JJNY : 5in1 “เหยื่อที่ถูกลืม”│อิสราเอลประท้วงรัสเซีย│‘วีโว่’ฟ้องตร.จับขายกุ้ง│ชี้กอ.รมน.ต้องยุบทิ้ง│กาแฟดังวอนคุมราคา

สื่อนอกมอง แรงงานไทยในอิสราเอล เป็นเหมือน “เหยื่อที่ถูกลืม”
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/209185
 
 
 
The Times สื่อเก่าแก่ของอังกฤษ เผยแพร่บทความเกี่ยวกับแรงงานไทยในอิสราเอล ว่าเป็นเหมือน “เหยื่อที่ถูกลืม” ทั้งจากโลก และจากรัฐบาลตัวเอง
 
ในสถานการณ์อันซับซ้อนของสงครามอิสราเอล-ฮามาส นอกจากชาวยิวและชาวปาเลสไตน์ที่ต้องเสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากคมกระสุนและความรุนแรงต่าง ๆ แล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้ คือชาวต่างชาติที่ไปทำงานหรือเที่ยวอยู่ในอิสราเอล ณ เวลาที่เกิดสงคราม
 
โดยเฉพาะแรงงานไทยในภาคการเกษตรที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยค่าแรงที่สูงชนิดที่หาไม่ได้ในประเทศไทย แต่นั่นก็ทำให้คนไทยจำนวนมากกลายเป็นหนึ่งในเหยื่อของสงครามครั้งนี้เช่นกัน

The Times สื่อเก่าแก่ของอังกฤษ ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับแรงงานไทยในอิสราเอล ว่าพวกเขาเหมือนกำลังอยู่ในฐานะ “เหยื่อที่ถูกลืม”

เจนิซ เทอร์เนอร์ นักข่าวและคอลัมนิสต์ของ The Times ซึ่งเป็นเจ้าของบทความดังกล่าว เขียนว่า “ถ้าถามว่า ประเทศใดที่ไม่ใช่อิสราเอลซึ่งมีพลเมืองถูกจับเป็นตัวประกันมากที่สุด? คุณจะไม่มีทางเดาได้เลยว่า มันไม่ใช่สหรัฐฯ อังกฤษ หรือประเทศในสหภาพยุโรป แต่เป็นประเทศไทย”

เทอร์เนอร์ระบุว่า “ความจริงที่ว่าตัวเลขความสูญเสียไม่ชัดเจน เช่น มีผู้เสียชีวิตประมาณ 30 ราย มีผู้ถูกลักพาตัวหรือสูญหายระหว่าง 19-54 ราย สะท้อนให้เห็นถึงความสับสนวุ่นวายของข้อมูล แม้แต่สถานะของพวกเขา ณ ปัจจุบันก็ไม่มีใครทราบ ใบหน้าของคนไทยไม่ปรากฏบนโปสเตอร์ รัฐบาลไทยยังคงนิ่งเงียบทางการทูต คำให้การของผู้รอดชีวิตชาวไทยส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วยซ้ำ
 
เธอบอกว่า ความขัดแย้งอันน่าสยดสยองนี้บังคับให้เราต้องชั่งน้ำหนักคุณค่าของชีวิตมนุษย์ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตวัยรุ่นชาวอิสราเอล หรือชีวิตเด็กชาวกาซา “ฉันไม่อยากคิดคำนวณในสมการที่น่าเศร้านี้ แต่ฉันสนใจในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะพวกเขาไม่มีประโยชน์ทางการเมืองสำหรับทั้งสองฝ่าย ทั้งชาวยิวและมุสลิม ไม่ใช่พลเมืองของประเทศที่มั่งคั่งหรือมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ คนไทยแทบจะเป็นเสมือนตัวประกอบในสนามรบ เช่น ปศุสัตว์ที่ตายแล้วหรือพืชผลที่ถูกเผา
 
ทำไมคนไทยถึงอยู่ที่อิสราเอล ไกลจากบ้านหลายพันหลายหมื่นกิโลเมตร เพราะพวกเขาคิดเป็นเกือบ 100% ของแรงงานต่างชาติในภาคเกษตรกรรมของอิสราเอล
 
แรงงานไทยเข้ามาแทนที่ชาวปาเลสไตน์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าของที่ดินนี้ซึ่งรู้วิธีการเพาะปลูก แรงงานปาเลสไตน์ราคาถูกถูกยึดครองดินแดน และมีโอกาสทางเศรษฐกิจอื่น ๆ เพียงเล็กน้อย ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรของอิสราเอลสามารถแข่งขันในซูเปอร์มาร์เก็ตในยุโรปได้
 
แต่หลังจากเหตุการณ์ในปี 1987 แรงงานชาวอาหรับเริ่มโจมตีและเผชิญหน้ากับนายจ้างเพื่อแสวงหาเป้าหมายทางการเมือง ทำให้ความมั่งคั่งและความมั่นคงทางอาหารของอิสราเอลถูกคุกคาม แรงงานจากภายนอกจึงมีความจำเป็น
 
“ดังนั้น ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ และไม่มีส่วนได้เสียในการต่อสู้อันขมขื่นนี้จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ” เทอร์เนอร์ระบุ
 
แรงงานส่วนใหญ่มาจากชนบทที่ยากจนในภาคทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย โดยหวังว่าจะสามารถส่งเงินกลับบ้านจากค่าจ้างที่สูงกว่า เพื่อนำไปสร้างบ้านหรือซื้อรถยนต์ในที่สุด
 
แต่พวกเขาต้องจ่ายเงินให้คนกลางเป็นเงิน 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 320,000 บาท) เป็นระยะเวลา 5 ปี และลดลงมาเหลือ 2,100 ดอลลาร์สหรัฐ (75,000 บาท) ในปี 2013 จากการก่อตั้งโครงการความร่วมมือไทย-อิสราเอลในการจัดหาคนงาน (TIC) ถึงกระนั้น เงินจำนวนนี้ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะชำระ ส่งผลให้คนไทยกลายเป็นแรงงานที่มีพันธะผูกพัน
 
เทอร์เนอร์บอกว่า แรงงานไทยอาศัยอยู่ในฟาร์มห่างไกลหลายแห่งรอบ ๆ ฉนวนกาซาซึ่งเต็มไปด้วยอันตราย พวกเขาไม่สามารถพูดภาษาฮีบรูหรือภาษาอังกฤษได้ พวกเขากลายเป็นชุมชนที่แยกจากชีวิตชาวอิสราเอล และง่ายต่อการถูกแสวงหาประโยชน์
 
กลุ่มสิทธิมนุษยชน รวมถึง Human Rights Watch รายงานว่า แรงงานไทยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาล ทำงานหนักเกินไป ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ และอยู่ในที่อยู่อาศัยที่ทรุดโทรม บางคนที่ไม่ได้อยู่สหภาพแรงงาน มาด้วยวีซ่าชั่วคราว มีหนี้ท่วมหัว ทางเลือกเดียวของพวกเขาคือทำงานต่อไป
 
เทอร์เนอร์ยังเปรียบเปรยสถนาะของคนไทยอิสราเอลว่าแทบไม่ต่างกับแรงงานที่ประสบเภทภัยในอดีต “เมื่อเกิดภัยพิบัติ แทบไม่มีครั้งใดที่เราจะสังเกตเห็นกลุ่มคนที่เงียบงันซึ่งสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก เราแทบจะไม่คิดถึงชีวิตของผู้หญิงเวียดนามที่ทำเล็บเท้าราคาถูกที่ถนนไฮสตรีท จนกระทั่งพวกเธอต้องสลบไปในรถบรรทุกห้องเย็นที่ปิดสนิทโดยผู้ค้ามนุษย์ หรือสภาพที่เลวร้ายและอุบัติเหตุของแรงงานที่สร้างตึกระฟ้าและสนามกีฬาในตะวันออกกลาง ซึ่งได้เข้าสู่จิตสำนึกสาธารณะในช่วงสั้น ๆ ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกกาตาร์ปี 2022 แต่ผู้เล่นที่ได้รับสัญญามุลค่าหลายล้านจากสโมสรอาหรับก้มักจะปิดปากเรื่องสิทธิมนุษยชน หรือชีวิตอันน่าสยดสยองของคนเก็บหอยแครงชาวจีนที่ดำเนินการโดยอันธพาลผู้โหดร้ายนั้นก็ไม่มีใครเคยมองเห็น จนกระทั่งมีผู้เสียชีวิต 23 รายที่อ่าวมอร์คัมบ์ในปี 2004
 
ไม่ชัดเจนว่า กลุ่มฮามาสสังหารชาวไทยโดยไม่เลือกปฏิบัติหรือมุ่งเป้าไปที่ภาคเกษตรกรรมของอิสราเอลด้วยการทำให้แรงงานกลุ่มนี้หวาดกลัว ณ ขณะนี้มีคนไทยกลับบ้านแล้ว 4,000-5,000 คน และยังมีกลุ่มรอที่จะกลับประเทศอีกจำนวนมาก แต่หลายคนยังคงอยู่หรือรายงานว่า จะไม่กลับไม่ว่าจะมีความเสี่ยงใดก็ตาม เพราะกลัวว่านายจ้างชาวอิสราเอลจะระงับค่าจ้างของตนหรือถูกล่อลวงด้วยการขึ้นค่าจ้าง
 
เทอร์เนอร์ยังวิจารณ์รัฐบาลไทยด้วยว่า “ขณะที่ศพถูกส่งมายังกรุงเทพฯ และผู้บาดเจ็บเล่าให้ฟังว่าต้องเห็นเพื่อนตายหรือถูกทิ้งให้ตาย รัฐบาลไทยก็ยังคงนิ่งเงียบ พวกเขาไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งนับตั้งแต่สงครามเย็น โดยอ้างว่าเป็นวิถีไทย นอกจากนี้ ยังต้องการการลงทุน ต้องอาศัยการท่องเที่ยว โดยมีชาวอิสราเอลเที่ยวไทยปีละ 160,000 คน
 
ในขณะที่สถานการณ์อิสราเอล-กาซายังคงดุเดือด ตัวประกันชาวไทยไม่ได้มีความสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับใครเลย เป็นเพียงพลเมืองสถานะต่ำต้อยของประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องจุดหมายเพื่อการหยุดพักผ่อนในเขตร้อนที่ราคาไม่แพงและมีทะเลสีฟ้าคราม แต่กลับต้องมาติดอยู่ในวังวนของสงครามที่ยากจะแก้ไขมากที่สุดในโลก

คอลัมนิสต์ของ The Times ปิดท้ายอย่างเจ็บแสบว่า
 
ในขณะที่สถานการณ์อิสราเอล-กาซายังคงดุเดือด ตัวประกันชาวไทยไม่ได้มีความสำคัญอันดับหนึ่งสำหรับใครเลย เป็นเพียงพลเมืองสถานะต่ำต้อยของประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องจุดหมายเพื่อการหยุดพักผ่อนในเขตร้อนที่ราคาไม่แพงและมีทะเลสีฟ้าคราม แต่กลับต้องมาติดอยู่ในวังวนของสงครามที่ยากจะแก้ไขมากที่สุดในโลก
 
เรียบเรียงจาก The Times
 


อิสราเอลประท้วงรัสเซีย จัดประชุมโดยตรงร่วมกับแกนนำฮามาส
https://www.dailynews.co.th/news/2852915/
 
รัฐบาลอิสราเอลไม่พอใจอย่างหนัก กรณีรัสเซียให้การต้อนรับและมีการหารือโดยตรง ร่วมกับสมาชิกแกนนำฝ่ายการเมือง ของกลุ่มฮามาส.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 30 ต.ค. ว่า กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอล เชิญนายอนาโตลี วิกโตรอฟ เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำกรุงเทลอาวีฟ เข้าพบเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา “เพื่อแสดงความวิตกกังวล” เกี่ยวกับ “ทัศนคติและจุดยืน” ของรัฐบาลมอสโก ที่มีต่อสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส

นอกจากนี้ “ความวิตกกังวล” ของอิสราเอล ยังรวมถึง การที่รัสเซียไม่ประณามการกระทำของกลุ่มฮามาส และการแสดงออกของรัสเซียบนเวทีโลก ทั้งระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งรัสเซียเสนอญัตติเข้าสู่ที่ประชุม เรียกร้องการหยุดยิงในฉนวนกาซา แต่ไม่มีการพาดพิงและประณามกลุ่มฮามาส

การดำเนินการดังกล่าวของอิสราเอลเกิดขึ้น หลังคณะผู้แทนระดับสูงฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส เยือนกรุงมอสโก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมีการพบหารือกับนายมิคาอิล บอกดานอฟ รมช.การต่างประเทศรัสเซีย

ขณะที่กลุ่มฮามาสออกแถลงการณ์ เกี่ยวกับการเยือนรัสเซียที่เพิ่งเกิดขึ้น ว่าเป็นการหารือร่วมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลมอสโก เกี่ยวกับสงครามกับ “รัฐไซออนิสต์ซึ่งได้รับความสนับสนุนจากสหรัฐ” ที่ยังคงดำเนินอยู่ และระบุด้วยว่า กลุ่มฮามาสจะมอบอิสรภาพให้กับตัวประกันชาวรัสเซีย ซึ่งมีการยืนยันจำนวนในเบื้องต้นว่า 8 คน.

https://twitter.com/TimesofIsrael/status/1718727050843091259



พรุ่งนี้รู้ผล ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษา ‘วีโว่’ ฟ้อง ตร.ล้อมจับร้านขายกุ้ง ปี’63 อ้างผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4258880

ลุ้นพรุ่งนี้ ศาลแพ่งนัดฟังคำพิพากษา ‘วีโว่’ ฟ้อง ตร.ล้อมจับร้านขายกุ้ง ปี’63 อ้างผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งที่มีมาตรการครบครัน
 
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เปิดเผยว่า วันที่ 31 ตุลาคม หรือวันพรุ่งนี้ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้นัดฟังคำพิพากษาในคดีตัวแทนกลุ่ม We Volunteer (วีโว่) ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าจับกุมโดยมิชอบด้วยกฎหมายและเลือกปฏิบัติ กรณีวีโว่จัดกิจกรรมขายกุ้งเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเลี้ยงกุ้งที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่บริเวณท้องสนามหลวงและอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยคดีนี้ได้สืบพยานเสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2566 ที่ผ่านมา
 
ภาคีนักกฎหมายสิทธิฯระบุว่า ประเด็นสำคัญของคดีนี้คือโจทก์ได้จัดให้มีพื้นที่ในการจำหน่ายกุ้งอย่างเหมาะสมแล้ว สถานที่ตั้งขายเป็นที่เปิดโล่ง อากาศถ่ายเทได้สะดวก มีการตั้งจุดคัดกรองวัดอุณหภูมิและจุดบริการเจลแอลกอฮอล์สำหรับล้างมือ มีการเว้นระยะห่าง จัดเตรียมทีมแพทย์ และออกข้อกำหนดให้ประชาชนผู้ซื้อกุ้งต้องสวมใส่หน้ากากอนามัยทุกคน กิจกรรมดังกล่าวจึงไม่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งในกรณีพื้นที่ของเอกชน โจทก์เองก็ได้รับอนุญาตให้ตั้งร้านขายอย่างถูกต้อง
 
ดังนั้น การเข้าจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยอ้างว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และยังมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยเทียบเคียงกับกิจกรรมของ นายบิณฑ์ และนายเอกพันธ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ได้จัดกิจกรรมขายกุ้งเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรเลี้ยงกุ้งในลักษณะคล้ายกันที่ จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ 25 และ 28 ธันวาคม 2563 แต่ทั้งสองกลับไม่ถูกดำเนินคดีดังเช่นกรณีในคดีนี้แต่อย่างใด



อดิศร ชี้กอ.รมน. องค์กรรัฐซ้อนรัฐ ต้องยุบทิ้ง ผ่านยุคคอมมิวนิสต์ แต่ทหาร ยังเหนือพลเรือน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4258423

อดิศร หนุนยุบทิ้ง กอ.รมน. คืนเสรีภาพประชาชน ชี้องค์กรรัฐซ้อนรัฐ ผ่านยุคคอมมิวนิสต์แล้ว ทำไมยังเหนือพลเรือน ทำไมต้องมีทหาร เป็นรองผู้ว่าฯ
  
เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 นายอดิศร เพียงเกษ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ได้โพสต์ข้อความผ่านเอ็กซ์ แสดงความคิดเห็นถึงร่างกฎหมายยุบกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยระบุว่า 

กอ.รมน. คือองค์กร รัฐซ้อนรัฐ ทหารเข้ามาแทรกแซงและมีบทบาทเหนือข้าราชการส่วนอื่น สมควรยกเลิก กฎหมาย กอ.รมน.
  
“กอ.รมน. ทหารยังมีอำนาจ เหนือพลเรือน เหนือประชาชน ทำไมต้องมีรองผู้ว่าราชการจังหวัด มาจากทหาร บ้านเมือง ผ่านยุคคอมมิวนิสต์มาแล้ว ยกเลิก กอ.รมน.เท่ากับมอบสิทธิเสรีภาพ เสมอภาคให้แก่ประชาชน สร้างประชาธิปไตย…!!!!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่