Killers of the Flower Moon คดีฆาตกรรมเมื่อดอกไม้ร่วงโรยในคืนจันทร์เต็มดวง
เรื่องย่อ Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน
Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน เป็นภาพยนตร์สุดสะเทือนขวัญที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงในช่วงเปลี่ยนเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 น้ำมันได้นำความร่ำรวยมาสู่เผ่าโอเสจ ที่กลายมาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเพียงชั่วข้ามคืน ความร่ำรวยของชาวอินเดียนแดงเผ่านี้ สะดุดความสนใจของเหล่าผู้บุกรุกผิวขาวในทันที คนพวกนี้ทั้งหลอกล่อ ขู่กรรโชก และขโมยเงินของชาวโอเสจให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะหันไปใช้วิธีฆาตกรรม
Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน เป็นเรื่องราวความรักที่ไม่น่าเป็นไปได้ของ เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และมอลลี่ ไคล (ลิลี แกลดสโตน) ที่ซึ่งรักแท้ต้องมาเชือดเฉือนกับการทรยศหักหลังที่เลวร้ายจนแทบไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ท่ามกลางเหตุการณ์คดีฆาตกรรมในพื้นที่ของชาวพื้นเมืองโอเซจ ชาวโอเซจจึงถูกฆาตกรรมไปทีละคน จนกระทั่งเอฟบีไอเข้ามาไขปริศนา
เป็นหนังที่น่าดูมาก เพราะเป็นคนที่ชอบหนังแนวไขคดีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอหนังเริ่มฉาย ก็พอได้อ่านรีวิวคร่าวๆ บอกเลยว่าค่อนข้างเสียงแตกมากๆ คนชอบก็ชอบไปเลย คนไม่ชอบก็คือหลับสบายเลยทีเดียว เลยค่อนข้างลังเลใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นคนที่ค่อยชอบดูหนังรางวัลเท่าไหร่
และเรื่องนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นตัวเต็งรางวัลOscarของปีนี้เลย หวั่นใจมาก ว่าเราจะทนดูหนังยาวขนาดนี้ไหวมั้ย แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจไปดู อยากไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ก็อย่างว่า คนเรามันชอบไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ความรู้สึกหลังดูจบ
ต้องบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้ เป็นผลงานที่มีศิลปะในการเล่าเรื่อง และการนำเสนอ สไตล์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ไม่เคยได้เห็นจากเรื่องอื่นๆ
หนังมีความเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่เน้นดนตรีประกอบให้ชักจูงเรา ว่าเสียงแบบนั้น ควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือให้เราตัดสินใจเอง คิดเอง
จากการดูหนังในแต่ละฉาก การกระทำ และการแสดงออกของตัวละคร มีเพียงเสียงดนตรีคลอๆเบาๆ เพิ่มอรรถรส และเน้นหนักบางฉากเท่านั้น
และทำได้ดีมาก คืออาศัยความธรรมชาติ ความดิบ ความสด ในการนำเสนอ แบบไม่ต้องใช้อะไรปรุงแต่งเยอะ ไม่ต้องมีฉากแอคชั่นมากมาย
เน้นบทพูด และการสนทนา ที่คมคาย และแฝงไปด้วยนัยยะ และแง่คิด ให้คิดดูคิดตาม และจดจ่อไปกับหนัง
และแน่นอนว่า หนังตัวเต็งรางวัลOscar หรือหนังรางวัล ไม่ได้เหมาะกับทุกคนแน่ๆ แต่ส่วนตัวคิดว่า คนที่ไม่ชอบดูหนังรางวัลอย่างเรา สำหรับเรื่องนี้ เราสามารถดูได้สบาย และไม่น่าเบื่อ เพราะหนังค่อนข้างมีการนำเสนอที่ดึงดูด และทำให้เราจดจ่ออยู่กับหนังได้ โดยไม่หลุดโฟกัส ทั้งที่หนังส่วนใหญ่ เน้นไปที่การพูด และบทสนทนา แทบจะทั้งเรื่องก็ว่าได้ แต่สำหรับเรา ตลอดเวลา3ชั่วโมง 26นาที เกือบๆ4ชั่วโมง มันไม่รู้สึกว่าง่วงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อาจจะมีปวดฉี่ตอนท้ายๆบ้าง เพราะหนังยาวจริง ต่อให้ทำธุระไปก่อนยังไง ก็แทบทนไม่ไหว
เชื่อแล้วว่า คุณปู่ Martin Scorsese ผู้กำกับในวัย80ปี เขาคือชั้นครูจริงๆ ทำได้ไง หนังเกือบ4ชั่วโมง และมีแต่บทพูด ทำให้ไม่น่าเบื่อ ต้องขอคารวะจริงๆ
แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบแนวนี้ หรือทั้งหมดที่กล่าวมา บอกเลยว่า หนังเรื่องจะทำให้คนหลับได้เต็มตื่นแน่นอน
ชอบไม่ชอบอยากให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเราคิดว่าจะไม่รอดแล้ว สำหรับเรื่องนี้ แต่ไม่หลับเฉย แถมไม่น่าเบื่อด้วย ไม่เนือยเลย
แต่เรียนตามตรงว่า ถ้าคุณเน้นดูหนังแมส หนังบันเทิง ก็อย่าเลยดีกว่า แต่ดีที่เราเป็นคนที่ดูได้ทุกแนวอยู่แล้ว ก็เลยดูหนังรางวัลได้สบาย ถ้าดูแล้วไม่น่าเบื่อ
หนังไม่ได้เหมือนหนังไขคดีฆาตรกรรม เรื่องไหนๆ ที่เราเคยรู้จักแน่นอน ที่คุณจะรู้ตัวฆาตรกรในตอนท้ายเรื่อง แต่หนังเฉลยให้เราเห็นตั้งแต่แรกเลย
ว่าใคร? และพาเราไปสำรวจจิตใจของตัวละคร ความดำมือ ความโลภ ที่ครอบงำ การกระทำทั้งต่อหน้า และลับหลัง คือเปรียบให้คนดูเห็นทั้ง2ด้านไปเลย
ในความชั่ว และเลวร้ายของมนุษย์ ที่ทำกับมมนุษย์ด้วยกัน เล่าให้เห็นชัดๆแบบนี้ ตลอดทั้งเรื่อง
คือดูไปแล้วก็คิดในใจ ว่าจิตใจคนเรา นี่มันขนาดนี้จริงๆหรอ! แล้วทำไมโอเสจ เป็นชนเผ่าที่โชคดี แต่ทำไมโง่ขนาดนี้
ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยให้เราคิดตาม เป็นหนังที่แฝงไปด้วยแง่คิด และนัยยะต่างๆ ให้เราขบคิดได้ดีมาก
และถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง สมแล้วกับผลงานชั้นครู
การปูเรื่อง และเราเรื่อง ด้วยเวลาที่นานของหนัง มันคือข้อดี ที่ทำให้เราได้รู้จักที่มาที่ไป ประวัติของโอเสจ และแต่ละตัวละคร
ทำให้เราได้ผูกพันธ์ไปกับตัวละคร และอินไปกับพวกเขา
อีกอย่างที่ชอบ คือตัวละคร คือผลงานการกำกับของปู่ มาร์ติน ที่ทำให้เราเชื่อว่า เขาคือผู้กำกับระบบบรมครูจริงๆ
คือ เขาทำให้เราได้เห็นเลยว่า ตัวละครในหนัง มีความเป็นมนุษย์จริงๆ มีตัวตนจริงๆ ผ่านนักแสดง เหมือนกับว่าเราได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ในหนัง
นี่แหละมนุษย์ ซึ่งมีความซับซ้อน ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การกระทำ และการแสดงออก เพราะบางที เราก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเราเลย
เหมือนในหนัง ทั้งที่มอลลี่ รู้ว่าเออร์เนส วางยาเธอ แต่เธอก็ยังรัก มันเป็นความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ มีความเรียลมากๆ
มันถูกถ่ายทอดออกมาทั้งคำพูด สีหน้า ท่าทาง การกระทำ ของแต่ละตัวละคร ที่บางครั้ง ก็เหมือนให้เราคิดเอง ว่าถ้าเป็นตัวละครต่างๆ เราจะคิดจะทำอย่างไร เพราะหนังไม่ได้ชัดเจน ในอารมณืของตัวละครหลักอย่างมอลลี่ และเออร์เนส ทั้งๆที่รักกัน แต่การกระทำบางครั้งมันก็ไม่ใช่ ทั้งที่จะรู้ แต่ตัวตัวเหมือนไม่รู้ ทุกอย่างส่งผ่านกระกระทำ สีหน้า และท่าทาง ให้คนดูไปตัดสินเอง ว่าจริงๆแล้ว ทั้งคู่รู้สึกต่อกันเช่นไรกันแน่
ซึ่งบท นักแสดง และผู้กำกับถ่ายทอดตรงนี้ออกมาได้ดีมากๆ กราบจริงๆ

ในส่วนของการสร้างคือทุ่มทุนมาก สมทุนสร้าง200ล้านเหรียญของApple คือไม่ได้ทำเล่นๆอะ ทุกอย่างถูกเซ็ท และวางแผนมาเป็นอย่างดี
เหมือนหนังได้พาเราไปอยู่ในจุดๆนั้น และเวลานั้นจริงๆ
งานภาพ การถ่ายทำ คือสวยมาก มันดูมีศิลปะทุกฉาก
ดนตรีประกอบ เข้ากับหนัง และชนเผ่าอินเดียนแดงมาก
และจะไม่พูดถึงไปไม่ได้ คือนักแสดงทุกคน เล่นดีมากๆ คือเขาเหมือนได้พาเราไปรู้จักตัวละครตัวนั้นจริงๆ โดยเฉพาะ คิง (โรเบิร์ต เดอ นีโร)
เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และมอลลี่ ไคล (ลิลี แกลดสโตน) เราว่าหนึ่งในนี้ ต้องมีคนได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม
ข้อด้อยและส่วนที่ไม่ชอบ
ส่วนตัวคิดว่าหนังค่อนข้างนานไปหน่อย ถึงแม้จะทนดูได้ก็ตาม เรื่อยๆ เพลินๆ แต่มันก็นานจริงๆ
และหนังดีนะ แต่สำหรับเรามันยังค่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ และไม่ถึงขนาดขึ้นหิ้งขนาดนั้น
โดยรวมคือเป็นหนังอีกเรื่อง ที่แนะนำ อยากให้คอหนังได้ลิ้มลอง รับรองว่ารสชาตินี้ คุณไม่เคยได้ลิ้มลองจากผู้กำกับคนไหนแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ เราจะไม่บอกว่าชอบไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นหนังที่คนรักหนังต้องลองสัมผัส และตัดสินด้วยตัวคุณเอง
ปล. แต่รีบๆหน่อยนะ เพราะรอบฉายค่อนข้างน้อยมาก เพราะหนังยาวมาก และจำนวนโรงฉาย ที่ค่อนข้างจำกัด
สำหรับคะแนนความชอบ เอาไปเลย 8/10 คะแนน ของเขาดีจริง
ใครที่ไปดูมาแล้ว คิดเห็นอย่างไรกันบ้าง มาแชร์กันได้ รออ่านอยู่นะ
https://www.facebook.com/MouthMoyMovie?mibextid=LQQJ4d

KILLERS OF THE FLOWER MOON เรื่องจริงคดีฆาตกรรมชาวโอเสจ (8/10) l ผลงานที่มีศิลปะในการเล่าเรื่อง และนำเสนอ (สปอยล์)
เรื่องย่อ Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน
Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน เป็นภาพยนตร์สุดสะเทือนขวัญที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงในช่วงเปลี่ยนเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 น้ำมันได้นำความร่ำรวยมาสู่เผ่าโอเสจ ที่กลายมาเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกเพียงชั่วข้ามคืน ความร่ำรวยของชาวอินเดียนแดงเผ่านี้ สะดุดความสนใจของเหล่าผู้บุกรุกผิวขาวในทันที คนพวกนี้ทั้งหลอกล่อ ขู่กรรโชก และขโมยเงินของชาวโอเสจให้ได้มากที่สุดก่อนที่จะหันไปใช้วิธีฆาตกรรม
Killers Of The Flower Moon คิลเลอร์ส ออฟ เดอะ ฟลาวเวอร์ มูน เป็นเรื่องราวความรักที่ไม่น่าเป็นไปได้ของ เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และมอลลี่ ไคล (ลิลี แกลดสโตน) ที่ซึ่งรักแท้ต้องมาเชือดเฉือนกับการทรยศหักหลังที่เลวร้ายจนแทบไม่สามารถบรรยายออกมาได้ ท่ามกลางเหตุการณ์คดีฆาตกรรมในพื้นที่ของชาวพื้นเมืองโอเซจ ชาวโอเซจจึงถูกฆาตกรรมไปทีละคน จนกระทั่งเอฟบีไอเข้ามาไขปริศนา
เป็นหนังที่น่าดูมาก เพราะเป็นคนที่ชอบหนังแนวไขคดีอะไรแบบนี้อยู่แล้ว แต่พอหนังเริ่มฉาย ก็พอได้อ่านรีวิวคร่าวๆ บอกเลยว่าค่อนข้างเสียงแตกมากๆ คนชอบก็ชอบไปเลย คนไม่ชอบก็คือหลับสบายเลยทีเดียว เลยค่อนข้างลังเลใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งเป็นคนที่ค่อยชอบดูหนังรางวัลเท่าไหร่
และเรื่องนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นตัวเต็งรางวัลOscarของปีนี้เลย หวั่นใจมาก ว่าเราจะทนดูหนังยาวขนาดนี้ไหวมั้ย แต่สุดท้าย ก็ตัดสินใจไปดู อยากไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง ก็อย่างว่า คนเรามันชอบไม่เหมือนกันอยู่แล้ว
ความรู้สึกหลังดูจบ
ต้องบอกเลยว่า หนังเรื่องนี้ เป็นผลงานที่มีศิลปะในการเล่าเรื่อง และการนำเสนอ สไตล์อันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ไม่เคยได้เห็นจากเรื่องอื่นๆ
หนังมีความเรียบง่าย ไม่หวือหวา ไม่เน้นดนตรีประกอบให้ชักจูงเรา ว่าเสียงแบบนั้น ควรเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ คือให้เราตัดสินใจเอง คิดเอง
จากการดูหนังในแต่ละฉาก การกระทำ และการแสดงออกของตัวละคร มีเพียงเสียงดนตรีคลอๆเบาๆ เพิ่มอรรถรส และเน้นหนักบางฉากเท่านั้น
และทำได้ดีมาก คืออาศัยความธรรมชาติ ความดิบ ความสด ในการนำเสนอ แบบไม่ต้องใช้อะไรปรุงแต่งเยอะ ไม่ต้องมีฉากแอคชั่นมากมาย
เน้นบทพูด และการสนทนา ที่คมคาย และแฝงไปด้วยนัยยะ และแง่คิด ให้คิดดูคิดตาม และจดจ่อไปกับหนัง
และแน่นอนว่า หนังตัวเต็งรางวัลOscar หรือหนังรางวัล ไม่ได้เหมาะกับทุกคนแน่ๆ แต่ส่วนตัวคิดว่า คนที่ไม่ชอบดูหนังรางวัลอย่างเรา สำหรับเรื่องนี้ เราสามารถดูได้สบาย และไม่น่าเบื่อ เพราะหนังค่อนข้างมีการนำเสนอที่ดึงดูด และทำให้เราจดจ่ออยู่กับหนังได้ โดยไม่หลุดโฟกัส ทั้งที่หนังส่วนใหญ่ เน้นไปที่การพูด และบทสนทนา แทบจะทั้งเรื่องก็ว่าได้ แต่สำหรับเรา ตลอดเวลา3ชั่วโมง 26นาที เกือบๆ4ชั่วโมง มันไม่รู้สึกว่าง่วงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็อาจจะมีปวดฉี่ตอนท้ายๆบ้าง เพราะหนังยาวจริง ต่อให้ทำธุระไปก่อนยังไง ก็แทบทนไม่ไหว
เชื่อแล้วว่า คุณปู่ Martin Scorsese ผู้กำกับในวัย80ปี เขาคือชั้นครูจริงๆ ทำได้ไง หนังเกือบ4ชั่วโมง และมีแต่บทพูด ทำให้ไม่น่าเบื่อ ต้องขอคารวะจริงๆ
แต่ถ้าคนที่ไม่ชอบแนวนี้ หรือทั้งหมดที่กล่าวมา บอกเลยว่า หนังเรื่องจะทำให้คนหลับได้เต็มตื่นแน่นอน
ชอบไม่ชอบอยากให้ไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง อย่างเราคิดว่าจะไม่รอดแล้ว สำหรับเรื่องนี้ แต่ไม่หลับเฉย แถมไม่น่าเบื่อด้วย ไม่เนือยเลย
แต่เรียนตามตรงว่า ถ้าคุณเน้นดูหนังแมส หนังบันเทิง ก็อย่าเลยดีกว่า แต่ดีที่เราเป็นคนที่ดูได้ทุกแนวอยู่แล้ว ก็เลยดูหนังรางวัลได้สบาย ถ้าดูแล้วไม่น่าเบื่อ
หนังไม่ได้เหมือนหนังไขคดีฆาตรกรรม เรื่องไหนๆ ที่เราเคยรู้จักแน่นอน ที่คุณจะรู้ตัวฆาตรกรในตอนท้ายเรื่อง แต่หนังเฉลยให้เราเห็นตั้งแต่แรกเลย
ว่าใคร? และพาเราไปสำรวจจิตใจของตัวละคร ความดำมือ ความโลภ ที่ครอบงำ การกระทำทั้งต่อหน้า และลับหลัง คือเปรียบให้คนดูเห็นทั้ง2ด้านไปเลย
ในความชั่ว และเลวร้ายของมนุษย์ ที่ทำกับมมนุษย์ด้วยกัน เล่าให้เห็นชัดๆแบบนี้ ตลอดทั้งเรื่อง
คือดูไปแล้วก็คิดในใจ ว่าจิตใจคนเรา นี่มันขนาดนี้จริงๆหรอ! แล้วทำไมโอเสจ เป็นชนเผ่าที่โชคดี แต่ทำไมโง่ขนาดนี้
ทุกอย่างมันเต็มไปด้วยให้เราคิดตาม เป็นหนังที่แฝงไปด้วยแง่คิด และนัยยะต่างๆ ให้เราขบคิดได้ดีมาก
และถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างมีชั้นเชิง สมแล้วกับผลงานชั้นครู
การปูเรื่อง และเราเรื่อง ด้วยเวลาที่นานของหนัง มันคือข้อดี ที่ทำให้เราได้รู้จักที่มาที่ไป ประวัติของโอเสจ และแต่ละตัวละคร
ทำให้เราได้ผูกพันธ์ไปกับตัวละคร และอินไปกับพวกเขา
อีกอย่างที่ชอบ คือตัวละคร คือผลงานการกำกับของปู่ มาร์ติน ที่ทำให้เราเชื่อว่า เขาคือผู้กำกับระบบบรมครูจริงๆ
คือ เขาทำให้เราได้เห็นเลยว่า ตัวละครในหนัง มีความเป็นมนุษย์จริงๆ มีตัวตนจริงๆ ผ่านนักแสดง เหมือนกับว่าเราได้ไปอยู่ในเหตุการณ์ในหนัง
นี่แหละมนุษย์ ซึ่งมีความซับซ้อน ทางด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด การกระทำ และการแสดงออก เพราะบางที เราก็ยังไม่เข้าใจการกระทำของตัวเราเลย
เหมือนในหนัง ทั้งที่มอลลี่ รู้ว่าเออร์เนส วางยาเธอ แต่เธอก็ยังรัก มันเป็นความรู้สึกของมนุษย์จริงๆ มีความเรียลมากๆ
มันถูกถ่ายทอดออกมาทั้งคำพูด สีหน้า ท่าทาง การกระทำ ของแต่ละตัวละคร ที่บางครั้ง ก็เหมือนให้เราคิดเอง ว่าถ้าเป็นตัวละครต่างๆ เราจะคิดจะทำอย่างไร เพราะหนังไม่ได้ชัดเจน ในอารมณืของตัวละครหลักอย่างมอลลี่ และเออร์เนส ทั้งๆที่รักกัน แต่การกระทำบางครั้งมันก็ไม่ใช่ ทั้งที่จะรู้ แต่ตัวตัวเหมือนไม่รู้ ทุกอย่างส่งผ่านกระกระทำ สีหน้า และท่าทาง ให้คนดูไปตัดสินเอง ว่าจริงๆแล้ว ทั้งคู่รู้สึกต่อกันเช่นไรกันแน่
ซึ่งบท นักแสดง และผู้กำกับถ่ายทอดตรงนี้ออกมาได้ดีมากๆ กราบจริงๆ
ในส่วนของการสร้างคือทุ่มทุนมาก สมทุนสร้าง200ล้านเหรียญของApple คือไม่ได้ทำเล่นๆอะ ทุกอย่างถูกเซ็ท และวางแผนมาเป็นอย่างดี
เหมือนหนังได้พาเราไปอยู่ในจุดๆนั้น และเวลานั้นจริงๆ
งานภาพ การถ่ายทำ คือสวยมาก มันดูมีศิลปะทุกฉาก
ดนตรีประกอบ เข้ากับหนัง และชนเผ่าอินเดียนแดงมาก
และจะไม่พูดถึงไปไม่ได้ คือนักแสดงทุกคน เล่นดีมากๆ คือเขาเหมือนได้พาเราไปรู้จักตัวละครตัวนั้นจริงๆ โดยเฉพาะ คิง (โรเบิร์ต เดอ นีโร)
เออร์เนสต์ เบิร์กฮาร์ต (ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ) และมอลลี่ ไคล (ลิลี แกลดสโตน) เราว่าหนึ่งในนี้ ต้องมีคนได้รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม
ข้อด้อยและส่วนที่ไม่ชอบ
ส่วนตัวคิดว่าหนังค่อนข้างนานไปหน่อย ถึงแม้จะทนดูได้ก็ตาม เรื่อยๆ เพลินๆ แต่มันก็นานจริงๆ
และหนังดีนะ แต่สำหรับเรามันยังค่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ และไม่ถึงขนาดขึ้นหิ้งขนาดนั้น
โดยรวมคือเป็นหนังอีกเรื่อง ที่แนะนำ อยากให้คอหนังได้ลิ้มลอง รับรองว่ารสชาตินี้ คุณไม่เคยได้ลิ้มลองจากผู้กำกับคนไหนแน่นอน
สำหรับเรื่องนี้ เราจะไม่บอกว่าชอบไม่ชอบ ดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นหนังที่คนรักหนังต้องลองสัมผัส และตัดสินด้วยตัวคุณเอง
ปล. แต่รีบๆหน่อยนะ เพราะรอบฉายค่อนข้างน้อยมาก เพราะหนังยาวมาก และจำนวนโรงฉาย ที่ค่อนข้างจำกัด
สำหรับคะแนนความชอบ เอาไปเลย 8/10 คะแนน ของเขาดีจริง
ใครที่ไปดูมาแล้ว คิดเห็นอย่างไรกันบ้าง มาแชร์กันได้ รออ่านอยู่นะ
https://www.facebook.com/MouthMoyMovie?mibextid=LQQJ4d