อยากทราบว่าต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างคะ?
จขกท.จบป.ตรีบริหารธุรกิจที่รามคำแหงมาค่ะ GPAน้อยมากกก เรียกว่าเอาแค่พอเรียนจบดีกว่า(ไม่ถึง2.5) และตอนนี้ก็ว่างงานเพราะเคว้งคว้างมากเลย
ขออนุญาตเกริ่นนิดนึงนะคะ
--สาเหตุที่ต้องมาเรียนบริหารรามตอนนั้น เพราะครอบครัวและผู้ใหญ่ท่านอื่นๆไม่สนับสนุนให้เรียนในสิ่งที่ชอบ เราชอบการเขียน อยากฝึกฝนการสื่อสารหรือการพูด จึงอยากเรียนวารสารมากๆ
หัวเราไม่ไปทางวิทย์เลย และตอนม.ปลายก็ต้องฝืนเรียน เลยได้เกรดมาน้อยนิด ม.ปลายว่าฝืนแล้ว ยิ่งพอเข้ามหาลัยเรียนบริหาร ก็ยิ่งฝืนเข้าไปใหญ่ แต่ก็อดทนเรีบนจนจบเพราะไหน ๆ ก็เสียเวลาไปแล้ว
ตอนปี57 เราตั้งเป้าหมายเดียวมาตลอดตั้งแต่ที่ขึ้นม.ปลาย ว่าเอาล่ะฉันจะอ่านหนังสือสอบตรงคณะวารสารที่ธรรมศาสตร์ต่อให้เกรดน้อยก็เถอะ แต่พอสุดท้ายแล้วมีแต่เสียงคัดค้านจากผู้ใหญ่ นี่เรียกว่าเสียศูนย์ไปเลย เลยต้องลงเรียนรามคำแหงแทน
เรียนที่รามคำแหงก็คือดีมากค่ะ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและอะไรหลายๆอย่าง แต่ที่ผิดไปหนึ่งอย่าง คือเราไม่ได้เลือกเรียนสิ่งที่ชอบเท่านั้นเอง
สมัยนั้นเขาฮิตเรียนตามพ่อแม่สั่งกันอ่าเนาะ อาจจะไม่เป็นแบบนี้กันทุกครอบครัวหรอก แต่ครอบครัวเราอยากให้เรียนทางด้านสายวิทย์ และเลือกคณะที่จบมาแล้วได้งานชัวร์ เพราะแบบนั้นคณะวารสารจึงไม่ใช่เป้าหมายของผู้ใหญ่ในตอนนั้น
นั่นแหละค่ะ เรื่องมันเกิดตอนปี57 จขกท.อยู่ม.6และกำลังมองหาคณะที่ใช่และมหาลัยที่ชอบ แต่พอสุดท้ายไม่เป็นดั่งหวังก็ต้องลงเรียนราม ส่วนที่ว่าทำไมถึงเป็นคณะบริหารธุรกิจ ก็อย่างที่ว่าเลยค่ะ เอาตามผู้ใหญ่บอก เรียนอะไรก็ได้ที่มันกว้างขวางพอ มีงานรองรับเยอะ ๆ ไม่ตกงาน
แล้วกว่าจะจบ ปาไปเกือบ6ปีT^T
สุดท้ายตอนนี้เป็นไง? เคว้งคว้างหนักกว่าเก่า โทษใครไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเองที่ยังพยายามไม่พอ
เพื่อนหลายคนถาม ทำไมไม่หางาน ทำไมไม่ลองฝากเรซูเม่ดูล่ะ คือเอาจริง ๆ นะคิดเยอะตลอด
--ถ้าเขารับขึ้นมาแล้วเราจะทำได้ไหม
--งานยากหรือเปล่า
--เพื่อนร่วมงานเป็นยังไง
--หัวหน้าโอเคหรือเปล่า
ข้ออ้างมีในใจสารพัดอย่าง จะเรียกว่าไม่มีแพสชั่นได้ไหม? คิดอะไรไม่ออกเลยต้องรอสอบราชการเพราะคิดว่านั่นคือทางเลือกเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในติฃอนนี้
ตอนนี้หันมาเขียนนิยายฟรีแลนซ์ มันยิ่งตอกย้ำความโง่เง่าของเรา ที่คิดว่าหากตอนนั้นหัวแข็งสักหน่อยเพื่อให้ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ...เราอาจจะทำทุกอย่างได้ดีกว่านี้ก็ได้ อาจจะหางานได้ทันทีที่เรียนจบ อาจจะต่อยอดความฝันไปได้ไกลกว่านี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย...
ตอนนั้นบอกตามตรงว่าเด็กมาก พูดไม่ออกเถียงผู้ใหญ่ไม่ถูก ว่าหากเรียนวารสารจบมาแล้วจะทำงานอะไร ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราชอบเขียน ชอบเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ชอบหาข้อมูลแล้วมาเขียนต่อยอด มีจินตนาการสูง ...รู้แค่นั้น...แต่ผู้ใหญ่กลับมองว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ!!!
ตอนนี้เราคิดว่าเราโตพอแล้วที่จะกลับไปเรียนในสิ่งที่ชอบ...หวังว่าคงยังไม่สายเกิน ไม่มีใครคอยขัดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือเก็บเงินค่าเทอมเท่านั้น
มีอีกอย่างที่อยากรู้ค่ะ เกรดเฉลี่ยแค่นั้นจะสมัครเรียนได้ไหม ไม่มีประสบการณ์การทำงานด้วยค่ะ แล้วต้องใช้ผลทดสอบภาษาอังกฤษหรือเปล่า
รบกวนผู้รู้แนะนำหน่อยนะคะ
อยากเรียนป.โทวารสารมธ.+ระบายนิดหน่อย
จขกท.จบป.ตรีบริหารธุรกิจที่รามคำแหงมาค่ะ GPAน้อยมากกก เรียกว่าเอาแค่พอเรียนจบดีกว่า(ไม่ถึง2.5) และตอนนี้ก็ว่างงานเพราะเคว้งคว้างมากเลย
ขออนุญาตเกริ่นนิดนึงนะคะ
--สาเหตุที่ต้องมาเรียนบริหารรามตอนนั้น เพราะครอบครัวและผู้ใหญ่ท่านอื่นๆไม่สนับสนุนให้เรียนในสิ่งที่ชอบ เราชอบการเขียน อยากฝึกฝนการสื่อสารหรือการพูด จึงอยากเรียนวารสารมากๆ
หัวเราไม่ไปทางวิทย์เลย และตอนม.ปลายก็ต้องฝืนเรียน เลยได้เกรดมาน้อยนิด ม.ปลายว่าฝืนแล้ว ยิ่งพอเข้ามหาลัยเรียนบริหาร ก็ยิ่งฝืนเข้าไปใหญ่ แต่ก็อดทนเรีบนจนจบเพราะไหน ๆ ก็เสียเวลาไปแล้ว
ตอนปี57 เราตั้งเป้าหมายเดียวมาตลอดตั้งแต่ที่ขึ้นม.ปลาย ว่าเอาล่ะฉันจะอ่านหนังสือสอบตรงคณะวารสารที่ธรรมศาสตร์ต่อให้เกรดน้อยก็เถอะ แต่พอสุดท้ายแล้วมีแต่เสียงคัดค้านจากผู้ใหญ่ นี่เรียกว่าเสียศูนย์ไปเลย เลยต้องลงเรียนรามคำแหงแทน
เรียนที่รามคำแหงก็คือดีมากค่ะ ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตและอะไรหลายๆอย่าง แต่ที่ผิดไปหนึ่งอย่าง คือเราไม่ได้เลือกเรียนสิ่งที่ชอบเท่านั้นเอง
สมัยนั้นเขาฮิตเรียนตามพ่อแม่สั่งกันอ่าเนาะ อาจจะไม่เป็นแบบนี้กันทุกครอบครัวหรอก แต่ครอบครัวเราอยากให้เรียนทางด้านสายวิทย์ และเลือกคณะที่จบมาแล้วได้งานชัวร์ เพราะแบบนั้นคณะวารสารจึงไม่ใช่เป้าหมายของผู้ใหญ่ในตอนนั้น
นั่นแหละค่ะ เรื่องมันเกิดตอนปี57 จขกท.อยู่ม.6และกำลังมองหาคณะที่ใช่และมหาลัยที่ชอบ แต่พอสุดท้ายไม่เป็นดั่งหวังก็ต้องลงเรียนราม ส่วนที่ว่าทำไมถึงเป็นคณะบริหารธุรกิจ ก็อย่างที่ว่าเลยค่ะ เอาตามผู้ใหญ่บอก เรียนอะไรก็ได้ที่มันกว้างขวางพอ มีงานรองรับเยอะ ๆ ไม่ตกงาน
แล้วกว่าจะจบ ปาไปเกือบ6ปีT^T
สุดท้ายตอนนี้เป็นไง? เคว้งคว้างหนักกว่าเก่า โทษใครไม่ได้ก็ต้องโทษตัวเองที่ยังพยายามไม่พอ
เพื่อนหลายคนถาม ทำไมไม่หางาน ทำไมไม่ลองฝากเรซูเม่ดูล่ะ คือเอาจริง ๆ นะคิดเยอะตลอด
--ถ้าเขารับขึ้นมาแล้วเราจะทำได้ไหม
--งานยากหรือเปล่า
--เพื่อนร่วมงานเป็นยังไง
--หัวหน้าโอเคหรือเปล่า
ข้ออ้างมีในใจสารพัดอย่าง จะเรียกว่าไม่มีแพสชั่นได้ไหม? คิดอะไรไม่ออกเลยต้องรอสอบราชการเพราะคิดว่านั่นคือทางเลือกเดียวที่จะเอาตัวรอดได้ในติฃอนนี้
ตอนนี้หันมาเขียนนิยายฟรีแลนซ์ มันยิ่งตอกย้ำความโง่เง่าของเรา ที่คิดว่าหากตอนนั้นหัวแข็งสักหน่อยเพื่อให้ได้เรียนในสิ่งที่ชอบ ...เราอาจจะทำทุกอย่างได้ดีกว่านี้ก็ได้ อาจจะหางานได้ทันทีที่เรียนจบ อาจจะต่อยอดความฝันไปได้ไกลกว่านี้
ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดาย...
ตอนนั้นบอกตามตรงว่าเด็กมาก พูดไม่ออกเถียงผู้ใหญ่ไม่ถูก ว่าหากเรียนวารสารจบมาแล้วจะทำงานอะไร ตอนนั้นรู้แค่ว่าเราชอบเขียน ชอบเล่าเรื่องผ่านตัวอักษร ชอบหาข้อมูลแล้วมาเขียนต่อยอด มีจินตนาการสูง ...รู้แค่นั้น...แต่ผู้ใหญ่กลับมองว่ามันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ!!!
ตอนนี้เราคิดว่าเราโตพอแล้วที่จะกลับไปเรียนในสิ่งที่ชอบ...หวังว่าคงยังไม่สายเกิน ไม่มีใครคอยขัดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือเก็บเงินค่าเทอมเท่านั้น
มีอีกอย่างที่อยากรู้ค่ะ เกรดเฉลี่ยแค่นั้นจะสมัครเรียนได้ไหม ไม่มีประสบการณ์การทำงานด้วยค่ะ แล้วต้องใช้ผลทดสอบภาษาอังกฤษหรือเปล่า
รบกวนผู้รู้แนะนำหน่อยนะคะ