เมื่อสื่อได้ทำให้ผู้ร้ายกลายเป็นพระเอก :
มุมมองความขัดแย้งในปาเลสไตน์ผ่านวาทะของ "โนม ชอมสกี"
____________
โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) นักปรัชญาและนักภาษาศาสตร์คนสำคัญที่สุดอีกคนหนึ่งในยุคร่วมสมัย โดยเฉพาะในแขนงวิชาภาษาศาสตร์ มีการยกย่องให้ท่านเป็น ‘บิดาแห่งสาขาวิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่’ ปัจจุบันโนม ชอมสกีดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติคุณที่ MIT
.
ท่านมักจะวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดิ์นิยม และนโยบายรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ท่านยังเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านความอยุติธรรมในช่วงสงครามเย็นจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งท่านได้ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ผ่านการขบคิดถกเถียงในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ข้อเสนอเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยมและเรื่องการครอบงำของสื่อ
.
ชอมสกีได้เขียนหนังสือชื่อ “Manufacturing Consent: The Political Economy of the Mass Media” (1988) ร่วมกับ เอ็ดเวิร์ด เอส เฮอร์แมน วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อและสะท้อนให้เห็นวิธีควบคุมความคิดผู้คนในสังคมประชาธิปไตยผ่านการควบคุมสื่อของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่คอยกำหนดชีวิตทางสังคมของผู้คนว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์มากที่สุด
.
เมื่อสื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมของผู้มีอำนาจ สื่อจึงเป็นผู้ตั้งกรอบความคิดโดยทั่วไปให้กับสังคม ควบคุมว่าความคิดใดสามารถนำเสนอผ่านสื่อหลักได้ ราวกับกำหนดให้ผู้คนสามารถคิดได้เฉพาะแต่ในกรอบเหล่านั้น ทั้งยังโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ให้ผู้คนเล่นตามบทที่ถูกกำหนดมาโดยให้ภาพมายาว่าได้เลือกเอง และเบี่ยงเบนความสนใจพวกเขาออกจากประเด็นที่มีนัยสำคัญ ให้ไปวุ่นอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
.
ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงยังมีผู้คนมากมายที่เสพสื่อกระแสหลักจะเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของอิสราเอลกับปาเลสไตน์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ เพราะสื่อกระแสหลักแทบจะทั้งหมดล้วนนำเสนอข่าวเข้าข้างอิสราเอล โดยรับแหล่งข่าวมาจากอิสราเอลเอง
.
สำนักข่าวใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯบางแห่ง มีผู้บริหารระดับ C ขึ้นไปเป็นชาวยิวแทบทั้งหมด แม้กระทั่งสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่าง เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อกและทวิตเตอร์ ก็ยังมีข่าวว่าได้ทำการแบนเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์หรือการกล่าวในแง่ร้ายถึงอิสราเอล
.
จากปรากฏการณ์นี้ แน่นอนว่าโนม ชอมสกีย่อมต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ออกมากล่าวถึงการอธรรมและการกดขี่ข่มเหงของอิสราเอลที่มีต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพและเนื้อหาที่ออกมาทางสื่อกระแสหลักที่เข้าข้างอิสราเอลอย่างมีนัยสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดท่านได้โพสในทวิตเตอร์ส่วนตัวของท่านเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า:
.
“สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดมันแย้งกับตรรกะตรงที่เรื่องราวของปาเลสไตน์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ แท้จริงมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่ามันคือการล่าอาณานิคมและการยึดครองถิ่นฐาน แต่โลกกลับพยายามทำให้มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและยากเกินกว่าจะแก้ไข"
.
โนม ชอมสกีได้ส่งเสียงในความอธรรมของอิสราเอลที่มีต่อปาเลสไตน์เสมอมา ผ่านบทความและการปราศรัยอันมากมายของท่าน และยังคอยส่งเสียงคัดค้านการชี้นำของสื่อในการใช้ภาษาที่โน้มเอียงไปในเชิงให้ท้ายอิสราเอล อาทิ
.
ในขณะที่สื่อรายงานว่าเป็นการปะทะหรือสงครามระหว่างอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ ชอมสกีแย้งว่า:
.
“อิสราเอลใช้เครื่องบินจู่โจมและเรือของกองทัพเรือที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อทิ้งระเบิดค่ายผู้ลี้ภัย โรงเรียน อพาร์ตเมนต์ มัสยิด เพื่อโจมตีประชาชนที่ไม่มีกองทัพอากาศ ไม่มีการป้องกันทางอากาศ ไม่มีกองทัพเรือ ไม่มีอาวุธหนัก ไม่มีหน่วยปืนใหญ่ ไม่มียานยนต์หุ้มเกราะ ไม่มีคำสั่งควบคุม ไม่มีกองทัพ แล้วให้เราเรียกมันว่าสงครามหรือ นี่มันไม่ใช่สงคราม นี่คือการฆาตกรรม”
.
บ่อยครั้งที่ชอมสกี ได้อธิบายภาพที่เกิดขึ้นให้เราเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าความขัดแย้งในปาเลสไตน์ใครกระทำต่อใครกันแน่
.
“พวกคุณยึดแหล่งน้ำของเราไป เผาสวนมะกอกของเรา ทุบทำลายบ้านของเรา ริบเอาหน้าที่การงานของเรา ขโมยที่ดินของเรา คุมขังพ่อของเรา พรากชีวิตแม่ของเรา ทิ้งระเบิดในประเทศของเรา ทำให้พวกเราทุกคนอดอยาก หมิ่นศักดิ์ศรีของพวกเราทั้งหมด แต่กลายเป็นเราที่ถูกโยนความผิดและถูกตำหนิใส่ เพียงเพราะเรายิงจรวดโต้ตอบ”
.
และคำกล่าวอ้างที่ปรากฎในสื่อเป็นประจำเมื่ออิสราเอลใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ชอมสกีไม่เห็นด้วยในการใช้คำอ้างนี้:
.
“เมื่อชาวอิสราเอลที่เข้ายึดครองดินแดนอ้างว่าพวกเขาต้องป้องกันตนเอง จริง ๆ แล้วการป้องกันตนเองของพวกเขามีความหมายประหนึ่งว่า กองกำลังทหารที่เข้ายึดครองดินแดนใด ๆ ก็ตามต้องป้องกันตนเองจากประชาชนที่พวกเขาถล่มโจมตีใส่ ... ขณะที่ความจริงคือ คุณจะป้องกันตนเองได้อย่างไรในเมื่อคุณมีสถานะเป็นกองกำลังทหารที่มีอาวุธพร้อมสรรพ แล้วเข้าไปยึดครองดินแดนของคนอื่น นี่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ตามแต่ แต่ที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง”
.
ในสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุด ชอมสกีได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯโดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบนโยบายสหรัฐฯที่เป็นฐานในการสนับสนุนด้านอาวุธและคอยปกป้องอิสราเอลในเวทีนานาชาติ พร้อมทั้งเพิกเฉยต่อการก่ออาชญากรรมสงครามของอิสราเอลผ่านการใช้กลยุทธ์ “การก่อการร้ายและการขับไล่” เพื่อที่จะขยายอาณาเขตโดยการสังหารและบีบให้ชาวปาเลสไตน์กลายเป็นผู้อพยพพลัดถิ่น
.
ชอมสกียังตั้งคำถามต่อนโยบายสหรัฐฯอีกว่า “การตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลไม่มีความถูกต้องตามกฎหมาย เหตุใดสหรัฐฯจึงยังคงให้ความช่วยเหลืออิสราเอลต่อไปโดยละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯ และเหตุใดการขยายอาณาเขตรุกตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลจึงไม่ผิดกฎหมาย และแน่นอนคำถามที่สำคัญมากเช่นนี้ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลยในสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ”

ความไร้จรรยาบรรณของสื่อกระแสหลัก รวมไปถึงอำนาจเบื้องหลังชักใยควบคุมให้เป็นไปในทิศทางเอื้อผลประโยชน์รัฐบาลอิสราเอล
มุมมองความขัดแย้งในปาเลสไตน์ผ่านวาทะของ "โนม ชอมสกี"
____________
โนม ชอมสกี (Noam Chomsky) นักปรัชญาและนักภาษาศาสตร์คนสำคัญที่สุดอีกคนหนึ่งในยุคร่วมสมัย โดยเฉพาะในแขนงวิชาภาษาศาสตร์ มีการยกย่องให้ท่านเป็น ‘บิดาแห่งสาขาวิชาภาษาศาสตร์สมัยใหม่’ ปัจจุบันโนม ชอมสกีดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์กิตติคุณที่ MIT
.
ท่านมักจะวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิจักรวรรดิ์นิยม และนโยบายรัฐบาลสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ท่านยังเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านความอยุติธรรมในช่วงสงครามเย็นจนกระทั่งปัจจุบัน ซึ่งท่านได้ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่ผ่านการขบคิดถกเถียงในแง่มุมต่าง ๆ เช่น ข้อเสนอเชิงวิพากษ์เกี่ยวกับระบบทุนนิยมและเรื่องการครอบงำของสื่อ
.
ชอมสกีได้เขียนหนังสือชื่อ “Manufacturing Consent: The Political Economy of the Mass Media” (1988) ร่วมกับ เอ็ดเวิร์ด เอส เฮอร์แมน วิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของสื่อและสะท้อนให้เห็นวิธีควบคุมความคิดผู้คนในสังคมประชาธิปไตยผ่านการควบคุมสื่อของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่คอยกำหนดชีวิตทางสังคมของผู้คนว่าควรเดินหน้าต่อไปอย่างไร เพื่อให้ตนเองได้ผลประโยชน์มากที่สุด
.
เมื่อสื่อเป็นเครื่องมือในการควบคุมของผู้มีอำนาจ สื่อจึงเป็นผู้ตั้งกรอบความคิดโดยทั่วไปให้กับสังคม ควบคุมว่าความคิดใดสามารถนำเสนอผ่านสื่อหลักได้ ราวกับกำหนดให้ผู้คนสามารถคิดได้เฉพาะแต่ในกรอบเหล่านั้น ทั้งยังโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda) ให้ผู้คนเล่นตามบทที่ถูกกำหนดมาโดยให้ภาพมายาว่าได้เลือกเอง และเบี่ยงเบนความสนใจพวกเขาออกจากประเด็นที่มีนัยสำคัญ ให้ไปวุ่นอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
.
ไม่แปลกเลยว่าทำไมถึงยังมีผู้คนมากมายที่เสพสื่อกระแสหลักจะเข้าใจเรื่องความขัดแย้งของอิสราเอลกับปาเลสไตน์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้ เพราะสื่อกระแสหลักแทบจะทั้งหมดล้วนนำเสนอข่าวเข้าข้างอิสราเอล โดยรับแหล่งข่าวมาจากอิสราเอลเอง
.
สำนักข่าวใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯบางแห่ง มีผู้บริหารระดับ C ขึ้นไปเป็นชาวยิวแทบทั้งหมด แม้กระทั่งสื่อสังคมออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่าง เฟซบุ๊ก ติ๊กต็อกและทวิตเตอร์ ก็ยังมีข่าวว่าได้ทำการแบนเนื้อหาที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์หรือการกล่าวในแง่ร้ายถึงอิสราเอล
.
จากปรากฏการณ์นี้ แน่นอนว่าโนม ชอมสกีย่อมต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ออกมากล่าวถึงการอธรรมและการกดขี่ข่มเหงของอิสราเอลที่มีต่อประชาชนชาวปาเลสไตน์ซึ่งตรงกันข้ามกับภาพและเนื้อหาที่ออกมาทางสื่อกระแสหลักที่เข้าข้างอิสราเอลอย่างมีนัยสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดท่านได้โพสในทวิตเตอร์ส่วนตัวของท่านเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมาว่า:
.
“สิ่งที่เกิดขึ้นล่าสุดมันแย้งกับตรรกะตรงที่เรื่องราวของปาเลสไตน์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงทุกวันนี้ แท้จริงมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย ๆ ว่ามันคือการล่าอาณานิคมและการยึดครองถิ่นฐาน แต่โลกกลับพยายามทำให้มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อน ยุ่งยาก ประหนึ่งว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจและยากเกินกว่าจะแก้ไข"
.
โนม ชอมสกีได้ส่งเสียงในความอธรรมของอิสราเอลที่มีต่อปาเลสไตน์เสมอมา ผ่านบทความและการปราศรัยอันมากมายของท่าน และยังคอยส่งเสียงคัดค้านการชี้นำของสื่อในการใช้ภาษาที่โน้มเอียงไปในเชิงให้ท้ายอิสราเอล อาทิ
.
ในขณะที่สื่อรายงานว่าเป็นการปะทะหรือสงครามระหว่างอิสราเอลกับชาวปาเลสไตน์ ชอมสกีแย้งว่า:
.
“อิสราเอลใช้เครื่องบินจู่โจมและเรือของกองทัพเรือที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีอันล้ำสมัยเพื่อทิ้งระเบิดค่ายผู้ลี้ภัย โรงเรียน อพาร์ตเมนต์ มัสยิด เพื่อโจมตีประชาชนที่ไม่มีกองทัพอากาศ ไม่มีการป้องกันทางอากาศ ไม่มีกองทัพเรือ ไม่มีอาวุธหนัก ไม่มีหน่วยปืนใหญ่ ไม่มียานยนต์หุ้มเกราะ ไม่มีคำสั่งควบคุม ไม่มีกองทัพ แล้วให้เราเรียกมันว่าสงครามหรือ นี่มันไม่ใช่สงคราม นี่คือการฆาตกรรม”
.
บ่อยครั้งที่ชอมสกี ได้อธิบายภาพที่เกิดขึ้นให้เราเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าความขัดแย้งในปาเลสไตน์ใครกระทำต่อใครกันแน่
.
“พวกคุณยึดแหล่งน้ำของเราไป เผาสวนมะกอกของเรา ทุบทำลายบ้านของเรา ริบเอาหน้าที่การงานของเรา ขโมยที่ดินของเรา คุมขังพ่อของเรา พรากชีวิตแม่ของเรา ทิ้งระเบิดในประเทศของเรา ทำให้พวกเราทุกคนอดอยาก หมิ่นศักดิ์ศรีของพวกเราทั้งหมด แต่กลายเป็นเราที่ถูกโยนความผิดและถูกตำหนิใส่ เพียงเพราะเรายิงจรวดโต้ตอบ”
.
และคำกล่าวอ้างที่ปรากฎในสื่อเป็นประจำเมื่ออิสราเอลใช้ความรุนแรงกับชาวปาเลสไตน์โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ชอมสกีไม่เห็นด้วยในการใช้คำอ้างนี้:
.
“เมื่อชาวอิสราเอลที่เข้ายึดครองดินแดนอ้างว่าพวกเขาต้องป้องกันตนเอง จริง ๆ แล้วการป้องกันตนเองของพวกเขามีความหมายประหนึ่งว่า กองกำลังทหารที่เข้ายึดครองดินแดนใด ๆ ก็ตามต้องป้องกันตนเองจากประชาชนที่พวกเขาถล่มโจมตีใส่ ... ขณะที่ความจริงคือ คุณจะป้องกันตนเองได้อย่างไรในเมื่อคุณมีสถานะเป็นกองกำลังทหารที่มีอาวุธพร้อมสรรพ แล้วเข้าไปยึดครองดินแดนของคนอื่น นี่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง คุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ตามแต่ แต่ที่แน่ ๆ นี่ไม่ใช่การป้องกันตนเอง”
.
ในสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุด ชอมสกีได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายสหรัฐฯโดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบนโยบายสหรัฐฯที่เป็นฐานในการสนับสนุนด้านอาวุธและคอยปกป้องอิสราเอลในเวทีนานาชาติ พร้อมทั้งเพิกเฉยต่อการก่ออาชญากรรมสงครามของอิสราเอลผ่านการใช้กลยุทธ์ “การก่อการร้ายและการขับไล่” เพื่อที่จะขยายอาณาเขตโดยการสังหารและบีบให้ชาวปาเลสไตน์กลายเป็นผู้อพยพพลัดถิ่น
.
ชอมสกียังตั้งคำถามต่อนโยบายสหรัฐฯอีกว่า “การตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลไม่มีความถูกต้องตามกฎหมาย เหตุใดสหรัฐฯจึงยังคงให้ความช่วยเหลืออิสราเอลต่อไปโดยละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯ และเหตุใดการขยายอาณาเขตรุกตั้งถิ่นฐานของอิสราเอลจึงไม่ผิดกฎหมาย และแน่นอนคำถามที่สำคัญมากเช่นนี้ไม่เคยถูกกล่าวถึงเลยในสื่อกระแสหลักของสหรัฐฯ”