เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple ตอนที่ 7


ตอนที่  7  แทบขาดใจ

                เวลาประมาณ 19.00 น.  ท่านหญิงพิสมัยก็เดินออกมาจากด้านหลัง  เราสองคนยกมือไหว้สวัสดีทำความเคารพ  ท่านหญิงพูดว่า 
“เชิญนั่ง  ทำตัวตามสบายเลยจ๊ะไม่ต้องเกรงใจนะฉันแต่อยากทำความรู้จักกับพวกเธอเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเอง  ฉันเห็นประวัติการทำงานของเธอทั้ง 2 คนแล้วน่าสนใจมากโดยเฉพาะ คุณณพฉัตร”  ท่านหญิงพูดต่อ “เอาอย่างนี้นะคนแรกฉันอยากรู้จักคุณเจนจิราก่อน คุณเจนจิรานามสกุลของคุณคืออะไรนะ” ท่านถามปุ๊  

                “หนูชื่อ  นางสาวเจนจิรา  กุดคำ  คะท่าน”   
                “เธอชื่อเล่นว่า ปุ๊ ใช่ไหม”  “ใช่คะ” ปุ๊ตอบ “ถ้ายังนั้นฉันจะเรียกเธอว่าปุ๊ก็แล้วกันนะ  ปุ๊ เธอลองเล่าประวัติของเธอให้ฉันฟังคล่าวๆซิ  ว่าบ้านอยู่ที่ไหน  พ่อแม่เป็นใครทำอาชีพอะไร มีพี่น้องกี่คน แล้วเธอเรียนจบจากที่ไหน  เข้ามาทำงานในบริษัทฯนี้ได้ยังไง” ท่านหญิงถามยาวเลย  ปุ๊ตัวสั่นบีบมือผมแน่นผมหันไปมองพยักหน้าให้ประมาณว่ามั่นใจหน่อยผมอยู่ข้างๆนี่นะ  แล้วปุ๊ก็เริ่มเล่า  
                 “หนูเกิดมาในครอบครัวเกษตรกรคะมีอาชีพทำไร่  ทำสวน อยู่หมู่บ้านกุดดงคะ  โดยมีพ่อกับแม่เป็นเสาหลัก  หนูเป็นพี่สาวคนโค  มีน้องสาว 1 คน น้องชายคนเล็กอีก 1 คน  หนูและน้องๆก็ช่วยพ่อกับแม่ทำไร่ทำสวน  มีที่พึ่งคือพ่อกับแม่ที่ส่งเสียให้หนูและน้องๆได้เรียนหนังสือ  ตอนหนูเรียนอยู่วิทยาลัยเทคนิคกาฬสินธุ์  ปวช.3 แผนกการบัญชี   พ่อของหนูก็ต้องมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเลยขาดเสาหลักในครอบครัวจึงทำให้หนูไม่สามารถเรียนต่อได้ต้องออกมาช่วยแม่ทำไร่ทำสวนเพื่อเอาค่าใช้จ่ายส่งน้องๆให้ได้เรียนกันต่อไป  อยู่ต่อมาประมาณ 2 ปี  บริษัทอาหารสัตว์ไทยฯ  เปิดรับสมัครพนักงานทั่วไปหนูก็เลยไปสมัครโชคดีได้งานตำแหน่งเจ้าหน้าที่การบัญชีประจำสาขายางตลาดคะ  ซึ่งถือว่าโชคดีมากสำหรับหนูเพราะระยะทางจากสำนักงานถึงบ้านห่างกันแค่ 5 กิโลเมตรเองคะ  หนูดีใจมากที่ได้ทำงานใกล้บ้านหนูพยายามตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่บางครั้งกว่าจะสรุปงานเสร็จก็ค่ำมืดปัญหามันก็คือระหว่างทางกลับบ้านกุดดงค่อนข้างเปลี่ยวเวลากลับตอนมืดๆหนูก็กลัวอันตรายคะ  หนูก็เลยขออนุญาตผู้จัดการใหญ่ว่าถ้าหากวันไหนหนูเสร็จงานดึกจะขอพักที่สำนักงานได้ไหม  ผู้จัดการใหญ่อนุญาตให้พักได้คะหนูดีใจมาก  ตั้งใจทำงานให้ดีพยายามพัฒนาตัวเองมาตลอดเพื่อเรียนรู้ในสิ่งใหม่ๆจนหนูเริ่มรู้งานและชำนาญมากขึ้นจึงได้รับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านเอกสารทั้งหมดในสาขายางตลาดคะ” ปุ๊ตอบอย่างมั่นใจ  ท่านหญิงจึงถามต่อ  
                “แล้วเธอมีปัญหาอะไรคับข้องใจบ้างไหมในที่ทำงาน”  
                “ก็มีอยู่คะคือว่าเกี่ยวกับความปลอดภัยของตัวหนูเอง  เพราะตั้งแต่หนูได้รับอนุญาตให้พักที่สาขาได้ตอนแรกหนูก็ดีใจนะคะที่ไม่ต้องขี่รถกลับบ้านตอนค่ำมืดเพราะทางกลับของหนูค่อนข้างเปลี่ยวหนูกลัวอันตราย  แต่แล้วหนูก็ต้องมากลัวอีกก็คือวันไหนถ้าผู้จัดการใหญ่รู้ว่าหนูพักอยู่ที่สำนักงานคนเดียวท่านจะมาหาอ้างว่าจะมาอยู่เป็นเพื่อน  แต่ท่านพยายามพูดจาแทะโลมเกี้ยวภาราสีหนูตลอดเวลาบางครั้งก็พยายามหนูชวนออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยบ้างอ้างว่าไปเปิดหูเปิดตาแต่หนูไม่ยอมไปด้วยเพราะหนูกลัวคะ  หนูเคยชวนพวกพี่ๆส่งเสริมการตลาดมาอยู่เป็นเพื่อนด้วยก็ไม่มีใครยอมมาอ้างภาระทางครอบครัว  จริงๆหนูก็ไม่อยากกลับค่ำๆมืดๆหรอกนะคะแต่สรุปงานประจำวันไม่เสร็จก็ต้องเลยตามเลยต้องนอนที่สำนักงาน  หนูกังวลทุกครั้งเลยที่หนูต้องนอนเฝ้าสำนักงานคนเดียวกลัวว่าผู้จัดการใหญ่จะโผล่มาตอนไหนหนูกลัวมากคะ  จนมี หนึ่ง  ณพฉัตร  คนนี้แหล่ะคะได้เข้ามาขออยู่ด้วยหนูถึงได้วางใจว่าหนูจะต้องปลอดภัยแน่ๆ  เขาเป็นคนขรึมๆ ทึ่มๆ บ๊องๆ และซื่อๆ และเป็นสุภาพบุรุษมากไม่เคยล่วงเกินหนูเลยแม้แต่น้อยทั้งกายและวาจา  อาจจะมีแซวกันเล่นเล็กน้อย  หยอกล้อกันบ้าง  แต่หนึ่งไม่เคยล่วงเกินหนูเลยแม้แต่ครั้งเดียว  หนูไว้ใจเขามากคะ หนึ่งเล่นกีตาร์เก่งและร้องเพลงเพราะมาก  บางทีหนึ่งก็มีมุขตลกๆให้ได้ขำตลอด  ถ้ามีหนึ่งอยู่หนูรู้สึกปลอดภัยมากคะ  แต่ถ้าหนึ่งย้ายไปหนูคงต้องตกอยู่ในความหวาดระแวงแบบนั้นอีกต่อไปละคะ” ผมได้ยินปุ๊พูดแล้วผมอึ้งจริงๆเธอกล้าพูดต่อหน้าเจ้านายแบบไม่กลัวมีภัยเลยสักนิดสุดยอดจริงๆแฟนเรา
                “ของปุ๊หมดแล้วนะ  ต่อไปคุณณพฉัตร  หรือจะให้เรียก หนึ่ง ดี”  ท่านถาม  
                “หนึ่งดีกว่าครับฟังแล้วสนิทใจดี” ผมตอบ 
                “ถ้าอย่างนั้นหนึ่งเธอเล่าประวัติและประสบการณ์ชีวิตของเธอให้ฟังหน่อยซิ”  ท่านถาม  
                “ครับท่าน  ผมชื่อ นายณพฉัตร  เปาชัย  บ้านเกิดอยู่ที่  จ.ลำพูน  ครับ  ผมคิดว่าท่านคงอยากจะฟังอย่างกระชับ..ใช่ไหมครับ...ประมาณ 3 ชั่วโมงนะครับ” ผมล้อท่านเล่น 
                “จะบ้าเหรออะไรกันตั้ง 3 ชั่วโมง”  ผมยิ้มแล้วพูดว่า 
                “ขอประทานอภัยนะครับท่านผมสังเกตท่านตอนฟังเรื่องของปุ๊แล้วดูมีอาการเศร้าๆผมก็เลยอยากเล่นมุขตลกให้คลายเศร้าบ้างนะครับ..ขอได้โปรดอภัยให้ด้วยนะครับ”  แล้วผมก็เริ่มเรื่อง 
                “พื้นฐานทางครอบครัวของผมกับปุ๊ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากเพียงแต่ว่าผมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อ-แม่  บางคนอาจจะคิดว่าลูกคนเดียวคงจะสบายพ่อแม่ตามใจแน่นอนซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ  ผมบอกก่อนว่าครอบครัวผมไม่ได้ร่ำรวยแค่พอมีพอกิน  พ่อผมเป็นช่างพิมพ์ในโรงพิมพ์ในตัวอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน  แม่เป็นแม่บ้านและรับจ้างทั่วไปแล้วแต่เขาจะจ้าง  ผมเป็นลูกคนเดียวพ่อแม่คงหาเงินส่งเสียการเรียนได้ไม่ลำบากนัก  แต่ผมไม่คิดอย่างนั้นพ่อแม่หาเงินได้  ผมก็ต้องทำได้ซิ  ตอนอยู่ชั้นประถมมีโรงงานข้าวเกรียบกุ้งมาเปิดภายในหมู่บ้านผมก็ขอสมัครเข้าทำงานแต่ทำช่วงเช้าก่อนจะไปโรงเรียนได้ค่าแรงวันละ 5 บาท  แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับเงินไปโรงเรียนในวันนั้นแล้วโดยไม่ต้องขอแม่  โตขึ้นหน่อยอยู่มัธยมวันธรรมดาก็ไปเรียน วันหยุดก็รับจ้างทั่วไปแล้วแต่เขาจะจ้าง  ตัดหญ้าในสวนบ้าง  ปลูกต้นไม้บ้าง  ค่าจ้างผมได้วันละ 40 บาท รวมกันวันเสาร์กับวันอาทิตย์ก็  80 บาท  ผมก็พอมีเงินเก็บบางส่วนแม่ก็ให้เอาไว้ใช้ส่วนตัวผมจึงไม่ค่อยได้รบกวนเงินของพ่อกับแม่มากนัก  จนผมเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายผมสอบติดโรงเรียนสัตวแพทย์  กรมปศุสัตว์  บางเขนกรุงเทพฯ  แล้วมีญาติของเพื่อนผมผู้ใจดีนำผมกับเพื่อนที่สอบติดมาพร้อมกันมาฝากให้เป็นลูกศิษย์ของท่านพระครูสุพินหรือว่าหลวงพ่อสุพิน  ที่วัดไผ่ตัน   สะพานควาย  กรุงเทพฯ  ให้ผมกับเพื่อนได้คอยรับใช้หลวงพ่อออกติดตามหลวงพ่อออกบิณฑบาตทุกวัน  เป็นลูกศิษย์คอยรับใช้ท่าน  ถึงเวลาผมก็ไปเรียนหนังสือ  จนผมเรียนจบจากโรงเรียนสัตวแพทย์  อันที่จริงแล้วนักศึกษาที่เรียนจบจากสถาบันแห่งนี้  จะต้องได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในตำแหน่ง  สัตวแพทย์  ระดับ  2  สังกัดกรมปศุสัตว์  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยอัตโนมัติ  แต่โชคร้ายในปีที่ผมเรียนจบ  กรมปศุสัตว์ไม่มีงบประมาณที่จะรับการบรรจุข้าราชการ  เลยต้องให้ไปหาประสบการณ์ทำงานอื่นไปก่อนอีก 4 ปี ถ้าพร้อมจะเรียกมาบรรจุเข้าเป็นข้าราชการพวกผมเสียใจกันมากพ่อแม่ต่างก็คาดหวังอยากให้เราเป็นข้าราชการแต่ก็ผิดหวัง  ในกลุ่มเพื่อนๆผมบางคนก็เลือกที่จะกลับไปบ้านนอก  บางคนอยู่เผชิญชีวิตในเมืองกรุงต่อ  ผมก็เหมือนกันจะอยู่ต่อเพราะกลับไปบ้านก็ไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไร  ไร่นาก็ไม่มี  ผมก็เลยเที่ยวสมัครงานไปเรื่อยๆ  ไว้หลายที่รวมทั้งบริษัทฯนี้ด้วย  ตอนแรกผมได้งานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งทำงานในแผนก Packing ก็ทำไปเรื่อยๆพอมีรายได้พอใช้พอกิน  แต่เหมือนสวรรค์มาโปรดผม  วันหนึ่งมีเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของห้างมาตามหาผมให้ไปรับโทรศัพท์สายด่วน  ผมแปลกใจมากเพราะเบอร์โทรนี้ผมไม่ได้บอกใครนอกจากหลวงพ่อองค์เดียว  ผมตกใจมากกลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับหลวงพ่อ   พอรับโทรศัพท์เป็นเสียงของหลวงพ่อท่านเอง  ท่านบอกผมว่าบริษัท อาหารสัตว์ไทย  (มหาชน)  จำกัด  เรียกตัวผมเข้าทำงานโดยให้ไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยขอนแข่นในอีก 2 วันข้างหน้า  หลวงพ่อท่านเป็นห่วงกลัวผมจะพลาดโอกาสจึงรีบโทรมาบอกโดยบอกให้ผมตัดสินใจให้ดีเพราะมันเป็นสายงานวิชาชีพที่เรียนมาและเป็นอนาคตของผมเอง    ผมดีใจมากรีบลาออกจากห้างสรรพสินค้าแห่งนั้นทันที  ในวันเดินทางผมกราบลาหลวงพ่อผู้มีพระคุณอย่างสูงในชีวิตเพื่อจะไปเผชิญชะตาชีวิตของตัวเอง  และแล้วผมก็มาถึงดินแดนอีสานจนได้ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เคยรู้จัก  ทั้งเรื่องภาษาการพูดคุย  ผมใช้ภาษากลางหรือบางทีก็ภาษากายในการสื่อสารมาตลอดทาง  จนผมมาถึงม.ขอนแก่นจนได้  แล้วท่านเชื่อไหมครับคนแรกที่ผมเจอตอนมารอสัมภาษณ์งานคือพี่ทศพรได้พูดคุยทำความรู้จักกันตอนอยู่ขอนแก่น  จึงทราบว่าพี่ทศพรก็มารายงานตัวในตำแหน่งผู้จัดการเหมือนกัน  ยังมีการแซวกันเล่นๆว่าวันหน้าคงได้ร่วมกันนะไอ้น้อง  แต่เหมือนชะตากรรมมีจริงผมกับพี่ทศก็ได้มาร่วมงานที่บริษัทฯแห่งนี้กันจริงๆเลยทำให้การทำงานง่ายขึ้นมากและแล้วผมก็มาพบสวยสาวผู้ใจดีคนนี้แหล่ะครับที่เป็นธุระเรื่องที่พักให้ผมโดยที่ผมไม่ต้องออกไปเช่าอยู่ข้างนอก  ในด้านการทำงานของผมคิดว่าท่านหญิงคงพอจะทราบมาบ้างแล้วจากพี่ทศพร  ต่อไปผมคิดว่าท่านหญิงคงอยากจะรู้แนวคิดและวิธีคิดในการทำงานของผมใช่ไหมครับ  ผมจะเริ่มต้นจากพ่อของผม  คุณพ่อบุญทวี  เปาชัย  เป็นช่างพิมพ์ลูกจ้างโรงพิมพ์แห่งหนึ่งในตัวอำเภอป่าซาง  จังหวัดลำพูน  คือตอนเด็กๆช่วงปิดเทอมพ่อผมมักจะพาผมไปช่วยงานที่โรงพิมพ์ที่พ่อทำงานบ่อยๆผมเห็นพ่อทำงานแล้วทึ่ง  พ่อเป็นคนละเอียดงานชิ้นไหนออกมาไม่ดีในสายตาของพ่อๆจะไม่ยอมให้ผ่านพ่อจะต้องแก้ไขให้ดีที่สุดจนถึงมือลูกค้า  ผมเคยถามพ่อว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้  พ่อตอบผมว่าเขาจ้างเรามาทำในสิ่งที่เขาต้องการและต้องให้ดีเราก็ควรจะทำให้ดีที่สุดตามที่ลูกค้าเขาต้องการเพื่อความเชื่อมั่นในสินค้าและชื่อเสียงโรงพิมพ์ของเรา  คำพูดของพ่อนี่แหล่ะครับผมจดจำมาจนทุกวันนี้ล่ะครับ  อีกอย่างนะครับท่านผมขอเข้าเรื่องเกี่ยวกับสินค้าของเราบ้างครับท่านผมมีความคิดเห็นอยากเสนอหากท่านยินดีจะรับฟัง”  ผมถามท่าน 
                “ลองพูดมาสิฉันยินดีรับฟัง” ท่านตอบ  
                “ ท่านครับเกี่ยวกับเรื่องการกินอาหารของสัตว์น่ะครับ อาหารของเราถึงแม้จะได้มาตรฐานด้านโภชนาการก็จริง  แต่ในการผลิตแต่ละล็อดวัตถุดิบอาจแตกต่างกันไปแล้วแต่ฤดูกาลเพราะฉะนั้นอาจทำให้รสชาติของอาหารแตกต่างกันไป  เมื่อสัตว์กินเข้าไปแล้วไม้คุ้นกับรสชาติที่เคยกินก็เลยทำให้กินน้อยลงหรือไม่ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ง่ายทำให้มีลูกค้าบางรายไม่เข้าใจหาว่าอาหารของเราไม่มีคุณภาพ  ผมขออนุญาตเสนอวิธีการแก้ไขนะครับ”  ผมขออนุญาต  
                “ หนึ่ง..ว่าไปเลยฉันรอฟังอยู่..เร็วซิ”  ท่านเร่ง 
                “ วิธีการง่ายมากๆเลยครับแค่ให้พนักงานขายของเราคอยติดตามการให้อาหารสัตว์ของลูกค้าของตนเองบ่อยๆ  โดยการให้ผสมอาหารจากชุดเก่าและใหม่ในสูตร  3 วันหรือ  5 วัน  แล้วแต่กรณีทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนชุดอาหาร  สัตวบาลทุกคนรู้วิธีการนี้ดีอยู่แล้วเพียงแต่ให้หมั่นคอยติดตามเท่านั้นล่ะครับแล้วปัญหาจะบรรเทาลงไปได้  อาหารของเราก็ยังจะได้รับการยอมรับอยู่ทั้งนี้ก็สุดแท้แต่พนักงานขายคนนั้นจะขยันแค่ไหนแล้วอีกอย่างครับ  ให้ท่านเน้นสัตวบาลส่งเสริมการตลาดทุกคนให้พกกระเป๋ายาสัตว์นำติดตัวไปด้วยทุกครั้งที่ไปพบลูกค้าซึ่งถ้าเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับสัตว์ของลูกค้า  จะได้เข้าทำการแก้ปัญหาได้ในอย่างทันท่วงทีซึ่งตัวผมเองนั้นจะพกกระเป๋ายาสัตว์ทุกครั้งเมื่อเข้าพบกับลูกค้าเพราะฉะนั้นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพสัตว์ในส่วนของลูกค้าที่ผมรับผิดชอบจึงไม่ค่อยมีปัญหามากนัก...ผมก็มีเรื่องเสนอเท่านี้ครับท่าน  หากท่านมีเรื่องจะซักถามผมและปุ๊เพิ่มเติมพวกผมยินดีตอบทุกคำถามครับใช่ไหมครับปุ๊” 
               (มีต่อครับผม)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่