมีละครเรื่องใหม่จากทางช่อง 7 สีที่สร้างมาจากนิยายเรื่องนึงที่ผมเคยอ่าน ซึ่งถือเป็นละครฟอร์มยักษ์ส่งท้ายปี พร้อมกับเห็นนิยายถูกนำมารีปริ้นใหม่อีกรอบแล้ว ก็เลยถือโอกาสนี้มารีวิวให้ฟังเลยละกัน เผื่อคนอยากดูละครไม่เคยอ่านจะได้รู้ลายละเอียดเบื้องต้นของเวอร์ชั่นนิยาย ส่วนใครที่เป็นสายอ่านนิยายที่ไม่เคยอ่าน พอมาอ่านรีวิวนี้ก็อาจเกิดความสนใจได้ ยิ่งหนังสือกลับมาพิมพ์ใหม่งี้หาอ่านง่ายเลย งั้นไม่ต้องรอช้ามาอ่านกันเลย
เรื่องย่อ
เป็นนวนิยายที่ผู้เขียนผูกโยงร้อยเรื่องราวของการสืบค้นทหารอเมริกันที่สูญหายไปในสงครามเวียดนาม การตามล่าสมบัติของกษัตริย์โบราณแห่งอาณาจักรลาว เรื่องราวของประวัติศาสตร์อารยธรรมของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องราวของชนเผ่าภูริซึ่งเล่าขานเป็นตำนานลี้ลับอันไม่ปรากฏในแผนที่ใดๆ การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมไทย-ลาวทั้งทางเศรษฐกิจการค้าและวัฒนธรรม ตลอดจนขบวนการค้ายาเสพติด เรื่องเหล่านี้สอดร้อยเข้าด้วยกันโดยพญานาค งูยักษ์ในตำนานของชุมชนลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สมบัติของแผ่นดินและเป็นตัวสอดแทรกให้บังเกิดความตายลึกลับอย่างน่าสะพรึงกลัวแก่บุคคลต่างๆ เรื่องแม่โขงจึงเป็นจินตนิยายที่ผสมผสานความจริงทางสังคมเข้ากับจินตนาการ ทำให้มีอรรถรสของงานวรรณกรรมยอดเยี่ยมยิ่ง
ถ้าว่ากันตรงๆ จากคำโปรยเอย หรือจากบริบทเนื้อเรื่อง เราก็อาจเข้าใจได้ว่า “แม่โขง” คือนิยายแอ็กชั่นผจญภัย ฟอร์มยักษ์ที่อินเตอร์สุดๆ ซึ่งความจริงนั้นตามที่ผมได้อ่าน ถามว่าจริงตามที่เข้าใจกันในช่วงแรกมั๊ย ผมก็ต้องตอบเลยว่า “จริง” แต่ “ไม่ได้จริงขนาดนั้น” เพราะแก่นสารจริงๆของ แม่โขง คือนิยายที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ พญานาค ในแง่มุมที่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นตำนานของความเชื่อที่ข้องเกี่ยวกับพญานาคอาทิตำนานปลาไหลเผือกแห่งโยนกนคร “ตำนานเวียงหนองหล่ม” และยังรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ของผู้คนในแถบลุ่มแม่น้ำโขงอาทิเหตุการณ์สงครามกลางเมือลาว หรือ สงครามเวียดนาม ซึ่งในขณะเดียวกันก็ได้มีสอดแทรกหลักธรรมคำสอนรวมถึงบาปบุญคุณธรรมและความเชื่อต่างๆของ “ศาสนาพุทธ” ไว้ด้วย
ซึ่งตามแก่นสารที่ว่านั้นก็ได้มีปริมาณของเนื้อหาที่เยอะมากคร่าวๆประมาณ 70% ทีเดียว เพราะฉะนั้นในช่วง 30% ที่เหลือจึงอยู่ในโหมดของการผจญภัยเต็มตัวซึ่งก็นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับลักษณะเรื่องราวเนื้อหาที่ทำให้นิยายสามารถอยู่ในฝั่งของนิยายแอ็กชั่นผจญภัยฟอร์มยักษ์ของไทยที่สนุกไม่แพ้นิยายในแนวๆเดียวกันของต่างประเทศได้เลย และยิ่งถ้าได้ทำเป็นหนังเป็นละครก็ต้องฟอร์มใหญ่แน่นอน ซึ่งพอได้อ่านจริงมันไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังไว้ผมก็แอบผิดหวังพอสมควรครับ เพราะกว่าจะเข้าป่าจริงจังนั่นก็ล่อไปองค์สามของเนื้อหาแล้ว แถมฉากบู๊ก็น้อยอีก หรือจะประเด็นในการตามหาหารอเมริกันหรือสมบัติส่วนนี้ก็เจอกันง่ายไปหน่อย ซึ่งก็ผิดคอนเซ็ปต์ของบรรดานิยายในแนวทางนี้ และพออ่านจบก็เรียกได้ว่าอกหักกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่อ่านผมเลยเกิดอาการหงุดหงิดเบื่อหน่ายอยู่ตลอด (เพราะตัวละครไม่ยอมเข้าป่าสักที 555) แต่ถ้าว่ากันจริงๆแล้วคงไม่ใช่ความผิดของผู้เขียน เพราะตัวคุณปองพลเองก็บรรยายในด้านแอ็กชั่น ผจญภัย ไล่ล่า หักเหลี่ยมเฉือนคม เท่าที่มีอยู่นี้ได้ค่อนข้างดี ยิ่งบวกกับการที่ปองพลเขียนนิยายในลักษณะแอ็กชั่นหรือผจญภัยไว้เป็นส่วนใหญ่ เราเลยอาจพอเดาได้ว่าคุณปองพลไม่ได้เน้นในจุดของการผจญภัยแอ็กชั่นในแม่โขงเป็นหลัก แต่เน้นในด้านของแฟนตาซีซะมากกว่า ความผิดเลยตกมาที่ผมคนอ่านนี้แหละ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าตัดในพาร์ทของแอ็กชั่น ผจญภัย ไล่ล่าออกไปเสีย นิยายก็ยังอยู่ในระดับที่ดีงามใช่เล่นครับ เพราะอย่างที่บอกแล้วในข้างต้นแก่นของนิยายมาในแนวทางจินตนิยาย แฟนตาซี อิงประวัติศาสตร์ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนอย่างคุณปองพลก็ทำหน้าที่ได้ดีครับ เพราะผสมผสานตำนานความเชื่อและข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ได้ลงตัวดีทีเดียวครับ ซึ่งเมื่อรวมกับวิธีการเล่าเรื่อง "คุณปองพล" และการแปลออกมาเป็นภาษาไทยโดยผู้แปลอย่าง "คุณวิภาดา" ที่ใช้ภาษาในลักษณะที่กระชับรัดกุม ไม่เน้นการพรรณนาที่ยืดเยื้อจนน่าเบื่อ เนื้อหาเลยมีความลื่นไหลและเดินหน้าไปอย่างสม่ำเสมอทำให้อ่านได้เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัวก็คือในส่วนของบทนำที่เป็นการเกริ่นปูที่มาที่ไปซึ่งได้นำข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์มาสอดแทรกและผสมกับจินตนาการเข้าไปก็นับว่าน่าสนใจดีครับ เพราะถ้าใครเคยอ่านนิยายต่างประเทศในแนวผจญภัยที่อิงประวัติศาสตร์เราก็มักจะเจอกับบทนำในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งบทนำที่ว่านี้ก็มีส่วนในการวางปมของเนื้อเรื่องและเป็นการ ตีหัวเข้าบ้าน เชื้อเชิญคนอ่านให้อยากติดตามเนื้อหาไปตั้งแต่ต้น ทั้งนี้บทนำของแม่โขงก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเพียงแต่อาจจะไม่ได้เน้นไปที่การวางปมของเรื่องมากนัก แต่ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องของคุณปองพลและการแปลของคุณวิภาดาก็ช่วยให้เราอยากติดตามเนื้อหาได้แล้วและยังทำให้เราอาจเกิดอาการอยากอ่านบทนำในฉบับนิยายเรื่องยาวได้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปครับการเล่าเรื่องและภาษาในเรื่องอ่านแล้วเพลินดีเหลือเกิน
อีกทั้งการสร้างสรรค์ตัวละครนั้นก็นับว่าน่าสนใจเพราะตัวละครในเรื่องค่องข้างมีหลายเชื้อชาติและหลายฝั่งหลายฝ่าย จึงเปิดช่องให้ผู้เขียนได้ให้มิติรายละเอียดต่างๆของแต่ละฝ่ายให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งทำให้แต่ละฝ่ายมีแอร์ไทม์มากขึ้นไม่ใช่โฟกัสเฉพาะตัวละครพระเอกนางเอกของเรื่องเท่านั้น โดยการใส่ลูกเล่นรายละเอียดอุปนิสัยเรวมถึงเป้าหมายและแผนการในเรื่องก็ทำให้ตัวละครของเรื่องดูมีชีวิตชีวาที่เราจับต้องได้และเมื่อส่วนใหญ่แต่กลุ่มของตัวละครในแต่ละฝั่งเป็นกลุ่ม องค์กร หรือหน่วยงานที่มีบทบาทจริงในช่วงเวลานั้น จึงพอจะทำให้คนอ่านอย่างเราๆอินและรีเลทกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก และก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องหยุดอยู่กับที่หรือออกทะเลเพราะแต่ละพาร์ทของตัวละครก็มีส่วนผลักดันขับเคลื่อนให้เนื้อเรื่องเคลื่อนที่ไปตามแต่ละสเต๊ปไม่ช้าหรือเร็วเกินไปจึงทำให้เรายังพอตามทันได้บ้าง แต่ก็อาจเป็นข้อเสียได้เพราะอาจทำให้เราหลุดโฟกัสจากพระนางได้เหมือนกัน เพราะแม้พระนางเอกเองจะมีความสำคัญและมีรายละเอียดที่น่าสนใจ แต่เมื่อเทียบกับบรรดาตัวละครอื่นๆแล้วคู่พระเอกนางเอกก็อาจจะยังไม่ได้น่าสนใจมากพอ และเมื่อเรามีตัวละครเอกที่เป็นตัวละครสำคัญต่อเนื้อเรื่องไม่แพ้พระนางอย่าง “ดราโก้” ที่ค่อนข้างเด่นและเท่สุดๆ (อารมณ์เดียวกับ “แงซาย” แห่ง “เพชรพระอมา”) ครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋นซึ่งก็แย่งชิงความเด่นไปจากพระเอกของเรื่องอย่าง “เดฟ ชอน” ไปพอสมควร
ทั้งนี้เมื่อการที่ตัวนิยายนั้นตามความต้องใจเดิมต้องการเปิดตลาดสู่นักอ่านนานาชาติ จึงได้ถูกเขียนขึ้นในภาษาอังกฤษและใช้บริบทแบบนักเขียนต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อนิยายได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยเราจึงมักพบชุดข้อมูลความรู้เรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนไทยเราคุ้นเคยโดยเฉพาะเรื่องความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆไม่ว่าจะการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษ การรักษาศีลห้า ซึ่งในฐานะคนพุทธเราทั้งหลายย่อมทราบข้อมูลเช่นนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่เราต้องมาอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเรารับรู้มาก่อนอยู่แล้วเลยอาจพาลทำให้เราเบื่อหรือรู้สึกได้เหมือนกันครับว่า “ทำไมถึงมีส่วนนี้ หรือ มีความจำเป็นต้องใส่เข้ามาด้วยหรือ?” แต่ก็ตามที่บอกไปข้างต้นครับนิยายถูกตั้งใจเขียนมาเพื่อตีตลาดนานาชาติครับ ข้อมูลความรู้ของประเทศไทยรวมถึงศาสนาพุทธที่เรารู้เอยู่แล้วเลยถูกเขียนขึ้นมาเพื่อรองรับชาวต่างชาติเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้เจาะลึกลงดีเทลมากครับเป็นลักษณะย่อยลงมาสรุปที่ข้อมูลเบื้องต้นเลยไม่ได้ทำให้คนอ่านเบื่อไปก่อน แต่ถึงแบบนั้นคุณปองพลก็เพิ่มข้อมูลใหม่ๆที่เราคนไทยอาจจะไม่ได้รับรู้มาก่อนเหมือนกันโดยเฉพาะ วิธีการก่ออันตรายและบาดแผลที่เกิดจากพญานาค ตรงนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนรวมถึงผมได้เพิ่งรู้แน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็อาจถือได้ว่าชุดข้อมูลความรู้รายละเอียดทางด้านพุทธศาสนาหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวพญานาคหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องจัดว่าเป็น Soft Power ที่แท้ทรูเลยละครับ เพราะนอกจากจะตรงกับความหมายที่แท้จริงแล้วก็ยังสามารถเผยแพร่ในทางปฏิบัติได้จริงอีกทั้งตัว Soft Power ของเราในนิยายเล่มนี้ก็สามารถสื่อสารได้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช่การยัดเยียดด้วย ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับศาสนาแต่ก็เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเบื้องต้นที่น่าสนใจไม่เบา และช่วยทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาพุทธได้ดีขึ้น แบบเดียวกันกับที่เรารู้จักหลักธรรมหรือพิธีกรรมต่างๆของศาสนาอื่นอาทิพิธีศีลมหาสนิทหรือพิธีศีลจุ่มของศาสนาคริสต์ หรือการถือศีลหรือการละหมาดของศาสนาอิสลาม
ภาพรวมของ "แม่โขง" เลยจัดเป็นนวนิยายแฟนตาซี Soft Power ที่ว่าด้วยเรื่องราวของพญานาคและการเวียนว่ายตายเกิดของตัวละครที่มีผลพวงมาจากบาปกรรมที่แต่ละคนเคยทำไว้ ซึ่งก็มีความครบรสในทุกๆด้าน เนื้อหาก็จัดว่ามีลูกเล่นและมีลูกล่อลูกชนที่น่าสนใจ แม้ในส่วนของแอ็กชั่น-ผจญภัยจะยังไม่ตอบโจทย์เพราะยังขยี้ได้ไม่สุดทั้งๆที่มีวัตถุดิบชั้นดี แต่ก็อยู่หมวดที่สนุกอ่านได้อ่านดีเพลินๆครับ สมกับที่ถูกสร้างเป็นละครมาแล้วสองครั้ง
ปล.เดี๋ยวผมมาคุยเพิ่มเติมในส่วนของละครเวอร์ชั่นปี 2566 นะครับดูมีรายละเอียดที่น่าสนใจดี (เอามาคุยกันในเชิงคาดเดาละกัน) โดยเป็นการเอาข้อมูลมาจากตัวอย่างและ MV เพลงต่างๆเด้อ แล้วเจอกันในคอมเม้นท์
[CR] (รีวิวบ้านๆ) อ่านแล้วมาเล่า [10] : แม่โขง ของ Paul Adirex (ปองพล อดิเรกสาร)
เป็นนวนิยายที่ผู้เขียนผูกโยงร้อยเรื่องราวของการสืบค้นทหารอเมริกันที่สูญหายไปในสงครามเวียดนาม การตามล่าสมบัติของกษัตริย์โบราณแห่งอาณาจักรลาว เรื่องราวของประวัติศาสตร์อารยธรรมของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องราวของชนเผ่าภูริซึ่งเล่าขานเป็นตำนานลี้ลับอันไม่ปรากฏในแผนที่ใดๆ การสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมไทย-ลาวทั้งทางเศรษฐกิจการค้าและวัฒนธรรม ตลอดจนขบวนการค้ายาเสพติด เรื่องเหล่านี้สอดร้อยเข้าด้วยกันโดยพญานาค งูยักษ์ในตำนานของชุมชนลุ่มน้ำโขง ซึ่งทำหน้าที่พิทักษ์ทรัพย์สมบัติของแผ่นดินและเป็นตัวสอดแทรกให้บังเกิดความตายลึกลับอย่างน่าสะพรึงกลัวแก่บุคคลต่างๆ เรื่องแม่โขงจึงเป็นจินตนิยายที่ผสมผสานความจริงทางสังคมเข้ากับจินตนาการ ทำให้มีอรรถรสของงานวรรณกรรมยอดเยี่ยมยิ่ง
ถ้าว่ากันตรงๆ จากคำโปรยเอย หรือจากบริบทเนื้อเรื่อง เราก็อาจเข้าใจได้ว่า “แม่โขง” คือนิยายแอ็กชั่นผจญภัย ฟอร์มยักษ์ที่อินเตอร์สุดๆ ซึ่งความจริงนั้นตามที่ผมได้อ่าน ถามว่าจริงตามที่เข้าใจกันในช่วงแรกมั๊ย ผมก็ต้องตอบเลยว่า “จริง” แต่ “ไม่ได้จริงขนาดนั้น” เพราะแก่นสารจริงๆของ แม่โขง คือนิยายที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ พญานาค ในแง่มุมที่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นตำนานของความเชื่อที่ข้องเกี่ยวกับพญานาคอาทิตำนานปลาไหลเผือกแห่งโยนกนคร “ตำนานเวียงหนองหล่ม” และยังรวมถึงเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ของผู้คนในแถบลุ่มแม่น้ำโขงอาทิเหตุการณ์สงครามกลางเมือลาว หรือ สงครามเวียดนาม ซึ่งในขณะเดียวกันก็ได้มีสอดแทรกหลักธรรมคำสอนรวมถึงบาปบุญคุณธรรมและความเชื่อต่างๆของ “ศาสนาพุทธ” ไว้ด้วย
ซึ่งตามแก่นสารที่ว่านั้นก็ได้มีปริมาณของเนื้อหาที่เยอะมากคร่าวๆประมาณ 70% ทีเดียว เพราะฉะนั้นในช่วง 30% ที่เหลือจึงอยู่ในโหมดของการผจญภัยเต็มตัวซึ่งก็นับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับลักษณะเรื่องราวเนื้อหาที่ทำให้นิยายสามารถอยู่ในฝั่งของนิยายแอ็กชั่นผจญภัยฟอร์มยักษ์ของไทยที่สนุกไม่แพ้นิยายในแนวๆเดียวกันของต่างประเทศได้เลย และยิ่งถ้าได้ทำเป็นหนังเป็นละครก็ต้องฟอร์มใหญ่แน่นอน ซึ่งพอได้อ่านจริงมันไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังไว้ผมก็แอบผิดหวังพอสมควรครับ เพราะกว่าจะเข้าป่าจริงจังนั่นก็ล่อไปองค์สามของเนื้อหาแล้ว แถมฉากบู๊ก็น้อยอีก หรือจะประเด็นในการตามหาหารอเมริกันหรือสมบัติส่วนนี้ก็เจอกันง่ายไปหน่อย ซึ่งก็ผิดคอนเซ็ปต์ของบรรดานิยายในแนวทางนี้ และพออ่านจบก็เรียกได้ว่าอกหักกันเลยทีเดียว ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่อ่านผมเลยเกิดอาการหงุดหงิดเบื่อหน่ายอยู่ตลอด (เพราะตัวละครไม่ยอมเข้าป่าสักที 555) แต่ถ้าว่ากันจริงๆแล้วคงไม่ใช่ความผิดของผู้เขียน เพราะตัวคุณปองพลเองก็บรรยายในด้านแอ็กชั่น ผจญภัย ไล่ล่า หักเหลี่ยมเฉือนคม เท่าที่มีอยู่นี้ได้ค่อนข้างดี ยิ่งบวกกับการที่ปองพลเขียนนิยายในลักษณะแอ็กชั่นหรือผจญภัยไว้เป็นส่วนใหญ่ เราเลยอาจพอเดาได้ว่าคุณปองพลไม่ได้เน้นในจุดของการผจญภัยแอ็กชั่นในแม่โขงเป็นหลัก แต่เน้นในด้านของแฟนตาซีซะมากกว่า ความผิดเลยตกมาที่ผมคนอ่านนี้แหละ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าตัดในพาร์ทของแอ็กชั่น ผจญภัย ไล่ล่าออกไปเสีย นิยายก็ยังอยู่ในระดับที่ดีงามใช่เล่นครับ เพราะอย่างที่บอกแล้วในข้างต้นแก่นของนิยายมาในแนวทางจินตนิยาย แฟนตาซี อิงประวัติศาสตร์ซึ่งในส่วนนี้ผู้เขียนอย่างคุณปองพลก็ทำหน้าที่ได้ดีครับ เพราะผสมผสานตำนานความเชื่อและข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ได้ลงตัวดีทีเดียวครับ ซึ่งเมื่อรวมกับวิธีการเล่าเรื่อง "คุณปองพล" และการแปลออกมาเป็นภาษาไทยโดยผู้แปลอย่าง "คุณวิภาดา" ที่ใช้ภาษาในลักษณะที่กระชับรัดกุม ไม่เน้นการพรรณนาที่ยืดเยื้อจนน่าเบื่อ เนื้อหาเลยมีความลื่นไหลและเดินหน้าไปอย่างสม่ำเสมอทำให้อ่านได้เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ที่ผมชื่นชอบเป็นการส่วนตัวก็คือในส่วนของบทนำที่เป็นการเกริ่นปูที่มาที่ไปซึ่งได้นำข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์มาสอดแทรกและผสมกับจินตนาการเข้าไปก็นับว่าน่าสนใจดีครับ เพราะถ้าใครเคยอ่านนิยายต่างประเทศในแนวผจญภัยที่อิงประวัติศาสตร์เราก็มักจะเจอกับบทนำในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน ซึ่งบทนำที่ว่านี้ก็มีส่วนในการวางปมของเนื้อเรื่องและเป็นการ ตีหัวเข้าบ้าน เชื้อเชิญคนอ่านให้อยากติดตามเนื้อหาไปตั้งแต่ต้น ทั้งนี้บทนำของแม่โขงก็ทำหน้าที่นี้ได้ดีเพียงแต่อาจจะไม่ได้เน้นไปที่การวางปมของเรื่องมากนัก แต่ด้วยกลวิธีการเล่าเรื่องของคุณปองพลและการแปลของคุณวิภาดาก็ช่วยให้เราอยากติดตามเนื้อหาได้แล้วและยังทำให้เราอาจเกิดอาการอยากอ่านบทนำในฉบับนิยายเรื่องยาวได้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่บอกไปครับการเล่าเรื่องและภาษาในเรื่องอ่านแล้วเพลินดีเหลือเกิน
อีกทั้งการสร้างสรรค์ตัวละครนั้นก็นับว่าน่าสนใจเพราะตัวละครในเรื่องค่องข้างมีหลายเชื้อชาติและหลายฝั่งหลายฝ่าย จึงเปิดช่องให้ผู้เขียนได้ให้มิติรายละเอียดต่างๆของแต่ละฝ่ายให้มีความน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งทำให้แต่ละฝ่ายมีแอร์ไทม์มากขึ้นไม่ใช่โฟกัสเฉพาะตัวละครพระเอกนางเอกของเรื่องเท่านั้น โดยการใส่ลูกเล่นรายละเอียดอุปนิสัยเรวมถึงเป้าหมายและแผนการในเรื่องก็ทำให้ตัวละครของเรื่องดูมีชีวิตชีวาที่เราจับต้องได้และเมื่อส่วนใหญ่แต่กลุ่มของตัวละครในแต่ละฝั่งเป็นกลุ่ม องค์กร หรือหน่วยงานที่มีบทบาทจริงในช่วงเวลานั้น จึงพอจะทำให้คนอ่านอย่างเราๆอินและรีเลทกับเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก และก็ไม่ได้ทำให้เนื้อเรื่องหยุดอยู่กับที่หรือออกทะเลเพราะแต่ละพาร์ทของตัวละครก็มีส่วนผลักดันขับเคลื่อนให้เนื้อเรื่องเคลื่อนที่ไปตามแต่ละสเต๊ปไม่ช้าหรือเร็วเกินไปจึงทำให้เรายังพอตามทันได้บ้าง แต่ก็อาจเป็นข้อเสียได้เพราะอาจทำให้เราหลุดโฟกัสจากพระนางได้เหมือนกัน เพราะแม้พระนางเอกเองจะมีความสำคัญและมีรายละเอียดที่น่าสนใจ แต่เมื่อเทียบกับบรรดาตัวละครอื่นๆแล้วคู่พระเอกนางเอกก็อาจจะยังไม่ได้น่าสนใจมากพอ และเมื่อเรามีตัวละครเอกที่เป็นตัวละครสำคัญต่อเนื้อเรื่องไม่แพ้พระนางอย่าง “ดราโก้” ที่ค่อนข้างเด่นและเท่สุดๆ (อารมณ์เดียวกับ “แงซาย” แห่ง “เพชรพระอมา”) ครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋นซึ่งก็แย่งชิงความเด่นไปจากพระเอกของเรื่องอย่าง “เดฟ ชอน” ไปพอสมควร
ทั้งนี้เมื่อการที่ตัวนิยายนั้นตามความต้องใจเดิมต้องการเปิดตลาดสู่นักอ่านนานาชาติ จึงได้ถูกเขียนขึ้นในภาษาอังกฤษและใช้บริบทแบบนักเขียนต่างประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อนิยายได้ถูกแปลเป็นภาษาไทยเราจึงมักพบชุดข้อมูลความรู้เรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนไทยเราคุ้นเคยโดยเฉพาะเรื่องความเชื่อทางพุทธศาสนาต่างๆไม่ว่าจะการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ บาปบุญคุณโทษ การรักษาศีลห้า ซึ่งในฐานะคนพุทธเราทั้งหลายย่อมทราบข้อมูลเช่นนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่เราต้องมาอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งเรารับรู้มาก่อนอยู่แล้วเลยอาจพาลทำให้เราเบื่อหรือรู้สึกได้เหมือนกันครับว่า “ทำไมถึงมีส่วนนี้ หรือ มีความจำเป็นต้องใส่เข้ามาด้วยหรือ?” แต่ก็ตามที่บอกไปข้างต้นครับนิยายถูกตั้งใจเขียนมาเพื่อตีตลาดนานาชาติครับ ข้อมูลความรู้ของประเทศไทยรวมถึงศาสนาพุทธที่เรารู้เอยู่แล้วเลยถูกเขียนขึ้นมาเพื่อรองรับชาวต่างชาติเป็นหลัก แต่ก็ไม่ได้เจาะลึกลงดีเทลมากครับเป็นลักษณะย่อยลงมาสรุปที่ข้อมูลเบื้องต้นเลยไม่ได้ทำให้คนอ่านเบื่อไปก่อน แต่ถึงแบบนั้นคุณปองพลก็เพิ่มข้อมูลใหม่ๆที่เราคนไทยอาจจะไม่ได้รับรู้มาก่อนเหมือนกันโดยเฉพาะ วิธีการก่ออันตรายและบาดแผลที่เกิดจากพญานาค ตรงนี้ถือเป็นความรู้ใหม่ที่หลายคนรวมถึงผมได้เพิ่งรู้แน่นอน ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็อาจถือได้ว่าชุดข้อมูลความรู้รายละเอียดทางด้านพุทธศาสนาหรือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวพญานาคหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องจัดว่าเป็น Soft Power ที่แท้ทรูเลยละครับ เพราะนอกจากจะตรงกับความหมายที่แท้จริงแล้วก็ยังสามารถเผยแพร่ในทางปฏิบัติได้จริงอีกทั้งตัว Soft Power ของเราในนิยายเล่มนี้ก็สามารถสื่อสารได้ชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย ไม่ใช่การยัดเยียดด้วย ถึงแม้จะเกี่ยวข้องกับศาสนาแต่ก็เป็นเพียงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเบื้องต้นที่น่าสนใจไม่เบา และช่วยทำให้ชาวต่างชาติเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาพุทธได้ดีขึ้น แบบเดียวกันกับที่เรารู้จักหลักธรรมหรือพิธีกรรมต่างๆของศาสนาอื่นอาทิพิธีศีลมหาสนิทหรือพิธีศีลจุ่มของศาสนาคริสต์ หรือการถือศีลหรือการละหมาดของศาสนาอิสลาม
ภาพรวมของ "แม่โขง" เลยจัดเป็นนวนิยายแฟนตาซี Soft Power ที่ว่าด้วยเรื่องราวของพญานาคและการเวียนว่ายตายเกิดของตัวละครที่มีผลพวงมาจากบาปกรรมที่แต่ละคนเคยทำไว้ ซึ่งก็มีความครบรสในทุกๆด้าน เนื้อหาก็จัดว่ามีลูกเล่นและมีลูกล่อลูกชนที่น่าสนใจ แม้ในส่วนของแอ็กชั่น-ผจญภัยจะยังไม่ตอบโจทย์เพราะยังขยี้ได้ไม่สุดทั้งๆที่มีวัตถุดิบชั้นดี แต่ก็อยู่หมวดที่สนุกอ่านได้อ่านดีเพลินๆครับ สมกับที่ถูกสร้างเป็นละครมาแล้วสองครั้ง
ปล.เดี๋ยวผมมาคุยเพิ่มเติมในส่วนของละครเวอร์ชั่นปี 2566 นะครับดูมีรายละเอียดที่น่าสนใจดี (เอามาคุยกันในเชิงคาดเดาละกัน) โดยเป็นการเอาข้อมูลมาจากตัวอย่างและ MV เพลงต่างๆเด้อ แล้วเจอกันในคอมเม้นท์
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้