บุญ บาป

กระทู้สนทนา
บุญ ต่างจากบาปที่มองเห็นเป็นตัวตนได้ คือการผิดศีลผิดกฏหมายด้วยประการทั้งปวง
แล้วชีวิต จะมีบุญได้อย่างไร ???
บุญ ไม่ได้หมายถึงมีมากขึ้น แต่หมายถึง มีน้อยลง คือ มีอาสวะน้อยลง จิตผ่องใสมากขึ้น ราคะ โทสะ โมหะ น้อยลง
บาป หมายถึง มีมากขึ้น มีราคะ โทสะ มากขึ้น  มีจิตที่ขุ่นมัว ด้วยอาสวะมากขึ้น
บุญคือ พลังงานวิเศษบริสุทธิ์ มีน้อยสั่งสมได้ มีมากไม่เสียหาย เก็บได้ฝากได้ เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้ เทียบได้กับพลังไฟฟ้าในยุคนี้ ขอพลังจงอยู่กับท่าน 
การให้ข้าวและน้ำ ชื่อว่าให้กำลัง
    การให้ผ้า เครื่องนุ่งห่ม ชื่อว่าให้ผิวพรรณ
    การให้ยานพาหนะ ชื่อว่าให้ความสุขทั้งกายและใจ
    การให้ประทีบดวงไฟ ชื่อว่าให้ดวงตา
    การให้ที่อยู่อาศัย ชื่อว่าให้ทุกอย่าง คือให้กำลัง ให้ผิวพรรณ ให้ความสุขและให้ดวงตา
    แต่การพร่ำสอนธรรม คือการให้ธรรมะ ชื่อว่าให้สิ่งที่ไม่ตาย เพราะบุคคลจะพ้นจากความตาย
ไม่ต้องเกิดอีกได้ ก็เพราะอาศัยการได้สดับตรับฟังธรรม ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า
    การให้ธรรมะชนะการให้ (สิ่งอื่น) ทั้งปวง แม้การจะทำทานให้ถูกต้องก็ต้องอาศัยการฟังธรรม
๑. ให้ทานแก่ดิรัจฉาน มีอานิสงส์ร้อยชาติ คือ ให้อายุ วรรณะ สุขะ พละ และปฏิภาณ
ถึง ๑๐๐ ชาติ
    ๒. ให้ทานแก่ปุถุชนทุศีล มีอานิสงส์พันชาติ
    ๓. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้มีศีล มีอานิสงส์แสนชาติ
    ๔. ให้ทานแก่ปุถุชนผู้ปราศจากความยินดีในกาม นอกพุทธศาสนา อย่างพวกนักบวชหรือฤาษีที่ได้ฌานเป็นต้น แม้ไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ยังมีอานิสงส์ถึงแสนโกฏิชาติ
#การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยตน ทำให้พ้นจากการปองร้าย ทำให้เป็นที่เมตตาแก่ผู้ที่พบเห็น
 บทแผ่เมตตา เพื่อการแบ่งปันความสุขให้สรรพสิ่งในโลก
        ในชีวิตหนึ่งของมนุษย์เรานั้น... สิ่งที่ทุกคนปรารถนาเป็นอย่างมากนั้นก็คือ "ความสุข" เพราะไม่ว่าเราจะกระทำสิ่งไหน สิ่งที่เราหวังให้เกิดขึ้นตามมานั้นก็คือความสุข ถึงแม้ว่าความสุของคนเราจะมีหน้าตาและมาในรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่า "ความสุข" จะมาในรูปแบบไหน เชื่อเลยค่ะว่าทุกคนต้องเต็มใจรับมันอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะค่ะ 
        และในฐานะพุทธศาสนิกชนมองความสุขว่า... เป็นการได้มาซึ่งความอิ่มเอม และสบายใจ และที่สำคัญความสุขของเรานั้นจะต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น แต่ทั้งนี้ บางทีเราอาจจะเบียดเบียนผู้อื่นโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ หรือทำไปเพราะการไม่รู้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทุกคนมีจิตใจเมตตาต่อผู้อื่น  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนมนุษย์ ทั้งที่รู้จัก และไม่รู้จัก  สัตว์เดรัจฉาน ตลอดจนเทพเทวา เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้ทุกสรรพชีวิตมีความสุขเสมอกัน ด้วยการ "แผ่เมตตา" นั่นเอง
             
        #ความเมตตาไปยังทุกสรรพสิ่งบนโลกนี้ ... ทั้งนี้ หลายคนอาจจะคิดว่าการแผ่เมตตาจะต้องท่องบทสวดเป็นภาษาบาลีเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว เพียงแต่ตั้งสมาธิ ทำจิตให้ว่างเราก็สามารถแผ่เมตตาได้แล้วล่ะค่ะ เพราะว่าหากไม่ตั้งจิตให้ว่าง ถึงแม้จะท่องบทแผ่เมตตาถูกต้อง ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างแน่นอน 
#บทแผ่เมตตาให้แก่ตัวเราเอง
 
อะหัง สุขิโต โหมิ 
 (ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุข)
อะหัง นิททุกโข โหมิ
 (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความทุกข์)
อะหัง อะเวโร โหมิ
 (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากเวร)
อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
 (ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากอุปสรรคอันตรายทั้งปวง)
อนีโฆโหตุ  ปราศจากทุกข์​ ปราศจากภัย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
 (ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุขกายสุขใจ รักษากายวาจาใจให้พันจากความทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด)
#บทแผ่เมตตาไปสู่ผู่อื่น
       
             สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ นิททุกขา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ 
             ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด ฯ
#บทแผ่เมตตาทั่วไป
             #สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
             #อะเวราโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
             #อัพยาปัชฌาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
             #อะนีฆาโหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
             #สุขีอัตตานังปะริหะรันตุ จงมีแต่ความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด
#คาถาแผ่ส่วนกุศล
            อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตาปิตะโร 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดา บิดาของข้าพเจ้ามีความสุข
            อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้ามีความสุข
            อิทัง เม คุรูปัชฌายาจริยานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจริยา 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้ามีความสุข
            อิทัง สัพพะเทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเทวา 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
            อิทัง สัพพะเปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
            อิทัง สัพพะเวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพเวรี 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวงมีความสุข
            อิทัง สัพพะสัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา 
            ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมีความสุขทั่วหน้ากันเทอญ
บทกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวร
          ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลจากการเจริญภาวนานี้ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินท่านไว้ ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ ท่านจะอยู่ภพใดหรือภูมิใดก็ตาม ขอให้ท่านได้รับผลบุญนี้ แล้วโปรดอโหสิกรรม และอนุโมทนาบุญแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ
1. อะไร คมที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า มีดที่ลับหินดีแล้ว คมที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  วาจาที่ใส่ร้ายผู้อื่น ทำร้ายหัวใจผู้อื่น คมที่สุด
2. อะไร ไกลที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า ดวงอาทิตย์ สุดขอบจักรวาล ไกลสุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  อดีดที่ผ่านมาตั้งหลายกัปหลายกัลป์ ยาวที่สุด
3 อะไร ใหญ่ที่สุด 
พราหมณ์ตอบว่า. ภูเขา โลก มหาสมุทร ใหญ่ที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  ตัณหาความทยานอยาก ไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ก่อภพก่อชาติ ใหญ่ที่สุด
4 อะไร หนักที่สุด 
พราหมณ์ตอบว่า. หิน เหล็ก แร่ ดิน น้ำ หนักที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  คำสัญญาใดๆ ที่พูดง่ายแต่ทำยาก คำสัญญานั้นแล เป็นสิ่งที่หนักสุด
5. อะไร เบาที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า. นุ่น สำลี ลม ใบไม้แห้ง
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  การปล่อยวาง การรู้เท่าทันว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบนี้แล เบาที่สุด 
6. อะไร ใกล้เราที่สุด 
พราหมณ์ตอบว่า. พ่อแม่ ญาติ ใกล้เราที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  ความตายที่วิ่งตามเหมือนเงาตามตัวต่างหาก ที่ใกล้ตัวเราที่สุด 
7. อะไร ง่ายที่สุด
พราหมณ์ตอบว่า กิน นอน พูด หายใจ ง่ายที่สุด
พระพุทธเจ้าตอบว่า.  การพูดธรรมะ แบ่งปันให้แสงสว่างแก่ผู้อื่น ง่ายที่สุด เป็นประโยชน์ต่อสังคมด้วย 
พราหมณ์ได้ฟังคำตอบจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไตร่ตรองพิจารณา โดยเหตุผลแล้ว จึงยอมมอบกายถวายตัวยอมสมาทานศีล เป็นพุทธมามะกะ และได้ดวงตาเห็นธรรมโดยทั่วกัน. พร้อมกล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าว่า สัถถาเทวะมนุสสานัง พระองค์เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายโดยแท้จริง
พระพุทธองค์ตรัสว่า.. "บุคคลแม้ไม่มีทรัพย์สินเงินทองแต่ก็สามารถให้ทานกับผู้อื่นได้ด้วยสิ่งของ 5 ประการ" 
   1. ใบหน้าเป็นทาน : สามารถให้รอยยิ้มความสดใส 
   2. วาจาเป็นทาน : พูดให้กำลังใจ ชื่นชมและปลอบประโลมผู้อื่นให้มาก 
   3. จิตใจเป็นทาน : สามารถเปิดอกเปิดใจกับผู้อื่น ด้วยความนอบน้อมและจริงใจ 
   4. ดวงตาเป็นทาน : ใช้แววตาแห่งความหวังดีความโอบอ้อมอารีย์ให้กับผู้อื่น 
   5. กายเป็นทาน : สามารถใช้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่