
27 ตุลาคม 2566 พรรคเพื่อไทยเตรียมประชุมวิสามัญใหญ่พรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ มีเพียงชื่อเดียวที่ “นอนมา” คือ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ที่จะเพิ่มตำแหน่งเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ชนิดไม่มีใครแข่ง อ่านจากปฏิกิริยานักการเมืองทุกสาย ทุกมุ้ง
ทั้งบ้านใหญ่จันทร์ส่องหล้า สายตรงอดีตนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างออกมาชูชื่อเดียว “แพทองธาร” แบบไม่แตกแถว
ไม่เว้นแม้กระทั่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 “เศรษฐา ทวีสิน” กล่าวว่า ได้เห็นศักยภาพและความตั้งใจจริงของ น.ส.แพทองธาร
ว่ามีประสบการณ์ด้านการเมือง มีความสัมพันธ์ที่ดี รวมถึงสามารถโน้มน้าวจิตใจคนได้ มีความเป็นผู้นำสูง
เชื่อว่า น.ส.แพทองธารมีความเหมาะสมเต็มที่
พรรคป่วน หลังเป็นรัฐบาล
แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้าสู่อำนาจ จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และกำเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไว้ในมือ
แต่ด้วยความที่เป็น “รัฐบาลผสม” 11 พรรค 314 เสียง ทำให้ตำแหน่งทางการเมือง ทั้งในฝ่ายบริหาร
และฝ่ายนิติบัญญัติมีมากกว่าจำนวนคนที่ต้องการจะเป็น ดังนั้นหลังการจัดตั้งรัฐบาล
รอยร้าวในพรรคเพื่อไทยจึงเกิดขึ้นเงียบ ๆ แต่รับรู้กันทั้งพรรคเพื่อไทย เพราะนักการเมืองสายตรงต่าง
ได้รับการปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง ทั้งสายตรง รพ.ตำรวจ สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า
สายตรงนายกฯ ปู แม้แต่สายตรงนายกฯ เศรษฐา จึงมีที่ปรึกษานายกฯ และที่ปรึกษาของนายกฯ
รวมกันเกิน 1 โหลไปแล้ว สส.ทั้งสอบได้และสอบตกในพรรคบางส่วนต้องเก็บความเจ็บปวด
สส.สอบได้ที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ บางรายหวังอยากได้นั่งเป็นประธานกรรมาธิการสามัญ แต่ต้องชวดเก้าอี้
หรือถูกจับไปนั่งในกรรมาธิการที่ไม่ต้องการ ขณะที่บางส่วนก็รอการปรับคณะรัฐมนตรี รอให้แต้มบุญหล่นทับ
หลังจากรอบแรกส่วนใหญ่เป็นโควตาสายตรง นอกเหนือจากนั้นในพรรคเพื่อไทยยังมีเรื่องบางเรื่องให้ “แพทองธาร” ต้อง “สะสาง”
เพราะหลังจากได้เป็นรัฐบาล ยังมีเสียงบ่นจาก สส.ในพื้นที่ว่า ยังไม่ได้รับการดูแลจากพรรคเท่าที่ควร แม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาล
หากเปรียบเทียบกับพรรคใหญ่คู่แข่ง อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ที่มีงบพิเศษให้ สส.เพิ่มให้
นอกเหนือจากเงินเดือน แต่พรรคเพื่อไทยได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง และยังต้องออกค่าใช้จ่าย
ในการต้อนรับขบวนผู้บริหารประเทศเวลาลงพื้นที่ เสียงสะท้อน-เรื่องวุ่น ๆ ภายในพรรคเพื่อไทย เป็นภาระอันหนักอึ้งของ
“แพทองธาร” ถ้าได้เป็นหัวหน้าพรรค เพราะต้องมาคุม เสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่กำลังกลืนความเจ็บปวด
ปรับขบวนสู้ก้าวไกล
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังต้องสู้รบปรบมือกับ “คู่แข่ง” ที่สำคัญคือ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเปลี่ยนหัวหน้าพรรค
มาเป็น “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นจังหวะที่ “คลื่นลูกใหม่” ทางการเมือง 2 คลื่นต้องมาปะทะกัน
การเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อไทยครั้งนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนแบบ “สายตรง” มาคุม แต่เป็นระดับ “ดีเอ็นเอ”
เจ้าของพรรคมาคุมพรรค ปรับลุกให้ทันสมัย ดึงใจโหวตเตอร์รุ่นใหม่
เข้าแผน “เศรษฐา” บริหารประเทศ ประจำการทำเนียบ ส่วน “แพทองธาร” มารีโนเวตพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้
พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสรุปบทเรียน ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมือผู้บริหารพรรคเรียบร้อย
4 ปีนี้อาจเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นหน้า-เห็นหลังในพรรคเพื่อไทยชัดขึ้น ว่าจะพลิกโฉมอย่างไร
ขอขอบคุณข้อมูล
https://www.prachachat.net/politics/news-1421816
ลุ้น แพทองธาร หัวหน้าเพื่อไทย ในภารกิจรื้อพรรค-จัดทัพใหม่สู้ก้าวไกล
27 ตุลาคม 2566 พรรคเพื่อไทยเตรียมประชุมวิสามัญใหญ่พรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
การเปลี่ยนแปลงในพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ มีเพียงชื่อเดียวที่ “นอนมา” คือ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
ที่จะเพิ่มตำแหน่งเป็น “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ชนิดไม่มีใครแข่ง อ่านจากปฏิกิริยานักการเมืองทุกสาย ทุกมุ้ง
ทั้งบ้านใหญ่จันทร์ส่องหล้า สายตรงอดีตนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างออกมาชูชื่อเดียว “แพทองธาร” แบบไม่แตกแถว
ไม่เว้นแม้กระทั่ง นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 “เศรษฐา ทวีสิน” กล่าวว่า ได้เห็นศักยภาพและความตั้งใจจริงของ น.ส.แพทองธาร
ว่ามีประสบการณ์ด้านการเมือง มีความสัมพันธ์ที่ดี รวมถึงสามารถโน้มน้าวจิตใจคนได้ มีความเป็นผู้นำสูง
เชื่อว่า น.ส.แพทองธารมีความเหมาะสมเต็มที่
พรรคป่วน หลังเป็นรัฐบาล
แม้ว่าพรรคเพื่อไทยจะเข้าสู่อำนาจ จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ และกำเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ไว้ในมือ
แต่ด้วยความที่เป็น “รัฐบาลผสม” 11 พรรค 314 เสียง ทำให้ตำแหน่งทางการเมือง ทั้งในฝ่ายบริหาร
และฝ่ายนิติบัญญัติมีมากกว่าจำนวนคนที่ต้องการจะเป็น ดังนั้นหลังการจัดตั้งรัฐบาล
รอยร้าวในพรรคเพื่อไทยจึงเกิดขึ้นเงียบ ๆ แต่รับรู้กันทั้งพรรคเพื่อไทย เพราะนักการเมืองสายตรงต่าง
ได้รับการปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง ทั้งสายตรง รพ.ตำรวจ สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า
สายตรงนายกฯ ปู แม้แต่สายตรงนายกฯ เศรษฐา จึงมีที่ปรึกษานายกฯ และที่ปรึกษาของนายกฯ
รวมกันเกิน 1 โหลไปแล้ว สส.ทั้งสอบได้และสอบตกในพรรคบางส่วนต้องเก็บความเจ็บปวด
สส.สอบได้ที่อยู่ในฝ่ายนิติบัญญัติ บางรายหวังอยากได้นั่งเป็นประธานกรรมาธิการสามัญ แต่ต้องชวดเก้าอี้
หรือถูกจับไปนั่งในกรรมาธิการที่ไม่ต้องการ ขณะที่บางส่วนก็รอการปรับคณะรัฐมนตรี รอให้แต้มบุญหล่นทับ
หลังจากรอบแรกส่วนใหญ่เป็นโควตาสายตรง นอกเหนือจากนั้นในพรรคเพื่อไทยยังมีเรื่องบางเรื่องให้ “แพทองธาร” ต้อง “สะสาง”
เพราะหลังจากได้เป็นรัฐบาล ยังมีเสียงบ่นจาก สส.ในพื้นที่ว่า ยังไม่ได้รับการดูแลจากพรรคเท่าที่ควร แม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาล
หากเปรียบเทียบกับพรรคใหญ่คู่แข่ง อย่างพรรคภูมิใจไทย และพรรคพลังประชารัฐ ที่มีงบพิเศษให้ สส.เพิ่มให้
นอกเหนือจากเงินเดือน แต่พรรคเพื่อไทยได้น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง และยังต้องออกค่าใช้จ่าย
ในการต้อนรับขบวนผู้บริหารประเทศเวลาลงพื้นที่ เสียงสะท้อน-เรื่องวุ่น ๆ ภายในพรรคเพื่อไทย เป็นภาระอันหนักอึ้งของ
“แพทองธาร” ถ้าได้เป็นหัวหน้าพรรค เพราะต้องมาคุม เสือ สิงห์ กระทิง แรด ที่กำลังกลืนความเจ็บปวด
ปรับขบวนสู้ก้าวไกล
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทยยังต้องสู้รบปรบมือกับ “คู่แข่ง” ที่สำคัญคือ “พรรคก้าวไกล” ซึ่งเปลี่ยนหัวหน้าพรรค
มาเป็น “ชัยธวัช ตุลาธน” เป็นจังหวะที่ “คลื่นลูกใหม่” ทางการเมือง 2 คลื่นต้องมาปะทะกัน
การเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อไทยครั้งนี้ ไม่ใช่การเปลี่ยนแบบ “สายตรง” มาคุม แต่เป็นระดับ “ดีเอ็นเอ”
เจ้าของพรรคมาคุมพรรค ปรับลุกให้ทันสมัย ดึงใจโหวตเตอร์รุ่นใหม่
เข้าแผน “เศรษฐา” บริหารประเทศ ประจำการทำเนียบ ส่วน “แพทองธาร” มารีโนเวตพรรค ซึ่งก่อนหน้านี้
พรรคเพื่อไทยได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสรุปบทเรียน ความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง
ซึ่งปัจจุบันอยู่ในมือผู้บริหารพรรคเรียบร้อย
4 ปีนี้อาจเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นหน้า-เห็นหลังในพรรคเพื่อไทยชัดขึ้น ว่าจะพลิกโฉมอย่างไร
ขอขอบคุณข้อมูล https://www.prachachat.net/politics/news-1421816