เราไม่ได้ไปงานศพปู่เพราะอยู่ช่วงทดลองงาน ผ่านมา 7 ปีแล้วพ่อก็ยังขุดเรื่องนี้มาว่าเรา

เมื่อ 7 ปีก่อนปู่เราเสีย แต่เราไม่ได้ไปงานปู่แม้แต่วันเดียว เพราะทั้งปู่เราและครอบครัวเราอยู่ ตจว. ส่วนเรามาทำงานที่ กทม. ตอนนั้นเราเพิ่งได้งาน อยู่ช่วงทดลองงาน ก็เลยไม่กล้าลา เพราะกลัวจะถูกประเมินให้ไม่ผ่านโปร แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่อยากไปงานปู่ ตอนนี้เรายังนึกเสียใจที่ไม่ได้ไป ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เราก็จะไป 

ตอนนี้ย่าเราก็ทำท่าจะไปอีกคน ย่าอายุมากแล้ว ตอนนี้ก็เป็นโรคคนแก่ เพิ่งเข้า รพ. แม่เราก็คอยโทรหรือไลน์บอกเราว่าอาการของย่าเป็นอย่างไร ทีนี้เราตั้งใจว่าจะลางานช่วง ธ.ค. เพราะก่อนที่ย่าจะเข้า รพ. พ่อแม่คิดจะมาหาเราที่ กทม. แล้วก็ไปเที่ยวกัน แต่พอย่าเข้า รพ. ก็เกิดความไม่แน่นอนขึ้นมา พ่อแม่ยังไม่รู้ว่าจะมา กทม.ได้ไหม แต่เราไม่ได้ว่าอะไร เพราะถ้าพ่อแม่ไม่มาหาเรา เราก็คิดว่าจะกลับบ้านไปหาพ่อแม่อยู่แล้ว ช่วง ธ.ค. เราจะลาช่วงต้นเดือนหรือปลายเดือนก็ได้ แต่เรายังไม่ได้แจ้งลากับที่ทำงาน เพราะเห็นว่ามันยังอีกนาน รอดูใกล้ๆก่อนว่าตกลงพ่อแม่จะมา กทม.หรือเปล่า

แต่พ่อเราอยู่ดีๆก็บอกว่า ให้เรากลับบ้านบ้าง กลับมาหาย่าบ้าง ย่าไม่สบาย ถ้าบรรพบุรุษจากหายไปทั้งคน เราไม่มาเจอชาตินี้ ก็ไม่รู้จะได้เจอชาติไหนอีก เหมือนตอนปู่เสียที่เราไม่ได้กลับไปหา เราฟังแล้วก็รู้สึกไม่พอใจ เราก็บอกไปว่ารอให้ถึงเวลานั้นก่อนเถอะ เรากลับไปหาได้อยู่แล้ว เพราะตอนนี้เราไม่ได้อยู่ช่วงทดลองงานเหมือนตอนปู่เสีย และเราก็โตขึ้นจนคิดได้แล้วว่าต่อให้อยู่ช่วงทดลองงาน เราก็จะลา ถ้ามันเกิดเหตุอย่างว่าขึ้น จากนั้นเราก็คุยกับแม่ว่าทำไมพ่อต้องยกเรื่องบรรพบุรุษมาอ้างด้วย อยากให้เรากลับบ้านก็พูดดีๆสิ ปกติเราก็กลับบ้านปีละ 2-3 ครั้ง มีวันลาพักร้อนปีละ 10 วัน ก็ใช้สิทธิจนหมด ส่วนใหญ่ก็ใช้ไปกับการกลับบ้าน นอกจากนี้ทุกครั้งที่เรากลับบ้าน เราก็จะแวะไปบ้านย่ากับปู่ด้วย

เราจึงไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ทำไมพ่อต้องพูดกับเราแบบนั้น เราไม่ได้ไปงานศพปู่มันผิดมากเลยเหรอ แต่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว จะให้ทำไงได้ แต่เราได้ยินพ่อพูดแบบนี้แล้วทำให้ความรู้สึกอยากกลับบ้านลดลงไปเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่