ขอมาแชร์ให้เห็นถึงอันตรายของยาต้านเศร้านะครับ
จะมีที่เป็นวีดีโอ กับแคปเนื้อหาจากวีดีโอมาลงสำหรับคนที่ไม่สะดวกดูวีดีโอนะครับ
PART 1
เกริ่นข้อมูลช่วงต้นของวีดีโอ:
อีพิเจเนติกส์ ทำให้ยีนเปลี่ยนแปลง ซึ่งยีนสามารถถูกเปิดหรือปิดสวิชท์ จากปัจจัยภายนอก
ที่อยู่นอกเหนือการเรียงลำดับของ DNA เช่น ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ ไม่ได้เปลี่ยนรหัส DNA แต่สามารถกระทบ
ต่อการอ่านและการใช้งาน DNA ของเซลล์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะทางกายภาพ
หรือคุณลักษณะของแต่ละบุคคล ที่รวมถึงแนวโน้มของการมีหรือไม่มีโรค
สภาวะร่างกายโดยรวม และโอกาสที่จะพัฒนาให้เกิดสภาวะทางสุขภาพบางอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้าย
การเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ สามารถหายได้ และสามารถส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นก่อน
กลไกทางอีพิเจเนติกส์ ประกอบด้วย การดัดแปลงทางเคมีที่มีต่อ DNA และโปรตีน
เช่น เมทิลเลชัน และอะซีทิเลชัน ที่ควบคุมกิจกรรมของยีน
อีพิเจเนติกส์สามารถอธิบายว่าทำไม ฝาแฝดแท้ จึงสามารถมีลักษณะและโรคที่แตกต่างกัน
หรือ ทำไมยีนบางตัวจึงแสดงออกแค่ในเนื้อเยื่อบางตัว หรือบางระยะของพัฒนาการ
อีพิเจเนติกส์เป็นสาขาที่เติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งมีความหมายต่อการทําความเข้าใจ การพัฒนาของมนุษย์
วิวัฒนาการ โรค และความชรา
ยาบางชนิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาทางจิตเวช สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์
ต่อการทํางานของสมองได้หรือไม่?
ใช่ ยาและสารบางชนิด สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ ที่มีผลต่อการทํางานของสมองได้
การปรับเปลี่ยนอีพิเจเนติกส์ สามารถมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของยีนในสมอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อด้านต่าง ๆ
ของการทํางานของสมอง รวมถึง ความรู้ ความเข้าใจ อารมณ์ และพฤติกรรม
เข้าสู่เนื้อหาของวีดีโอ:
จากคลิปก่อนหน้านี้เรื่อง
กราดยิงที่พารากอนคือผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุดของยาจิตเวช
ที่ลงในช่องยูทูปและรอดพ้นไม่ถูกลบ
https://youtu.be/E7mJtJz9cCQ
และเรื่อง
ยาต้านเศร้าคือต้นเหตุของการฆ่าตัวตายซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่อีพิเจเนติกส์
ที่ลงอยู่ใน Facebook ของหญิงเอง ที่ไม่สามารถลงในสื่อโซเชียลอื่นได้
https://www.facebook.com/ying.phongpisitkul/videos/894231225742188/
ผลของยาต้านเศร้าได้มีการอธิบายอย่างละเอียด
อยู่ในคลิปทั้งสองคลิปนี้นะคะ และคงไม่เล่าซ้ำเพื่อไม่ให้คลิปนี้เสี่ยงต่อการถูกลบค่ะ
ก่อนหน้านี้ได้เคยโพสท์เกี่ยวกับเรื่องนี้แชร์ใน X หรือทวิตเตอร์เก่า
แล้วได้มีการคุยกับหมอจิตเวชท่านหนึ่ง ซึ่งขอเล่าแบบสรุปย่อ ๆ จากสิ่งที่ท่านโต้เถียงกลับมาว่า
ท่านบอกว่าไม่เคยให้ยาไปแล้วคนไข้ออกไปฆ่าคนอื่น
และท่านก็ขอให้แสดงหลักฐานเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งเราก็ต้องขออ้างอิงไปที่เรื่องของอีพิเจเนติกส์
ที่เราได้อธิบายมาตลอดในหลาย ๆ คลิปก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรกลับไปย้อนฟังคลิปเหล่านั้นเพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
แต่ก็จะอธิบายในที่นี้อีกแบบพอประมาณเพื่อให้พอเข้าใจบ้าง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
เพราะเราได้ยึดหลักตามงานวิจัยที่พิสูจน์จากการทดลองกับกลุ่มคนจำนวนไม่มาก
และในเวลาที่จำกัด แต่กลับนำมาใช้ตัดสินความผิดถูก
และเอามายึดหลักเป็นข้อเท็จจริงว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อข้อมูลใหม่อื่น ๆ ที่เข้ามาในภายหลัง
ที่ผ่านมาการทำงานวิจัยแบบปกติให้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
เพราะสามารถช่วยทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้
แต่สำหรับการผลิตยา การที่ทำการทดลองกับกลุ่มคนจำนวนน้อย
เพื่อผลิตยาใช้สำหรับคนทุกคนนั้น มันกลับเป็นวิธีการที่มีความอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาถึงแม้จะมีแค่ในระดับที่ต่ำ เช่น 1 ในแสน หรือ 1 ในล้าน
ก็สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อคนจำนวนมหาศาลได้
เมื่อนำยามาใช้จริงกับคนจำนวนหลายแสนหลายล้านคนทั่วโลก
และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับคนเหล่านั้น
แทนที่จะสามารถฟีดแบ็กปัญหากลับไปที่ต้นทาง
ผ่านทางผู้ที่รักษา ไปสู่กลุ่มที่ทำงานวิจัย และบริษัทที่ผลิตยา
พวกเขากลับยึดเอาผลงานวิจัยที่ทำกับคนกลุ่มน้อยมาเป็นหลักฐานเพื่อชี้ว่า
การกล่าวหาหรือโทษไปที่ยานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งถึงแม้ศาลจะให้พิสูจน์อย่างชัดเจนโดยการให้ทำงานวิจัยซ้ำ
ผลก็ยังคงออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของยาเช่นเดิม
เพราะว่าจำนวนคนที่เข้าร่วมงานวิจัยนั้น
ก็เป็นการทดลองกับคนกลุ่มน้อยไม่แตกต่างจากงานวิจัยที่เคยทำมา
มันเปรียบไม่ได้เลยกับการให้ยากับคนทุกคนจนได้เห็นผลกระทบของยา
เหมือนอย่างเช่น การฉีดยาให้กับคนทุกคนเพื่อป้องกันโควิด
แม้จะไม่ใช่คนทุกคน แต่ก็เป็นคนส่วนใหญ่
ซึ่งผลกระทบที่แท้จริงของยาก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และชัดมากจนการฟีดแบ็กมันสามารถย้อนกลับไปที่ตัวผู้ทำงานวิจัย
และไปถึงบริษัทยาจนต้องออกมายอมรับได้
แต่ผลกระทบนั้นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
มันก็ยังคงเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจริง ๆ แค่บางส่วนเท่านั้น
ยังไม่ใช่ในระดับเดียวกับของงานวิจัยที่ตั้งใจหาข้อมูลกับคนหมู่มากจริง ๆ
เพื่อตรวจหาผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์ หรือดูข้อมูลที่เกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมโดยเฉพาะ
งานวิจัยในลักษณะที่สำรวจผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์
เพื่อให้พบผลกระทบที่แท้จริงของยาต่อคนจำนวนมาก
มันจะต้องเป็นงานวิจัยที่ทำกับคนนับแสนคนขึ้นไป หรือเป็นล้านคนได้ก็ยิ่งดี
โดยมีการติดตามผลกระทบที่ยาวนานเป็นสิบปี หรือหลายสิบปี
และต้องบันทึกผลกระทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นและรับฟังอย่างไม่มีอคติใด ๆ
วิธีการในการทำวิจัยแบบนี้อาจเป็นไปไม่ได้เมื่อย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น
เพราะคงไม่มีเวลาและเงินทองที่จะทำได้แบบนั้น
แต่ยุคในปัจจุบันนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่จะศึกษาผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์
เพราะเราสามารถรวบรวมฟีดแบ็กจากคนทุกคน
ที่เข้ารับการรักษาเข้าสู่ศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลได้
เรามี AI ช่วยในการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ได้
และเราสามารถส่งข้อมูลที่มีค่าเหล่านั้นย้อนกลับไปที่ผู้ทำงานวิจัยได้
อย่างไรก็ดีวัฒนธรรมการรักษาโรคของเราในทุกวันนี้มันยังไม่ได้ทันสมัยขนาดนั้น
การฟีดแบ็กของคนไข้ไม่ได้ถูกรับฟังเพื่อเก็บข้อมูลเข้าสู่ส่วนกลาง
สำหรับการปรับปรุงแก้ไข พัฒนาการรักษาให้ดีขึ้น
แต่มันถูกตัดจบที่ตัวหมอ หมอที่มีมากมายอยู่ประมาณ 12-13 ล้านคนทั่วโลก
ไม่ได้มีการส่งต่อข้อมูลของคนไข้ที่มีการฟีดแบ็กเกี่ยวกับผลกระทบของยามาที่หมอ
และพวกเขาจะหยุดคนไข้ไม่ให้คิดหรือสงสัย
หากสิ่งที่คนไข้บอกนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขียนอยู่ในงานวิจัย
ข้อเท็จจริงก็คือ ปัจจุบันเราไม่สามารถยึดถือได้ว่าคนทุกคนที่มีพื้นฐาน DNA เหมือนกัน
จะตอบสนองกับสารต่าง ๆ แล้วได้ผลที่เหมือน ๆ กัน แบบที่เราเชื่อผลงานวิจัยมาตลอด 60-70 ปีที่ผ่านมา
มันมีตัวแปรที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น ยีนหรือ DNA ที่ได้รับผลกระทบ
ทางอีพิเจเนติกส์มาไม่เท่ากัน และการมีประชากรไมโครไบโอมในลำไส้ที่ไม่เหมือนกันเลย
มันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า genetic diversity หรือความหลากหลายทางพันธุกรรมที่สูงมาก
โดยเฉพาะเรื่องระดับการสะสมของสารพิษโลหะหนักในสมอง ที่ทำให้เกิดอาการและโรค
ที่หลากหลายได้อย่างมาก
แต่เรายังคงใช้วิธีคิดแบบเก่าก็คือการนำเอายา ที่ทดสอบแล้วกับคนสัก 100-200 คน (หรือไม่กี่พันคน)
มาใช้กับคนจำนวนหลายพันล้านคน ซึ่งมันจะทำให้เกิดผลกระทบกับคนจำนวนมหาศาล
ที่ไม่ตอบรับกับผลของยานั้นหรือที่แย่กว่านั้นคือได้รับผลกระทบในทางลบ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่พาลูกไปฉีดยาแล้วพอกลับบ้านมา 3-4 วัน ลูกก็กลายเป็นออทิสติก
พูดไม่ได้หลังจากที่เคยพูดได้ และเกิดการถดถอยของพัฒนาการลงอย่างชัดเจน
หากไปแจ้งให้หมอทราบ หมอก็จะไม่รับฟัง เพราะไม่เคยเห็นผลของงานศึกษาแบบนี้มาก่อน
หรืออาจจะมองเห็นว่ามันขัดแย้งกับงานวิจัย จึงสรุปว่าคนไข้อาจเข้าใจผิดไปเอง
หมอจะไม่เอะใจหรือสงสัยในผลกระทบของยาเลย ถ้ามันไม่ตรงกับผลงานวิจัย
ในขณะที่คนไข้ที่ให้ข้อมูลอยู่ตรงหน้า มีเหตุผลรองรับทั้ง การสังเกตพฤติกรรมโดยละเอียด
และการบันทึกผลตามเวลาที่เหมาะสมทุกอย่าง
แม้แต่ฉีดยาไปแล้ว แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันภายใน 24 ชั่วโมง ตัวหมอเองก็ยังไม่สงสัยที่ตัวยาเลย
เพราะพวกเขาถูกเทรนมาให้เชื่อในงานวิจัย แต่ไม่ได้ถูกเทรนมาให้เอะใจหรือสงสัยผลของงานวิจัยเหล่านั้น
ยังไม่นับว่ามีหมอส่วนหนึ่ง ที่ชอบมองว่าคนไข้คิดไปเอง หรือแม้แต่มองว่าคนไข้ไม่มีความรู้
จึงคิดไม่ได้หรือคิดไม่เป็นด้วยซ้ำไป
ซึ่งในข้อนี้หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์ ด้วยนิสัยของพวกเขา
เขาอาจจะตั้งคำถามกลับไปที่งานวิจัยมากกว่า ที่จะตั้งคำถามกับคนไข้ที่ให้ข้อมูลใหม่ ๆ
เหล่านั้นเพียงอย่างเดียว
คนที่ถูกมองว่าเป็นระดับชาวบ้านจึงมักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบเสมอ เพราะฟีดแบ็กจากพวกเขา
มักไม่ถูกรับฟัง หรือได้รับการเหลียวแล ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลกในยุคปัจจุบัน
PART 2
กลับมาที่เรื่องของยาต้านเศร้า เราได้พูดถึงเรื่อง "ผลกระทบกับตัวคนไข้, เรื่องสิ่งที่พวกเขาได้แจ้งกับหมอ,
เรื่องการยอมรับของบริษัทยา, และเรื่องคดีความเกี่ยวกับเหตุการณ์" เหล่านี้ไว้ทั้งหมด
ซึ่งอยู่ในคลิปหลายคลิปที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ซึ่งมันจะสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานที่ช่วยให้ผู้ชม
สามารถเห็นถึงผลกระทบของยาได้ทั้งหมด
ต้องขอความกรุณาให้ย้อนกลับไปดูคลิปเก่าตามลิงค์ที่ให้นะคะ เพราะเราเสี่ยงที่จะนำมาพูดซ้ำอีกเรื่อย ๆ
ไม่ได้จริง ๆค่ะ เนื่องจากการก่อเหตุของผู้ที่ใช้ยาต้านเศร้า จะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาความรุนแรงในระดับสูงทั้งหมด
ซึ่งมากจนถูกแบนโดย AI ได้ง่ายมาก อันเป็นผลจากการที่ยาไปปลดล็อกกลไกของสมองโดยตรง
ที่ทำงานเป็นตัวห้ามพฤติกรรมที่รุนแรง เนื้อหาที่เราเคยลงไปแล้วผ่านได้นั้นอาจเป็นเพราะความฟลุค
ที่ทำให้ AI ปล่อยผ่าน ซึ่งที่ยังลงได้ส่วนใหญ่ก็คือใน Facebook เท่านั้น
สำหรับผู้ที่รู้เรื่องนี้แล้ว มีคนรู้จักที่เป็นโรคอยู่ก็ลองแชร์ข้อมูลนี้ให้พวกเขาฟังดูนะคะ
เพราะว่าทางเราพยายามส่งข้อมูลนี้ให้ในกลุ่ม Facebook ผลตอบรับก็คือการถูกแบนและการถูกต่อว่า
เพราะพวกเขาไม่อยากรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงตรงนี้
ซึ่งนี่ทำให้เรารู้เลยว่า ทำไมบริษัทยาถึงอยากที่จะปกป้องยาจิตเวชเหล่านี้อย่างมาก
เพราะพูดง่าย ๆ ว่ามันก็คือขุมเงินขุมทองของบริษัทนั่นเอง
มิหนำซ้ำยังมีผู้ช่วยที่ออกมาปกป้องอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหมอเองหรือตัวคนไข้ที่ทนต่อยาได้
แต่ลองนึกถึงตัวคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายเหล่านี้นะคะ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องสูญเสีย หรือตัวผู้ที่ก่อเหตุเองที่ทำไปเพราะไม่ใช่ตัวของเขา
คนเหล่านี้ต้องสูญเสียสังคมและชีวิตของพวกเขาทั้งชีวิต ไม่ต่างกับการที่ต้องตกนรกทั้งเป็น
ในขณะที่กลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากยา ต่างก็มีความสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทอง
ลองคิดในมุมนี้ดูบ้างนะคะ
คราวนี้เราก็มาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่รัฐเมน ในสหรัฐกันนะคะ
เหตุเกิดขึ้นในวันที่ 26 ต.ค. 2023 หรือคืนวันพุธ ที่ 25 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ
ผู้ก่อเหตุชื่อ โรเบิร์ต คาร์ด อายุ 40 ปี เขาเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกเป็นครูสอนเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืน
ที่มีใบอนุญาต ที่ศูนย์ฝึกทหารกองหนุนในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา
(ซึ่งเขาได้กราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 18 คน)
อันตรายของยาต้านเศร้าตอนที่ 3 การกราดยิงที่รัฐเมนในสหรัฐ
จะมีที่เป็นวีดีโอ กับแคปเนื้อหาจากวีดีโอมาลงสำหรับคนที่ไม่สะดวกดูวีดีโอนะครับ
PART 1
เกริ่นข้อมูลช่วงต้นของวีดีโอ:
อีพิเจเนติกส์ ทำให้ยีนเปลี่ยนแปลง ซึ่งยีนสามารถถูกเปิดหรือปิดสวิชท์ จากปัจจัยภายนอก
ที่อยู่นอกเหนือการเรียงลำดับของ DNA เช่น ผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม
การเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ ไม่ได้เปลี่ยนรหัส DNA แต่สามารถกระทบ
ต่อการอ่านและการใช้งาน DNA ของเซลล์ ซึ่งมีอิทธิพลต่อลักษณะทางกายภาพ
หรือคุณลักษณะของแต่ละบุคคล ที่รวมถึงแนวโน้มของการมีหรือไม่มีโรค
สภาวะร่างกายโดยรวม และโอกาสที่จะพัฒนาให้เกิดสภาวะทางสุขภาพบางอย่างไม่ว่าจะดีหรือร้าย
การเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ สามารถหายได้ และสามารถส่งผ่านจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
และการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของคนรุ่นก่อน
กลไกทางอีพิเจเนติกส์ ประกอบด้วย การดัดแปลงทางเคมีที่มีต่อ DNA และโปรตีน
เช่น เมทิลเลชัน และอะซีทิเลชัน ที่ควบคุมกิจกรรมของยีน
อีพิเจเนติกส์สามารถอธิบายว่าทำไม ฝาแฝดแท้ จึงสามารถมีลักษณะและโรคที่แตกต่างกัน
หรือ ทำไมยีนบางตัวจึงแสดงออกแค่ในเนื้อเยื่อบางตัว หรือบางระยะของพัฒนาการ
อีพิเจเนติกส์เป็นสาขาที่เติบโตอย่างรวดเร็วซึ่งมีความหมายต่อการทําความเข้าใจ การพัฒนาของมนุษย์
วิวัฒนาการ โรค และความชรา
ยาบางชนิด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งยาทางจิตเวช สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์
ต่อการทํางานของสมองได้หรือไม่?
ใช่ ยาและสารบางชนิด สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางอีพิเจเนติกส์ ที่มีผลต่อการทํางานของสมองได้
การปรับเปลี่ยนอีพิเจเนติกส์ สามารถมีอิทธิพลต่อการแสดงออกของยีนในสมอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อด้านต่าง ๆ
ของการทํางานของสมอง รวมถึง ความรู้ ความเข้าใจ อารมณ์ และพฤติกรรม
เข้าสู่เนื้อหาของวีดีโอ:
จากคลิปก่อนหน้านี้เรื่อง
กราดยิงที่พารากอนคือผลข้างเคียงที่ร้ายแรงที่สุดของยาจิตเวช
ที่ลงในช่องยูทูปและรอดพ้นไม่ถูกลบ
https://youtu.be/E7mJtJz9cCQ
และเรื่อง
ยาต้านเศร้าคือต้นเหตุของการฆ่าตัวตายซึ่งแท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่อีพิเจเนติกส์
ที่ลงอยู่ใน Facebook ของหญิงเอง ที่ไม่สามารถลงในสื่อโซเชียลอื่นได้
https://www.facebook.com/ying.phongpisitkul/videos/894231225742188/
ผลของยาต้านเศร้าได้มีการอธิบายอย่างละเอียด
อยู่ในคลิปทั้งสองคลิปนี้นะคะ และคงไม่เล่าซ้ำเพื่อไม่ให้คลิปนี้เสี่ยงต่อการถูกลบค่ะ
ก่อนหน้านี้ได้เคยโพสท์เกี่ยวกับเรื่องนี้แชร์ใน X หรือทวิตเตอร์เก่า
แล้วได้มีการคุยกับหมอจิตเวชท่านหนึ่ง ซึ่งขอเล่าแบบสรุปย่อ ๆ จากสิ่งที่ท่านโต้เถียงกลับมาว่า
ท่านบอกว่าไม่เคยให้ยาไปแล้วคนไข้ออกไปฆ่าคนอื่น
และท่านก็ขอให้แสดงหลักฐานเป็นงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซึ่งเราก็ต้องขออ้างอิงไปที่เรื่องของอีพิเจเนติกส์
ที่เราได้อธิบายมาตลอดในหลาย ๆ คลิปก่อนหน้านี้ไม่นานนัก
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรกลับไปย้อนฟังคลิปเหล่านั้นเพื่อให้เข้าใจเรื่องนี้มากขึ้น
แต่ก็จะอธิบายในที่นี้อีกแบบพอประมาณเพื่อให้พอเข้าใจบ้าง
นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นปัญหาใหญ่ของการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน
เพราะเราได้ยึดหลักตามงานวิจัยที่พิสูจน์จากการทดลองกับกลุ่มคนจำนวนไม่มาก
และในเวลาที่จำกัด แต่กลับนำมาใช้ตัดสินความผิดถูก
และเอามายึดหลักเป็นข้อเท็จจริงว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อข้อมูลใหม่อื่น ๆ ที่เข้ามาในภายหลัง
ที่ผ่านมาการทำงานวิจัยแบบปกติให้ประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ
เพราะสามารถช่วยทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้
แต่สำหรับการผลิตยา การที่ทำการทดลองกับกลุ่มคนจำนวนน้อย
เพื่อผลิตยาใช้สำหรับคนทุกคนนั้น มันกลับเป็นวิธีการที่มีความอันตรายอย่างยิ่ง
เพราะผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากยาถึงแม้จะมีแค่ในระดับที่ต่ำ เช่น 1 ในแสน หรือ 1 ในล้าน
ก็สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อคนจำนวนมหาศาลได้
เมื่อนำยามาใช้จริงกับคนจำนวนหลายแสนหลายล้านคนทั่วโลก
และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นกับคนเหล่านั้น
แทนที่จะสามารถฟีดแบ็กปัญหากลับไปที่ต้นทาง
ผ่านทางผู้ที่รักษา ไปสู่กลุ่มที่ทำงานวิจัย และบริษัทที่ผลิตยา
พวกเขากลับยึดเอาผลงานวิจัยที่ทำกับคนกลุ่มน้อยมาเป็นหลักฐานเพื่อชี้ว่า
การกล่าวหาหรือโทษไปที่ยานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งถึงแม้ศาลจะให้พิสูจน์อย่างชัดเจนโดยการให้ทำงานวิจัยซ้ำ
ผลก็ยังคงออกมายืนยันความบริสุทธิ์ของยาเช่นเดิม
เพราะว่าจำนวนคนที่เข้าร่วมงานวิจัยนั้น
ก็เป็นการทดลองกับคนกลุ่มน้อยไม่แตกต่างจากงานวิจัยที่เคยทำมา
มันเปรียบไม่ได้เลยกับการให้ยากับคนทุกคนจนได้เห็นผลกระทบของยา
เหมือนอย่างเช่น การฉีดยาให้กับคนทุกคนเพื่อป้องกันโควิด
แม้จะไม่ใช่คนทุกคน แต่ก็เป็นคนส่วนใหญ่
ซึ่งผลกระทบที่แท้จริงของยาก็ได้ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
และชัดมากจนการฟีดแบ็กมันสามารถย้อนกลับไปที่ตัวผู้ทำงานวิจัย
และไปถึงบริษัทยาจนต้องออกมายอมรับได้
แต่ผลกระทบนั้นก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด
มันก็ยังคงเป็นส่วนที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนจริง ๆ แค่บางส่วนเท่านั้น
ยังไม่ใช่ในระดับเดียวกับของงานวิจัยที่ตั้งใจหาข้อมูลกับคนหมู่มากจริง ๆ
เพื่อตรวจหาผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์ หรือดูข้อมูลที่เกี่ยวกับ
การเปลี่ยนแปลงของไมโครไบโอมโดยเฉพาะ
งานวิจัยในลักษณะที่สำรวจผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์
เพื่อให้พบผลกระทบที่แท้จริงของยาต่อคนจำนวนมาก
มันจะต้องเป็นงานวิจัยที่ทำกับคนนับแสนคนขึ้นไป หรือเป็นล้านคนได้ก็ยิ่งดี
โดยมีการติดตามผลกระทบที่ยาวนานเป็นสิบปี หรือหลายสิบปี
และต้องบันทึกผลกระทบทุกอย่างที่เกิดขึ้นและรับฟังอย่างไม่มีอคติใด ๆ
วิธีการในการทำวิจัยแบบนี้อาจเป็นไปไม่ได้เมื่อย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้วหรือมากกว่านั้น
เพราะคงไม่มีเวลาและเงินทองที่จะทำได้แบบนั้น
แต่ยุคในปัจจุบันนั้นมันมีความเป็นไปได้ที่จะศึกษาผลกระทบทางอีพิเจเนติกส์
เพราะเราสามารถรวบรวมฟีดแบ็กจากคนทุกคน
ที่เข้ารับการรักษาเข้าสู่ศูนย์กลางการจัดเก็บข้อมูลได้
เรามี AI ช่วยในการประมวลผลข้อมูลต่าง ๆ ได้
และเราสามารถส่งข้อมูลที่มีค่าเหล่านั้นย้อนกลับไปที่ผู้ทำงานวิจัยได้
อย่างไรก็ดีวัฒนธรรมการรักษาโรคของเราในทุกวันนี้มันยังไม่ได้ทันสมัยขนาดนั้น
การฟีดแบ็กของคนไข้ไม่ได้ถูกรับฟังเพื่อเก็บข้อมูลเข้าสู่ส่วนกลาง
สำหรับการปรับปรุงแก้ไข พัฒนาการรักษาให้ดีขึ้น
แต่มันถูกตัดจบที่ตัวหมอ หมอที่มีมากมายอยู่ประมาณ 12-13 ล้านคนทั่วโลก
ไม่ได้มีการส่งต่อข้อมูลของคนไข้ที่มีการฟีดแบ็กเกี่ยวกับผลกระทบของยามาที่หมอ
และพวกเขาจะหยุดคนไข้ไม่ให้คิดหรือสงสัย
หากสิ่งที่คนไข้บอกนั้นไม่ตรงกับสิ่งที่เขียนอยู่ในงานวิจัย
ข้อเท็จจริงก็คือ ปัจจุบันเราไม่สามารถยึดถือได้ว่าคนทุกคนที่มีพื้นฐาน DNA เหมือนกัน
จะตอบสนองกับสารต่าง ๆ แล้วได้ผลที่เหมือน ๆ กัน แบบที่เราเชื่อผลงานวิจัยมาตลอด 60-70 ปีที่ผ่านมา
มันมีตัวแปรที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น ยีนหรือ DNA ที่ได้รับผลกระทบ
ทางอีพิเจเนติกส์มาไม่เท่ากัน และการมีประชากรไมโครไบโอมในลำไส้ที่ไม่เหมือนกันเลย
มันทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า genetic diversity หรือความหลากหลายทางพันธุกรรมที่สูงมาก
โดยเฉพาะเรื่องระดับการสะสมของสารพิษโลหะหนักในสมอง ที่ทำให้เกิดอาการและโรค
ที่หลากหลายได้อย่างมาก
แต่เรายังคงใช้วิธีคิดแบบเก่าก็คือการนำเอายา ที่ทดสอบแล้วกับคนสัก 100-200 คน (หรือไม่กี่พันคน)
มาใช้กับคนจำนวนหลายพันล้านคน ซึ่งมันจะทำให้เกิดผลกระทบกับคนจำนวนมหาศาล
ที่ไม่ตอบรับกับผลของยานั้นหรือที่แย่กว่านั้นคือได้รับผลกระทบในทางลบ
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ที่พาลูกไปฉีดยาแล้วพอกลับบ้านมา 3-4 วัน ลูกก็กลายเป็นออทิสติก
พูดไม่ได้หลังจากที่เคยพูดได้ และเกิดการถดถอยของพัฒนาการลงอย่างชัดเจน
หากไปแจ้งให้หมอทราบ หมอก็จะไม่รับฟัง เพราะไม่เคยเห็นผลของงานศึกษาแบบนี้มาก่อน
หรืออาจจะมองเห็นว่ามันขัดแย้งกับงานวิจัย จึงสรุปว่าคนไข้อาจเข้าใจผิดไปเอง
หมอจะไม่เอะใจหรือสงสัยในผลกระทบของยาเลย ถ้ามันไม่ตรงกับผลงานวิจัย
ในขณะที่คนไข้ที่ให้ข้อมูลอยู่ตรงหน้า มีเหตุผลรองรับทั้ง การสังเกตพฤติกรรมโดยละเอียด
และการบันทึกผลตามเวลาที่เหมาะสมทุกอย่าง
แม้แต่ฉีดยาไปแล้ว แล้วเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันภายใน 24 ชั่วโมง ตัวหมอเองก็ยังไม่สงสัยที่ตัวยาเลย
เพราะพวกเขาถูกเทรนมาให้เชื่อในงานวิจัย แต่ไม่ได้ถูกเทรนมาให้เอะใจหรือสงสัยผลของงานวิจัยเหล่านั้น
ยังไม่นับว่ามีหมอส่วนหนึ่ง ที่ชอบมองว่าคนไข้คิดไปเอง หรือแม้แต่มองว่าคนไข้ไม่มีความรู้
จึงคิดไม่ได้หรือคิดไม่เป็นด้วยซ้ำไป
ซึ่งในข้อนี้หากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์ ด้วยนิสัยของพวกเขา
เขาอาจจะตั้งคำถามกลับไปที่งานวิจัยมากกว่า ที่จะตั้งคำถามกับคนไข้ที่ให้ข้อมูลใหม่ ๆ
เหล่านั้นเพียงอย่างเดียว
คนที่ถูกมองว่าเป็นระดับชาวบ้านจึงมักเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบเสมอ เพราะฟีดแบ็กจากพวกเขา
มักไม่ถูกรับฟัง หรือได้รับการเหลียวแล ซึ่งมันเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลกในยุคปัจจุบัน
PART 2
กลับมาที่เรื่องของยาต้านเศร้า เราได้พูดถึงเรื่อง "ผลกระทบกับตัวคนไข้, เรื่องสิ่งที่พวกเขาได้แจ้งกับหมอ,
เรื่องการยอมรับของบริษัทยา, และเรื่องคดีความเกี่ยวกับเหตุการณ์" เหล่านี้ไว้ทั้งหมด
ซึ่งอยู่ในคลิปหลายคลิปที่เพิ่งผ่านมาไม่นานนี้ ซึ่งมันจะสามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานที่ช่วยให้ผู้ชม
สามารถเห็นถึงผลกระทบของยาได้ทั้งหมด
ต้องขอความกรุณาให้ย้อนกลับไปดูคลิปเก่าตามลิงค์ที่ให้นะคะ เพราะเราเสี่ยงที่จะนำมาพูดซ้ำอีกเรื่อย ๆ
ไม่ได้จริง ๆค่ะ เนื่องจากการก่อเหตุของผู้ที่ใช้ยาต้านเศร้า จะเป็นเรื่องที่มีเนื้อหาความรุนแรงในระดับสูงทั้งหมด
ซึ่งมากจนถูกแบนโดย AI ได้ง่ายมาก อันเป็นผลจากการที่ยาไปปลดล็อกกลไกของสมองโดยตรง
ที่ทำงานเป็นตัวห้ามพฤติกรรมที่รุนแรง เนื้อหาที่เราเคยลงไปแล้วผ่านได้นั้นอาจเป็นเพราะความฟลุค
ที่ทำให้ AI ปล่อยผ่าน ซึ่งที่ยังลงได้ส่วนใหญ่ก็คือใน Facebook เท่านั้น
สำหรับผู้ที่รู้เรื่องนี้แล้ว มีคนรู้จักที่เป็นโรคอยู่ก็ลองแชร์ข้อมูลนี้ให้พวกเขาฟังดูนะคะ
เพราะว่าทางเราพยายามส่งข้อมูลนี้ให้ในกลุ่ม Facebook ผลตอบรับก็คือการถูกแบนและการถูกต่อว่า
เพราะพวกเขาไม่อยากรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริงตรงนี้
ซึ่งนี่ทำให้เรารู้เลยว่า ทำไมบริษัทยาถึงอยากที่จะปกป้องยาจิตเวชเหล่านี้อย่างมาก
เพราะพูดง่าย ๆ ว่ามันก็คือขุมเงินขุมทองของบริษัทนั่นเอง
มิหนำซ้ำยังมีผู้ช่วยที่ออกมาปกป้องอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นหมอเองหรือตัวคนไข้ที่ทนต่อยาได้
แต่ลองนึกถึงตัวคนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เลวร้ายเหล่านี้นะคะ
ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องสูญเสีย หรือตัวผู้ที่ก่อเหตุเองที่ทำไปเพราะไม่ใช่ตัวของเขา
คนเหล่านี้ต้องสูญเสียสังคมและชีวิตของพวกเขาทั้งชีวิต ไม่ต่างกับการที่ต้องตกนรกทั้งเป็น
ในขณะที่กลุ่มคนที่ได้รับประโยชน์จากยา ต่างก็มีความสุขสบายอยู่บนกองเงินกองทอง
ลองคิดในมุมนี้ดูบ้างนะคะ
คราวนี้เราก็มาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่รัฐเมน ในสหรัฐกันนะคะ
เหตุเกิดขึ้นในวันที่ 26 ต.ค. 2023 หรือคืนวันพุธ ที่ 25 ต.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ
ผู้ก่อเหตุชื่อ โรเบิร์ต คาร์ด อายุ 40 ปี เขาเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกเป็นครูสอนเกี่ยวกับการใช้อาวุธปืน
ที่มีใบอนุญาต ที่ศูนย์ฝึกทหารกองหนุนในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา
(ซึ่งเขาได้กราดยิงจนมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 18 คน)