สวัสดีครับ กระทู้นี้ผมอยากแชร์ประสบการของคนเคยมีปัญหาสุขภาพจิตประเภทหนึ่ง คือ โรค AVPD ซึ่งอาจจะไม่เป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการมากเท่าโรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพ ประเภทอื่นๆ แต่เชื่อว่ามีคนที่มีอาการของโรคนี้และอาจจะพัฒนาไปสู่โรคโรคผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ร้ายแรงกว่านี้
Avoidant Personality Disorder (AVPD) กล่าวสั้นๆ คือ ไม่กล้าออกสังคม (social inhibition) มีความรู้สึกว่าตนบกพร่อง (feeling of inadequacy) และรู้สึกไวมากเกินไปว่าคนอื่นจะมองตนไปในแง่ลบ (negative evaluation) ซึ่งส่วนตัวผมมีสาเหตุสำคัญมาจาก
1. การเหยียดเพศ (Sexism) ผมเป็นเกย์ครับ ซึ่งการเป็นเกย์ในยุคสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น เหมือนเป็นสัตว์ประหลาด โรงเรียนเปรียบเหมือนขุมนรก สำหรับผมครับ เพื่อนๆ เอาผมเป็นเครื่องบันเทิงสำหรับพวกเขา ทั้งล้อเลียน กลั่นแกล้งทำร้าย ในขณะที่ครู หรือผู้ใหญ่ ตั้งข้อรังเกียจ ล้อเลียน หรือทำโทษให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรม (จนทุกวันนี้ผมอยากลบความทรงจำทั้งหมด แม้แต่ชื่อโรงเรียนออกจากสมองของผมไป) ที่สำคัญเมื่อผมบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากโรงเรียน ครอบครัวของผมก็ซ้ำเติม และแสดงความอับอายเสมอที่ผมเป็นเกย์ เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่อนุบาล จนถึงจบมัธยมปลาย
2. การเลือกปฏิบัติจากความงาม (Beauty discrimination) ใช่ครับ ไม่ใช่ Beauty privilege แต่มันร้ายแรงกว่ามากๆ แม้ว่า กระแสการยอมรับความหลากหลายทางเพศ จะทำให้ผมมีสถานะ เป็นคนมากขึ้นในสังคม แต่ด้วยผมเป็นคนหน้าตากลางๆถึงไม่ดี จึงถูกการเลือกปฏิบัติ ถูกปฏิเสธทั้งซึ่งหน้าและลับหลัง (สิ่งนี้เป็นความจริงแน่นอนครับแต่ผมคงไม่มีพื้นที่มากพอจะเล่าสิ่งที่ผมประสบมา) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเผชิญตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนถึงช่วงทำงาน
จากความสาเหตุทั้งสองประการทำให้ผมเริ่มถอยห่างจากสังคมมากขึ้นแม้แต่ครอบครัว ผมแยกมาอาศัยคนเดียว กลับบ้านบ้างนานๆที หางานที่เป็นอิสระไม่ต้องติดต่อสื่อสารกับคน เพราะกลัวการทำร้ายจากสังคม ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างเงียบๆ เหมือนอยู่ในถ้ำ
แต่สิ่งที่ค่อยๆก่อตัวจากเบื้องลึกของหัวใจคือ “ความชิงชังสังคมครับ” สมัยเด็กๆผมอาจจะโกรธแค้น เสียใจต่อสิ่งที่ได้รับจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรอบตัว แต่มันค่อยๆพัฒนามาเป็น ความชิงชังต่อ นิสัย ค่านิยม คุณค่า (Values) ทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติ การดูถูกเหยียดหยาม ของผู้คนที่ทำเป็นปกติในสังคม ผมยอมรับว่าคนเรามีอคติ (Bias) มีความรู้สึกชอบใครไม่ชอบใครเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย คือ อคติที่เกินไป กลายเป็น การเทิดทูนบุคคลหรือการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลซึ่งมีฐานะเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ซึ่งมันเกินกว่า Beauty privilege ไปแล้ว
ซึ่งจุดนี้ ผมเริ่มพัฒนามาเป็น โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder)
ผมเริ่มนึกสะใจเพื่อนๆสมัยเรียนที่ครั้งนึงที่รังเกียจคนเป็นเกย์ แต่ทุกวันนี้เขาต้องทนดูผู้ชายจูบปากกัน ว่าเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ หรือหลายๆคนก็มีลูกเป็น LGBTQ และคิดต่อว่าพวกเขาจะนึกถึงสิ่งที่พวกเขากระทำกับผมหรือคนเป็นเกย์ในสมัยที่เขายังเรียนอยู่ได้หรือไม่
เวลาผมเห็นความพยายามเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม เรื่อง ประชาธิปไตย สิทธิมนุษย์ชน ความเสมอภาคและความเท่าเทียม ผมกลับเมินเฉยไม่มีส่วนร่วม เพราะในใจผมคิดว่า ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม มาจากใจที่บิดเบี้ยวของปัจเจกบุคคลมากกว่า ตราบใดที่ใจของคนยังคงเลือกปฏิบัติ ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น การเมืองที่ดี-สังคมที่ดีก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ ต่อให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย มีระบบกฎหมายที่เท่าเทียมกันก็ตาม ก็ยังคงมีเหยื่อ ของความอยุติธรรม (Les Misérables) เช่นนี้ต่อไป
เวลาผมเห็นคลิปหรือข่าว เกี่ยวกับ เหยื่อของความอยุติธรรมจากการเลือกปฏิบัติในสังคม ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ผมรู้สึกหดหู่น้ำตาไหล สงสารคนเหล่านั้นมากๆ เพราะเรารู้รสชาติความเจ็บปวดเช่นเดียวกับพวกเขา แม้ผมจะไม่มีความรู้สึกอยากทำร้าย กราดยิงหรือทำร้ายผู้คนในสังคม แต่ผมกลับรู้สึกว่า “อยากให้ผู้คนได้เจ็บปวดต่อการเลือกปฏิบัติแบบที่ผมและเหยื่ออีกหลายๆคนได้พบเจอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาช่วยกันสร้างคุณค่าและวัฒนธรรมแบบนี้ขึ้นมาเอง”
จนวันหนึ่งผมเริ่มเปลี่ยนมุมมอง เวลาผมเห็นคนหรือสัตว์ที่เป็นเหยื่อของความอยุติธรรมในสังคม ผมรู้สึกอยากกอด อยากช่วยเหลือ รู้สึกว่า ถ้าสังคมทอดทิ้งพวกเรา พวกเราไม่ควรจะทิ้งกัน ผมเริ่มหันมารักตัวเอง อยากมีความรู้ อยากมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อจะได้สามารถช่วยเหลือเติมเต็มให้กับ ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมเหล่านี้ ไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด อ้างว้าง แบบที่ผมเคยเป็น อยากร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัย asylum เพื่อเยียวยาจากสังคม
ทุกวันนี้ผมยังใช้ชีวิตคนเดียวทำงานอิสระ แต่ชอบทำงานอาสาสมัครในรูปแบบต่างๆ ทั้งกำลังกายและสติปัญญา ทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ทุกคนต่างบอบช้ำจากการเลือกปฏิบัติในสังคมด้วยกัน รู้สึกไม่เคียดแค้นบุคคลหรือสังคมเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หวังว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงอะไร
ผมแชร์ประสบการชีวิตของผม มันอาจจะไม่ใช้เส้นทางที่ดี แต่คิดว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาโรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่กำลังเพิ่มมากขึ้น และคงจะดีถ้าสังคมเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เพราะ “สังคมที่โหดร้าย อาจสร้างปีศาจที่โหดร้ายยิ่งกว่าตามมา”
การเดินทางของคนเป็นโรค Avoidant Personality Disorder (AVPD)
Avoidant Personality Disorder (AVPD) กล่าวสั้นๆ คือ ไม่กล้าออกสังคม (social inhibition) มีความรู้สึกว่าตนบกพร่อง (feeling of inadequacy) และรู้สึกไวมากเกินไปว่าคนอื่นจะมองตนไปในแง่ลบ (negative evaluation) ซึ่งส่วนตัวผมมีสาเหตุสำคัญมาจาก
1. การเหยียดเพศ (Sexism) ผมเป็นเกย์ครับ ซึ่งการเป็นเกย์ในยุคสมัยที่ผมเป็นเด็กนั้น เหมือนเป็นสัตว์ประหลาด โรงเรียนเปรียบเหมือนขุมนรก สำหรับผมครับ เพื่อนๆ เอาผมเป็นเครื่องบันเทิงสำหรับพวกเขา ทั้งล้อเลียน กลั่นแกล้งทำร้าย ในขณะที่ครู หรือผู้ใหญ่ ตั้งข้อรังเกียจ ล้อเลียน หรือทำโทษให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรม (จนทุกวันนี้ผมอยากลบความทรงจำทั้งหมด แม้แต่ชื่อโรงเรียนออกจากสมองของผมไป) ที่สำคัญเมื่อผมบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจจากโรงเรียน ครอบครัวของผมก็ซ้ำเติม และแสดงความอับอายเสมอที่ผมเป็นเกย์ เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่อนุบาล จนถึงจบมัธยมปลาย
2. การเลือกปฏิบัติจากความงาม (Beauty discrimination) ใช่ครับ ไม่ใช่ Beauty privilege แต่มันร้ายแรงกว่ามากๆ แม้ว่า กระแสการยอมรับความหลากหลายทางเพศ จะทำให้ผมมีสถานะ เป็นคนมากขึ้นในสังคม แต่ด้วยผมเป็นคนหน้าตากลางๆถึงไม่ดี จึงถูกการเลือกปฏิบัติ ถูกปฏิเสธทั้งซึ่งหน้าและลับหลัง (สิ่งนี้เป็นความจริงแน่นอนครับแต่ผมคงไม่มีพื้นที่มากพอจะเล่าสิ่งที่ผมประสบมา) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเผชิญตั้งแต่มหาวิทยาลัยจนถึงช่วงทำงาน
จากความสาเหตุทั้งสองประการทำให้ผมเริ่มถอยห่างจากสังคมมากขึ้นแม้แต่ครอบครัว ผมแยกมาอาศัยคนเดียว กลับบ้านบ้างนานๆที หางานที่เป็นอิสระไม่ต้องติดต่อสื่อสารกับคน เพราะกลัวการทำร้ายจากสังคม ใช้ชีวิตไปวันๆอย่างเงียบๆ เหมือนอยู่ในถ้ำ
แต่สิ่งที่ค่อยๆก่อตัวจากเบื้องลึกของหัวใจคือ “ความชิงชังสังคมครับ” สมัยเด็กๆผมอาจจะโกรธแค้น เสียใจต่อสิ่งที่ได้รับจากบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งรอบตัว แต่มันค่อยๆพัฒนามาเป็น ความชิงชังต่อ นิสัย ค่านิยม คุณค่า (Values) ทางสังคมมากขึ้น โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติ การดูถูกเหยียดหยาม ของผู้คนที่ทำเป็นปกติในสังคม ผมยอมรับว่าคนเรามีอคติ (Bias) มีความรู้สึกชอบใครไม่ชอบใครเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ผมไม่เห็นด้วย คือ อคติที่เกินไป กลายเป็น การเทิดทูนบุคคลหรือการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลซึ่งมีฐานะเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ซึ่งมันเกินกว่า Beauty privilege ไปแล้ว
ซึ่งจุดนี้ ผมเริ่มพัฒนามาเป็น โรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder)
ผมเริ่มนึกสะใจเพื่อนๆสมัยเรียนที่ครั้งนึงที่รังเกียจคนเป็นเกย์ แต่ทุกวันนี้เขาต้องทนดูผู้ชายจูบปากกัน ว่าเป็นวัฒนธรรมสมัยใหม่ หรือหลายๆคนก็มีลูกเป็น LGBTQ และคิดต่อว่าพวกเขาจะนึกถึงสิ่งที่พวกเขากระทำกับผมหรือคนเป็นเกย์ในสมัยที่เขายังเรียนอยู่ได้หรือไม่
เวลาผมเห็นความพยายามเคลื่อนไหวในการเปลี่ยนแปลงสังคม เรื่อง ประชาธิปไตย สิทธิมนุษย์ชน ความเสมอภาคและความเท่าเทียม ผมกลับเมินเฉยไม่มีส่วนร่วม เพราะในใจผมคิดว่า ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในสังคม มาจากใจที่บิดเบี้ยวของปัจเจกบุคคลมากกว่า ตราบใดที่ใจของคนยังคงเลือกปฏิบัติ ดูถูกเหยียดหยามคนอื่น การเมืองที่ดี-สังคมที่ดีก็ไม่มีวันจะเกิดขึ้นได้ ต่อให้มีรัฐบาลประชาธิปไตย มีระบบกฎหมายที่เท่าเทียมกันก็ตาม ก็ยังคงมีเหยื่อ ของความอยุติธรรม (Les Misérables) เช่นนี้ต่อไป
เวลาผมเห็นคลิปหรือข่าว เกี่ยวกับ เหยื่อของความอยุติธรรมจากการเลือกปฏิบัติในสังคม ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ผมรู้สึกหดหู่น้ำตาไหล สงสารคนเหล่านั้นมากๆ เพราะเรารู้รสชาติความเจ็บปวดเช่นเดียวกับพวกเขา แม้ผมจะไม่มีความรู้สึกอยากทำร้าย กราดยิงหรือทำร้ายผู้คนในสังคม แต่ผมกลับรู้สึกว่า “อยากให้ผู้คนได้เจ็บปวดต่อการเลือกปฏิบัติแบบที่ผมและเหยื่ออีกหลายๆคนได้พบเจอ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาช่วยกันสร้างคุณค่าและวัฒนธรรมแบบนี้ขึ้นมาเอง”
จนวันหนึ่งผมเริ่มเปลี่ยนมุมมอง เวลาผมเห็นคนหรือสัตว์ที่เป็นเหยื่อของความอยุติธรรมในสังคม ผมรู้สึกอยากกอด อยากช่วยเหลือ รู้สึกว่า ถ้าสังคมทอดทิ้งพวกเรา พวกเราไม่ควรจะทิ้งกัน ผมเริ่มหันมารักตัวเอง อยากมีความรู้ อยากมีสุขภาพที่แข็งแรงเพื่อจะได้สามารถช่วยเหลือเติมเต็มให้กับ ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรมเหล่านี้ ไม่ให้เขาต้องเจ็บปวด อ้างว้าง แบบที่ผมเคยเป็น อยากร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัย asylum เพื่อเยียวยาจากสังคม
ทุกวันนี้ผมยังใช้ชีวิตคนเดียวทำงานอิสระ แต่ชอบทำงานอาสาสมัครในรูปแบบต่างๆ ทั้งกำลังกายและสติปัญญา ทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นอยู่ในพื้นที่ที่ทุกคนต่างบอบช้ำจากการเลือกปฏิบัติในสังคมด้วยกัน รู้สึกไม่เคียดแค้นบุคคลหรือสังคมเหมือนแต่ก่อน แต่ก็ไม่ได้หวังว่าสังคมจะเปลี่ยนแปลงอะไร
ผมแชร์ประสบการชีวิตของผม มันอาจจะไม่ใช้เส้นทางที่ดี แต่คิดว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาโรคความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่กำลังเพิ่มมากขึ้น และคงจะดีถ้าสังคมเปลี่ยนแปลงได้บ้าง เพราะ “สังคมที่โหดร้าย อาจสร้างปีศาจที่โหดร้ายยิ่งกว่าตามมา”