เด็กเทพวัดไผ่ตัน The Hero From Phaitan Temple บทนำ+ตอนที่ 1

บทนำ
                เรื่องราวนี้เริ่มต้นเกิดขึ้นในปีพุทธศักราช  2534  เมื่อมีเด็กหนุ่มคนหนึ่ง  ที่เกิดและเติบโตในจากต่างจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย  ฐานะทางบ้านอยู่ในระดับปานกลางพ่อมีอาชีพเป็นลูกจ้างในโรงพิมพ์ส่วนแม่เป็นแม่บ้านและรับจ้างทั่วไปความเป็นอยู่ก็แบบว่าพอมีพอกิน  เด็กหนุ่มคนนี้เป็นลูกคนเดียวของครอบครัวจึงเป็นที่รักของพ่อกับแม่เป็นอย่างมากและเป็นความหวังของครอบครัวอย่างมากด้วยเช่นกัน  ซึ่งตัวเด็กหนุ่มเองก็เข้าใจดีจึงตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและเป็นลูกที่ดีของพ่อกับแม่มาโดยตลอดอาจจะดื้อรั้นและเอาแต่ใจตัวเองเป็นบางครั้งตามประสาลูกชายคนเดียว  นิสัยค่อนข้างเรียบร้อย  พูดน้อย  มีความเฉลียวฉลาดพอสมควร  ไม่ชอบมีเรื่องกับใครแต่ถ้ามีเรื่องเข้ามาหาก็สู้ไม่ถอยเหมือนกัน  หลังจากเรียนจบการศึกษาชั้นมัธยมปลายแล้วได้สอบเข้าเรียนต่อในสถานศึกษาของรัฐแห่งหนึ่งมีชื่อว่า  โรงเรียนสัตวแพทย์กรมปศุสัตว์  จึงต้องเข้ามาศึกษาต่อที่กรุงเทพมหานครเมืองหลวงของประเทศ  โดยมีญาติผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งนำมาฝากให้เป็นลูกศิษย์ของท่านพระครูสุพินหรือหลวงพ่อสุพินที่วัดไผ่ตันย่านสะพานควายเพื่อให้คอยปรนนิบัติรับใช้และให้หลวงพ่อท่านช่วยอบรมสั่งสอนในช่วงที่เข้ามาศึกษาต่อ  ซึ่งเด็กหนุ่มทั้งตื่นเต้นและดีใจเป็นอย่างมากที่ได้มาเป็นเด็กวัดคอยรับใช้หลวงพ่อและยิ่งไปกว่านั้นก็ตื่นเต้นกับการที่ต้องเข้ามาใช้ชีวิตในเมืองหลวงซึ่งแตกต่างจากวิถีชีวิตที่บ้านนอกราวฟ้ากับดิน  การดิ้นรนและการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดในเมืองใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยเพียงลำพังจึงได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  เด็กหนุ่มคนนี้มีชื่อว่า “หนึ่ง”

ตอนที่ 1 วัดไผ่ตัน  กรุงเทพมหานคร
                แก๊งๆๆๆ...(เสียงระฆังดัง)  ผมสะดุ้งตื่น...ห้าวววว....ตี 4 แล้วรึนี่  ตายห่าแล้ววันนี้เวรกูต้องตามหลวงพ่อออกบิณฑบาตนี่หว่า  ผมรีบลุกในทันทีรีบเตรียมเครื่องอัฐบริขารในการออกบิณฑบาตของหลวงพ่อ...หึหึหึ...นึกในใจพร้อมสัพเตรียมออกรบ  เอ๊ย! ออกบิณฑบาตได้แล้ว  ซักพักก็ได้ยินเสียงหลวงพ่อเรียก
                “ ไอ้หนึ่งเอ๊ย  เสร็จรึยังวะเร็วๆหน่อยจะไปแล้ว”  เสียงหลวงพ่อเรียก
                “  เสร็จแล้วครับหลวงพ่อพร้อมแล้วครับ”  ผมตอบหลวงพ่อ
จัดเตรียมวัสดุ อุปกรณ์พร้อมออกปฏิบัติหน้าที่  ประกอบด้วย  บาตร  ถังเหลือง 4 ถัง  ย่าม  1  ใบ  ได้เวลาแล้วเวลาประมาณตี 5 พระและลูกศิษย์ก็ออกบิณฑบาตพร้อมกัน  พระเดินนำลูกศิษย์เดินตาม  เดินสัญจรออกจากวัดไปตามเส้นทางของการบิณฑบาตเพื่อโปรดญาติโยมทั้งหลาย  หน้าที่ของลูกศิษย์ก็คือรวบรวมข้าวของที่โยมใส่บาตรมาใส่ถัง  ใส่ย่าม  สัญจรตามเส้นทางไปเรื่อย...ถังก็หนัก  ย่ามก็เต็มแล้ว  คิดในใจผมแบกของพวกนี้ตามหลวงพ่อมาได้ยังไงหนักก็หนักเดินก็ไกล  และแล้วหลวงพ่อก็หยุดเดินพร้อมทั้งเรียกรถตุ๊กๆเข้ามาจอด  ผมนึกในใจหลวงพ่อท่านคงสงสารเรากระมังที่ต้องแบกของหนักเดินตามท่าน
                “ ไอ้หนึ่งเอ๊ย  เองเอาของพวกนี้ไปเก็บที่วัดก่อนนะทั้งหมดนี่แหล่ะ  เอาย่ามมาให้หลวงพ่อก็พอ  หลวงพ่อจะเดินกลับวัดเอง ”  หลวงพ่อบอก
                “ อ้าว!..หลวงพ่อไม่กลับพร้อมกันรึครับ ”  ผมถาม
“ เองไปก่อนเถอะเอาของไปเก็บซะหลวงพ่อจะบิณฑบาตต่ออีกหน่อยแล้วหลวงพ่อจะกลับวัดเอง ” หลวงพ่อออกคำสั่ง
                “ ครับหลวงพ่อ ” ผมรับคำสั่ง
แล้วผมกับพี่คนขับรถตุ๊กๆ  ก็ช่วยกันลำเลียงข้าวของขึ้นรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกลับวัดไผ่ตันในทันที  ระหว่างทางกลับวัดพี่คนขับก็พยายามชวนผมพูดคุยมาตลอดทางแล้วก็พูดว่า
                “ น้องๆ...หลวงพ่อรูปนี้ท่านดูน่าศรัทธามากเลยนะ  ท่านมีของดีหรือของขลังบ้างรึเปล่าน้องชาย  ถ้ามีพี่ขอบ้างได้ไหมพี่จะเอาไว้บูชานะน้อง”  ผมได้ยินก็รู้สึกรำคาญนิดๆเลยตอบไปว่า
                “ มีครับพี่  เดี๋ยวถึงวัดแล้วผมจะเอาให้  หลวงพ่อท่านฝากไว้ให้พี่แล้วครับ”
พอถึงวัดไผ่ตันแล้วผมกับพี่คนขับก็ช่วยกันเก็บของให้เข้าที่เข้าทางก็เป็นอันเรียบร้อย  แล้วพี่คนขับก็ทวงถามของขลังทันที
                “ น้อง...ไหนล่ะของขลังที่หลวงพ่อท่านฝากไว้ให้พี่หน่ะรีบเอามาเร็วๆ  พี่ต้องรีบไปขับรถรับผู้โดยสารต่อ”
ผมจึงยื่นเงินที่หลวงพ่อท่านฝากไว้เพื่อจ่ายเป็นค่าโดยสารให้พี่คนขับรถจำนวน 50 บาทแล้วผมจึงบอกว่า
                “ นี่ไงครับพี่...ของขลังที่หลวงพ่อท่านฝากไว้ให้พี่หน่ะ  แล้วท่านยังบอกอีกว่าให้ขยันๆนะของสิ่งนี้ที่อาตมามอบให้เป็นของมีค่าใช้เลี้ยงดูครอบครัวของโยมได้นะ”   พูดแล้วผมก็ยื่นเงิน 50 บาทให้พี่คนขับรถตุ๊กๆไปพี่เขาก็รับเอาไว้ด้วยความดีใจพร้อมยกมือขึ้นไหว้กล่าวคำว่าสาธุแล้วก็จากไป  ผมคิดในใจ  เฮ้อ!..คนสมัยนี้หวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพึ่งตัวเองแล้วหรือนี่  
                 แล้วผมก็เรียกเพื่อนๆเด็กวัดมาช่วยกันนำเข้าของที่หลวงพ่อท่านได้รับบิณฑบาตจากญาติโยมเก็บเข้ากุฏิแล้วช่วยกันจัดสำรับภัตตาหารสำหรับถวายแก่หลวงพ่อเพื่อฉันท์เช้า  หลังจากหลวงพ่อท่านเดินกลับมาถึงวัดแล้ว  ท่านก็เตรียมตัวเพื่อฉันท์เช้า  หลังจากหลวงพ่อท่านฉันท์เช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วลูกศิษย์ก็ช่วยกันทำความสะอาดภาชนะต่างๆที่หลวงพ่อท่านฉันท์เสร็จแล้ว  จากนั้นก็เป็นตาของลูกศิษย์ที่ต้องฉันท์  เอ๊ย!..กินอาหารเช้ากันบ้าง  หลังจากนั้นก็แยกย้ายไปทำธุระของใครของมัน  สำหรับผมวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก  มีความตื่นเต้นมากในฐานะนักศึกษาใหม่ของโรงเรียนสัตวแพทย์    จึงรีบทำภารกิจส่วนตัว  เสร็จแล้วก็แต่งเครื่องแบบชุดนักศึกษา  ประกอบด้วย  เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีขาว  เนกไทสีน้ำเงิน  กางเกงขายาวสีกากี  และร้องเท้าหนังสีดำสนิท  ยิ้มเอ้ย!..โคตรเท่ห์ฉิบฉาย  พร้อมไปเรียนแล้ว...หึๆๆๆ  แต่มีรุ่นพี่บางคนแนะนำให้ว่าถ้าอยู่นอกโรงเรียนห้ามถอดเนกไทเป็นอันขาดเพราะถ้าถอดเนกไทออก  เครื่องแบบนักศึกษาจะเหมือนพวกช่างกลเทวดาซึ่งพวกมันสร้างศัตรูไว้มากมายเราอาจโดนเข้าใจผิดว่าเป็นพวกมันและอาจโดนทำร้ายได้  ผมจำขึ้นใจแล้วผมจะถอดเนกไทออกทำไมเพราะเกิดมาผมไม่เคยใส่มาก่อพอได้ใส่ผมภูมิใจจะตาย  
                 เวลา 07.00 น. โดยประมาณ  ผมเดินออกมายืนรอรถเมล์ที่ป้ายรอรับผู้โดยสารที่หน้าวัดไผ่ตันเพื่อรอขึ้นรถเมล์สาย 34 ซึ่งจะผ่านหน้าสถานศึกษาของผมพอดี  แล้วผมก็ได้ขึ้นรถเมล์สาย 34 ตามความตั้งใจโดยจ่ายค่าโดยสารเป็นเงิน 2.50 บาท  จนมาถึงปากทางเข้าโรงเรียนโดยที่จะต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 100 เมตร  จนในที่สุดผมก็มายืนอยู่ตรงหน้าสถาบันการศึกษาที่มีนามว่า  โรงเรียนสัตวแพทย์กรมปศุสัตว์  แล้ว...ฮ้าๆๆๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่