

1. อิชิอิ คงไม่กล้าพูดถึงสโมสรอื่น แน่นอนเขากําลังพูดถึงแค่นักเตะจาก สมุทรปราการ และ บุรีรัมย์
2. ฟีฟ่าเดย์ หรือ ฮอลลิเดย์ + ฟีฟ่าเดย์ที่มันเยอะไปใน 1 ปี
มองมุมกลับถ้าคุณเป็นนักเตะได้เงินเดือนหลายแสนหรือบางคนหลักล้าน นักเตะทุกคนมีแฟนหรือภรรยา มีครอบครัว ถ้าเป็นคุณ คุณจะไม่อยากใช้เวลาช่วงฟีฟ่าเดย์นี้อยู่กับลูกเมีย พาแฟนไปดูหนังฟังเพลง ขับรถสปอร์ตสวยๆเหรอ??
บางคนอาจจะใช้ช่วงนี้พักฟื้นร่างกาย เข้ายิมโพสใน IG หรือฝึกซ้อมเพิ่มในสโมสร ไม่ใช่ทุกคนจะอยากเหนื่อยทุกครั้ง
3. ขึ้นอยู่กับความสําคัญของทีมชาติและเกมส์
แน่นอนนักเตะไทยอยากติดทีมชาติในคัดบอลโลก, เอเชียนคัพ หรือ ฟีฟ่าเดย์ที่น่าสนใจ เช่น China Cup/ เจอสโลวาเกีย/ เจอแคเมอรูน ส่วนจอร์เจียมันเดินทางไกลไป
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเป็นนักเตะเกรด A ในไทย คุณจะอยากเล่นกับ ไทเป หรือ ซูรินาม หรือป่าว?
หลายต่อหลายเกมส์ในฟีฟ่าเดย์ ไม่มีแรงกระตุ้นหรือความตื่นเต้นสําหรับนักเตะที่จะอยากเล่น
4. ฟีฟ่าเดย์ไม่ได้อัดฉีดทุกเกมส์
นัดเจอฮ่องกง มาดามประกาศอัดฉีดเพราะเพิ่งเสมอไทเปมา เพื่อเรียกศรัทธา ข้อดีของการอัดฉีดคือจะเห็นนักเตะไทยวิ่งเป็นม้า
แต่เขาไม่สามารถจะอัดฉีดได้ทุกครั้ง ทุกเกมส์ เพราะงั้นพอไม่มี คุณจะใส่เต็ม 100 ทําไม เหมือนทํางาน OT ไม่ได้เงินเพิ่ม ได้แค่คําชม
5. ปัจจุบันทีมใหญ่ที่ให้ความร่วมมือตอนนี้อยู่ครึ่งล่างของตาราง ทีมใหญ่ที่ไม่ปล่อยตัวผู้เล่นอยู่ท็อปๆของตารางไทยลีก
6. ความมีอํานาจของสโมสรใหญ่ ถ้านักเตะไม่อยากเล่นฟีฟ่าเดย์ สโมสรนั้นก็สามารถใช้อํานาจนี้บังคับไม่ให้เรียกได้ โดยเฉพาะในยุคที่สมาคมหมดอํานาจ
7. โค้ชทีมชาติปัจจุบันอย่างมาโน่ ได้การสนับสนุนจากนักเตะทีมชาติอย่างมาก ถ้านักเตะไม่อยากมา คุณจะกล้าเรียกเหรอ ในสังคมไทย สร้างความสัมพันธ์ดีกว่ามองหน้ากันไม่ติด
8. ที่มาของการอยากมี ทีม A กับ ทีม B ในที่ประชุมวันนั้น อาจเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้นักเตะ super stars ต้องลงมาเล่นทุกเบรคทีมชาติ
9. การแข่งขันของผู้เล่นทีมชาติ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นตัวหลักจากสโมสรใหญ่อย่างบุรีรัมย์ ยังไงก็ติดทีมชาติ 100% ไม่ต้องกลัวจะหลุด
10. เล่นเหนื่อยยังไงแต่ผลการแข่งขันก็ไม่ดี (ทรงดีแต่ยิงไม่ได้) เล่นกับใครนอกอาเซียนหืดจับทุกครั้ึง อันดับฟีฟ่าไม่เคยเข้าไกล้ Top 100 มา 20 ปี ญี่ปุ่นเห็นการพัฒนาชัดเจนส่วนไทยยํ่าอยู่กับที่ เมื่อไม่ได้ผลการแข่งขัน แรงกระตุ้นมันไม่มีเหมือนญี่ปุ่น เหมือนขับรถรอบเมือง มีจุดหมาย แต่ไม่มีแผนที่ ส่วนไกด์บอกทาง (โค้ช) ก็ดันพาหลง
มองมุมนักเตะอีกมุม หลังอิชิอิ เปิดประเด็น นักเตะไทยอยากพักผ่อนในช่วงเบรค ฟีฟ่าเดย์
1. อิชิอิ คงไม่กล้าพูดถึงสโมสรอื่น แน่นอนเขากําลังพูดถึงแค่นักเตะจาก สมุทรปราการ และ บุรีรัมย์
2. ฟีฟ่าเดย์ หรือ ฮอลลิเดย์ + ฟีฟ่าเดย์ที่มันเยอะไปใน 1 ปี
มองมุมกลับถ้าคุณเป็นนักเตะได้เงินเดือนหลายแสนหรือบางคนหลักล้าน นักเตะทุกคนมีแฟนหรือภรรยา มีครอบครัว ถ้าเป็นคุณ คุณจะไม่อยากใช้เวลาช่วงฟีฟ่าเดย์นี้อยู่กับลูกเมีย พาแฟนไปดูหนังฟังเพลง ขับรถสปอร์ตสวยๆเหรอ??
บางคนอาจจะใช้ช่วงนี้พักฟื้นร่างกาย เข้ายิมโพสใน IG หรือฝึกซ้อมเพิ่มในสโมสร ไม่ใช่ทุกคนจะอยากเหนื่อยทุกครั้ง
3. ขึ้นอยู่กับความสําคัญของทีมชาติและเกมส์
แน่นอนนักเตะไทยอยากติดทีมชาติในคัดบอลโลก, เอเชียนคัพ หรือ ฟีฟ่าเดย์ที่น่าสนใจ เช่น China Cup/ เจอสโลวาเกีย/ เจอแคเมอรูน ส่วนจอร์เจียมันเดินทางไกลไป
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเป็นนักเตะเกรด A ในไทย คุณจะอยากเล่นกับ ไทเป หรือ ซูรินาม หรือป่าว?
หลายต่อหลายเกมส์ในฟีฟ่าเดย์ ไม่มีแรงกระตุ้นหรือความตื่นเต้นสําหรับนักเตะที่จะอยากเล่น
4. ฟีฟ่าเดย์ไม่ได้อัดฉีดทุกเกมส์
นัดเจอฮ่องกง มาดามประกาศอัดฉีดเพราะเพิ่งเสมอไทเปมา เพื่อเรียกศรัทธา ข้อดีของการอัดฉีดคือจะเห็นนักเตะไทยวิ่งเป็นม้า
แต่เขาไม่สามารถจะอัดฉีดได้ทุกครั้ง ทุกเกมส์ เพราะงั้นพอไม่มี คุณจะใส่เต็ม 100 ทําไม เหมือนทํางาน OT ไม่ได้เงินเพิ่ม ได้แค่คําชม
5. ปัจจุบันทีมใหญ่ที่ให้ความร่วมมือตอนนี้อยู่ครึ่งล่างของตาราง ทีมใหญ่ที่ไม่ปล่อยตัวผู้เล่นอยู่ท็อปๆของตารางไทยลีก
6. ความมีอํานาจของสโมสรใหญ่ ถ้านักเตะไม่อยากเล่นฟีฟ่าเดย์ สโมสรนั้นก็สามารถใช้อํานาจนี้บังคับไม่ให้เรียกได้ โดยเฉพาะในยุคที่สมาคมหมดอํานาจ
7. โค้ชทีมชาติปัจจุบันอย่างมาโน่ ได้การสนับสนุนจากนักเตะทีมชาติอย่างมาก ถ้านักเตะไม่อยากมา คุณจะกล้าเรียกเหรอ ในสังคมไทย สร้างความสัมพันธ์ดีกว่ามองหน้ากันไม่ติด
8. ที่มาของการอยากมี ทีม A กับ ทีม B ในที่ประชุมวันนั้น อาจเพื่อเป็นเกราะป้องกันไม่ให้นักเตะ super stars ต้องลงมาเล่นทุกเบรคทีมชาติ
9. การแข่งขันของผู้เล่นทีมชาติ ถ้าคุณเป็นผู้เล่นตัวหลักจากสโมสรใหญ่อย่างบุรีรัมย์ ยังไงก็ติดทีมชาติ 100% ไม่ต้องกลัวจะหลุด
10. เล่นเหนื่อยยังไงแต่ผลการแข่งขันก็ไม่ดี (ทรงดีแต่ยิงไม่ได้) เล่นกับใครนอกอาเซียนหืดจับทุกครั้ึง อันดับฟีฟ่าไม่เคยเข้าไกล้ Top 100 มา 20 ปี ญี่ปุ่นเห็นการพัฒนาชัดเจนส่วนไทยยํ่าอยู่กับที่ เมื่อไม่ได้ผลการแข่งขัน แรงกระตุ้นมันไม่มีเหมือนญี่ปุ่น เหมือนขับรถรอบเมือง มีจุดหมาย แต่ไม่มีแผนที่ ส่วนไกด์บอกทาง (โค้ช) ก็ดันพาหลง