กสทช.ก็กำลังเตรียมแผนการประมูลคลื่นที่จะหมดในปี 68 นี้ไว้ล่วงหน้า ก็ดูแล้ว การประมูลก็คงมีแนวทางแบบเดิมๆ หาตังค์เข้ารัฐให้ได้มากๆไว้ก่อน เพราะมองว่า การที่รัฐได้เงินเยอะเป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นผลที่สร้างเครดิตแก่กสทช.ได้ดี
แต่ความเป็นจริงในวันนี้ การได้เงินจากประมูลคลื่นความถี่มากๆยังเป็นผลงานอันเป็นที่รักที่ชอบใจของประชาชนเหมือนสมัยการประมูลคลื่น 900/1800 เมื่อ 7-8 ปีก่อนหรือเปล่า
การประมูลระบบเดิมที่ทำให้ได้เงินเข้ารัฐมากๆ แต่สุดท้ายต้องแลกกับการที่มีเจ้าหนึ่งไปไม่รอด ต้องรวมกิจการกับอีกเจ้าหนึ่ง ทำให้คู่แข่งลดลง ผลกระทบมาตกอยู่กับประชาชน
ถ้าการประมูลคลื่นแต่ละครั้งที่ได้เงินมากๆ รัฐเอาเงินมาแจกให้ประชาชนด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เงินที่ได้ก็ไปทางไหนบ้าง ประชาชนก็ไม่ทราบได้ ประชาชนได้ผลประโยชน์จากการประมูลคลื่นความถี่ที่ราคาแพงๆอย่างไร ก็ไม่ยังไม่รู้
ตอนที่ประมูลคลื่น 2100 มี 3 ค่ายแบ่งกันไป ประชาชนก็ต่อว่าภาครัฐ หาว่าจัดประมูลแบบฮั้วกัน จนต่อมาก็เกิดการประมูลที่ทำให้ต้องแย่งชิงคลื่นกัน และการแย่งชิงคลื่นมากๆจนทำให้ได้คลื่นราคาสูงก็เป็นเหตุให้ต้องยุบรวมกิจการ อันนี้เป็นความผิดพลาดของประชาชนที่ต่อว่าภาครัฐเรื่องการฮั้วกันในคลื่น 2100 จนเป็นเหตุให้ค่ายต่างๆประมูลคลื่นในราคาที่แพงมาก ค่ายที่มีฐานะการเงินไม่หนามากก็ไปไม่รอด
มาวันนี้ กสทช.ก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้วว่า การประมูลคลื่นแบบ 900/1800 จนมาถึงคลื่น 5G เมื่อปี 63 ไม่ได้ยั่งยืนจริง ไม่ได้สร้างผลประโยชน์ต่อประเทศชาติจริง
ถ้า กสทช.ยังจะคิดทำประมูลคลื่นอย่างที่ผ่านในรอบ 7-8 ปี ทั้งๆที่มีบทเรียนแล้ว ประชาชนก็คงจะต่อว่ากสทช.เหมือนสมัยประมูลคลื่น 2100 มั้ย ตอนนั้นหาว่า ฮั้วกัน ไม่สร้างประโยชน์ให้ชาติ
ต่อไปปี 68-69 ถ้าประมูลแบบที่ผ่านมาตั้งแต่ 900/1800 จนถึงคลื่น 5G ประชาชนก็อาจต่อว่ากสทช.ว่า เห็นแก่เงิน ไม่เห็นใจประชาชนที่ต้องใช้ค่าบริการมือถือแพงๆ น่าจะโดนต่อว่าแบบตอนประมูล 2100 แต่โดนต่อว่าคนละรูปแบบ คนละประโยคกัน
ถ้าจะทำการประมูลคลื่นตอนหมดสัมปทานปี 68 ก็น่าจะทำประชาพิจารณ์ให้มากๆ ฟังเสียงประชาชนให้มากๆ แล้วนำความเห็นของประชาชนมาค่อยๆพิจารณาว่า จะทำอะไรอย่างไร จะเป็นทางออกที่ดีกว่าแน่นอน
วันนี้ มีผู้ให้บริการหลักเพียง 2 เจ้าไปก่อนน่ะดีแล้ว เป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติที่ควรจะเกิดจะเป็น เมื่อธุรกิจไปไม่รอด เจ้าของกิจการก็ต้องหาทางออกที่ดี ผู้เรียกร้องไม่ให้ควบรวม ก็ไม่เห็นจะมาช่วยอะไรเจ้าของกิจการ ได้แค่เรียกร้องไม่ให้ควบรวมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตน สมควรแล้วที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เพราะเจ้าของกิจการก็เป็นประชาชนเป็นมนุษย์ที่ต้องการผลประโยชน์ต้องการความอยู่รอดในกิจการของตนเช่นผู้ใช้บริการนั่นแหละ ต้องให้ผลประโยชน์เกิดแก่ทุกฝ่าย ภาครัฐ ผู้ประกอบการ ประชาชน ถึงจะดีแก่ทุกฝ่ายจริงๆ
จริงๆมันก็เป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่ว่าให้ผู้ประกอบการแบกรับความเสี่ยงของกิจการไว้เอง ควรจะเปลี่ยนกฎหมายว่า ถ้าหากผู้ประกอบการเห็นว่าธุรกิจไปไม่รอด ก็สามารถหาวิธีการที่ดีที่เหมาะสมในการทำให้กิจการไปรอดหรือสามารถออกจากกิจการได้ เหมือนกับธุรกิจรายย่อยๆเล็กๆสามารถขายกิจการ เอาตัวรอดด้วยวิธีการต่างๆ ไม่มีใครมาใส่ใจอะไร แต่พอเป็นธุรกิจรายใหญ่ๆ เวลาหาทางเอาตัวรอด กลับกลายเป็นที่จับตาของประชาชนมากเป็นพิเศษ ทำโน่นทำนี่ก็ถูกประชาชนคัดค้านได้ง่าย ทั้งที่ธุรกิจใหญ่ก็เป็นมนุษย์ดูแล ไม่ใช่หุ่นยนต์ดูแล ทั้งที่ธุรกิจรายใหญ่ก็สามารถเจ๊งไปไม่รอด ไม่แตกต่างจากธุรกิจรายย่อย
เพราะฉะนั้น น่าจะเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างซึ่งเอื้อต่อการเอาตัวรอดของธุรกิจรายใหญ่ในประเทศไทยด้วย
ใครที่จะมาประมูลคลื่นเพื่อเป็นเจ้าที่ 3 ในประเทศไทยตอนนี้ ก็คงจะสามารถเติบโตได้ดีล่ะ เพราะประชาชนผู้ใช้บริการต้องการให้เกิดเจ้าที่ 3 มากๆ ใครมาเป็นรายใหม่ก็มีโอกาสเติบโตในธุรกิจสื่อสารได้มาก ถึงแม้ต้องแย่งชิงลูกค้ากับรายเดิมในตลาด
ประมูลคลื่นหาเงินเข้ารัฐได้เยอะ กับพยายามให้เกิดรายใหม่ได้ง่ายๆ อย่างไหนที่กสทช.จะทำให้ประชาชนพอใจได้มากกว่า
แต่ความเป็นจริงในวันนี้ การได้เงินจากประมูลคลื่นความถี่มากๆยังเป็นผลงานอันเป็นที่รักที่ชอบใจของประชาชนเหมือนสมัยการประมูลคลื่น 900/1800 เมื่อ 7-8 ปีก่อนหรือเปล่า
การประมูลระบบเดิมที่ทำให้ได้เงินเข้ารัฐมากๆ แต่สุดท้ายต้องแลกกับการที่มีเจ้าหนึ่งไปไม่รอด ต้องรวมกิจการกับอีกเจ้าหนึ่ง ทำให้คู่แข่งลดลง ผลกระทบมาตกอยู่กับประชาชน
ถ้าการประมูลคลื่นแต่ละครั้งที่ได้เงินมากๆ รัฐเอาเงินมาแจกให้ประชาชนด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เงินที่ได้ก็ไปทางไหนบ้าง ประชาชนก็ไม่ทราบได้ ประชาชนได้ผลประโยชน์จากการประมูลคลื่นความถี่ที่ราคาแพงๆอย่างไร ก็ไม่ยังไม่รู้
ตอนที่ประมูลคลื่น 2100 มี 3 ค่ายแบ่งกันไป ประชาชนก็ต่อว่าภาครัฐ หาว่าจัดประมูลแบบฮั้วกัน จนต่อมาก็เกิดการประมูลที่ทำให้ต้องแย่งชิงคลื่นกัน และการแย่งชิงคลื่นมากๆจนทำให้ได้คลื่นราคาสูงก็เป็นเหตุให้ต้องยุบรวมกิจการ อันนี้เป็นความผิดพลาดของประชาชนที่ต่อว่าภาครัฐเรื่องการฮั้วกันในคลื่น 2100 จนเป็นเหตุให้ค่ายต่างๆประมูลคลื่นในราคาที่แพงมาก ค่ายที่มีฐานะการเงินไม่หนามากก็ไปไม่รอด
มาวันนี้ กสทช.ก็น่าจะได้รับบทเรียนแล้วว่า การประมูลคลื่นแบบ 900/1800 จนมาถึงคลื่น 5G เมื่อปี 63 ไม่ได้ยั่งยืนจริง ไม่ได้สร้างผลประโยชน์ต่อประเทศชาติจริง
ถ้า กสทช.ยังจะคิดทำประมูลคลื่นอย่างที่ผ่านในรอบ 7-8 ปี ทั้งๆที่มีบทเรียนแล้ว ประชาชนก็คงจะต่อว่ากสทช.เหมือนสมัยประมูลคลื่น 2100 มั้ย ตอนนั้นหาว่า ฮั้วกัน ไม่สร้างประโยชน์ให้ชาติ
ต่อไปปี 68-69 ถ้าประมูลแบบที่ผ่านมาตั้งแต่ 900/1800 จนถึงคลื่น 5G ประชาชนก็อาจต่อว่ากสทช.ว่า เห็นแก่เงิน ไม่เห็นใจประชาชนที่ต้องใช้ค่าบริการมือถือแพงๆ น่าจะโดนต่อว่าแบบตอนประมูล 2100 แต่โดนต่อว่าคนละรูปแบบ คนละประโยคกัน
ถ้าจะทำการประมูลคลื่นตอนหมดสัมปทานปี 68 ก็น่าจะทำประชาพิจารณ์ให้มากๆ ฟังเสียงประชาชนให้มากๆ แล้วนำความเห็นของประชาชนมาค่อยๆพิจารณาว่า จะทำอะไรอย่างไร จะเป็นทางออกที่ดีกว่าแน่นอน
วันนี้ มีผู้ให้บริการหลักเพียง 2 เจ้าไปก่อนน่ะดีแล้ว เป็นไปตามกลไกทางธรรมชาติที่ควรจะเกิดจะเป็น เมื่อธุรกิจไปไม่รอด เจ้าของกิจการก็ต้องหาทางออกที่ดี ผู้เรียกร้องไม่ให้ควบรวม ก็ไม่เห็นจะมาช่วยอะไรเจ้าของกิจการ ได้แค่เรียกร้องไม่ให้ควบรวมเพื่อปกป้องผลประโยชน์ตน สมควรแล้วที่เหตุการณ์เป็นแบบนี้ เพราะเจ้าของกิจการก็เป็นประชาชนเป็นมนุษย์ที่ต้องการผลประโยชน์ต้องการความอยู่รอดในกิจการของตนเช่นผู้ใช้บริการนั่นแหละ ต้องให้ผลประโยชน์เกิดแก่ทุกฝ่าย ภาครัฐ ผู้ประกอบการ ประชาชน ถึงจะดีแก่ทุกฝ่ายจริงๆ
จริงๆมันก็เป็นช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่ว่าให้ผู้ประกอบการแบกรับความเสี่ยงของกิจการไว้เอง ควรจะเปลี่ยนกฎหมายว่า ถ้าหากผู้ประกอบการเห็นว่าธุรกิจไปไม่รอด ก็สามารถหาวิธีการที่ดีที่เหมาะสมในการทำให้กิจการไปรอดหรือสามารถออกจากกิจการได้ เหมือนกับธุรกิจรายย่อยๆเล็กๆสามารถขายกิจการ เอาตัวรอดด้วยวิธีการต่างๆ ไม่มีใครมาใส่ใจอะไร แต่พอเป็นธุรกิจรายใหญ่ๆ เวลาหาทางเอาตัวรอด กลับกลายเป็นที่จับตาของประชาชนมากเป็นพิเศษ ทำโน่นทำนี่ก็ถูกประชาชนคัดค้านได้ง่าย ทั้งที่ธุรกิจใหญ่ก็เป็นมนุษย์ดูแล ไม่ใช่หุ่นยนต์ดูแล ทั้งที่ธุรกิจรายใหญ่ก็สามารถเจ๊งไปไม่รอด ไม่แตกต่างจากธุรกิจรายย่อย
เพราะฉะนั้น น่าจะเปลี่ยนกฎหมายบางอย่างซึ่งเอื้อต่อการเอาตัวรอดของธุรกิจรายใหญ่ในประเทศไทยด้วย
ใครที่จะมาประมูลคลื่นเพื่อเป็นเจ้าที่ 3 ในประเทศไทยตอนนี้ ก็คงจะสามารถเติบโตได้ดีล่ะ เพราะประชาชนผู้ใช้บริการต้องการให้เกิดเจ้าที่ 3 มากๆ ใครมาเป็นรายใหม่ก็มีโอกาสเติบโตในธุรกิจสื่อสารได้มาก ถึงแม้ต้องแย่งชิงลูกค้ากับรายเดิมในตลาด