ไดฟังผู้มีอำนาจในพรรคการเมืองบางพรรค พูดประมาณว่า..
หวังว่านโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ต่างชาติจะต้องมาดูงาน
ก็อดคิดไม่ได้ว่า..แค่หวังว่าจะกระตุ้นได้ตามที่พูดใช่ไหม
ถ้าเปลี่ยนคำพูดเป็น..มั่นใจมากว่าจะต้องกระตุ้นได้ตามที่ศึกษามาแล้ว
น่าจะฟังดูดี และใจชื้นกว่าเยอะครับ
แต่การให้เป็นที่ดูงานของต่างชาตินี่
มันไม่น่าใช่จุดประสงค์ของนโยบายนะ
ไทยเราจะเอาชื่อเสียงอะไรกับเรื่องแบบนี้
ที่มีเดิมพันเป็นหนี้มหาศาลของคนทั้งประเทศไปอีกยาวนาน
ฟังแล้ว..เหตุผลยังไม่ผ่านครับ
ปัญหาของนโยบายสิบพัน จนถึงปัจจุบันนี้..น่าจะมาจาก
การขาดการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ในรายละเอียดของนโยบาย
สู่สาธารณะ ทำให้มีหลายฝ่ายคาดเดาทิศทางที่จะดำเนินการไม่ถูกว่า
รัฐบาลจะเอายังไงกันแน่
ส่วนปัญหาของการขาดการสื่อสาร ..น่าจะมาจาก
รัฐบาลเองก็ยังสรุปไม่ลงตัวว่าจะเอายังไงกันแน่
และปัญหาของการที่ยังสรุปไม่ลงตัว..น่าจะมาจาก
ไม่ได้ทำการศึกษามาอย่างรอบด้าน
ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย
ดังที่ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ทยอยออกมาแสดงความคิดเห็นกันเต็มไปหมด
หากการแจกเงินสิบพัน สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้
สามารถทำให้คนลืมตาอ้าปากได้จริง
ก็น่าแปลกใจที่รัฐบาลทั่วโลก มัวไปงมโข่งอยู่ที่ไหน
นักวิชาการไปเสียเวลาร่ำเรียน เสียเวลาทำงานวิจัยหลายๆปีกันทำไม
เพราะมันเป็นแค่ปัญหา เส้นผมบังภูเขาเท่านั้น..
อันที่จริง..นโยบายนี้ก็อาจช่วยให้เกิดการลงทุนเล็กๆได้
ถ้าในครอบครัว หรือหลายครอบครัว หรือคนในชุมชน
รวมเงินกันได้ แล้วนำไปลงทุนอะไรสักอย่าง
ถ้าเป็นอย่างนี้.,ก็อาจช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง
ในท้ายที่สุด..
รัฐบาลก็ต้องเดินหน้าลูกเดียว ไม่ถอยแน่นอน
แต่น่าจะประนีประนอมในบางเงื่อนไข เพื่อลดแรงเสียดทานลงบ้าง เช่น..
•การจำกัดกลุ่มที่จะได้รับเงินให้แคบลง
ซึ่งก็ต้องควานหากลุ่มที่คิดว่าเหมาะสม
และสอดคล้องกับเม็ดเงินที่จะหามาได้
เป็นการยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว
ตัวแรกคือ...ดูเหมือนถอย แต่ที่แท้หาเงินไม่พอ
ตัวที่สองคือ..ดูเหมือนฟังคำแนะนำจากเสียงคัดค้านบ้าง ไม่เอาแต่ใจ
แต่ยังมีผลพลอยได้ เป็นนกตัวที่สามคือ..ลดความเสียหายลง หากไม่เป็นไปตามคากการณ์
•การขยายขอบเขตพื้นที่การใช้เงินเป็น อำเภอ จังหวัด เป็นต้น
•การเอาเงินมาจากธนาคารหลายๆแห่ง แทนที่จะไปมุ่งแต่ธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียว
ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตามในการผลักดันนโยบายนี้..
ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า..คนบางส่วนย่อมคิดได้ว่ามีเหตุผลทางการเมืองอยู่ด้วย..
น่าจะถึงเวลาแล้ว..
ทึ่ทั้งนักวิชาการนอกรัฐบาล กับนักวิชาการของพรรคการเมือง
จะมานั่งดีเบตกัน ให้ประชาชนได้เห็นเหตุผลของทั้งสองฝ่ายกันอย่างครบถ้วนหรือยังครับ?
แค่สงสัย...ฤาไทยจะเป็นแค่หนูทดลองนโยบายสิบพัน?
หวังว่านโยบายนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ต่างชาติจะต้องมาดูงาน
ก็อดคิดไม่ได้ว่า..แค่หวังว่าจะกระตุ้นได้ตามที่พูดใช่ไหม
ถ้าเปลี่ยนคำพูดเป็น..มั่นใจมากว่าจะต้องกระตุ้นได้ตามที่ศึกษามาแล้ว
น่าจะฟังดูดี และใจชื้นกว่าเยอะครับ
แต่การให้เป็นที่ดูงานของต่างชาตินี่
มันไม่น่าใช่จุดประสงค์ของนโยบายนะ
ไทยเราจะเอาชื่อเสียงอะไรกับเรื่องแบบนี้
ที่มีเดิมพันเป็นหนี้มหาศาลของคนทั้งประเทศไปอีกยาวนาน
ฟังแล้ว..เหตุผลยังไม่ผ่านครับ
ปัญหาของนโยบายสิบพัน จนถึงปัจจุบันนี้..น่าจะมาจาก
การขาดการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ในรายละเอียดของนโยบาย
สู่สาธารณะ ทำให้มีหลายฝ่ายคาดเดาทิศทางที่จะดำเนินการไม่ถูกว่า
รัฐบาลจะเอายังไงกันแน่
ส่วนปัญหาของการขาดการสื่อสาร ..น่าจะมาจาก
รัฐบาลเองก็ยังสรุปไม่ลงตัวว่าจะเอายังไงกันแน่
และปัญหาของการที่ยังสรุปไม่ลงตัว..น่าจะมาจาก
ไม่ได้ทำการศึกษามาอย่างรอบด้าน
ว่าจะเอาเงินมาจากไหน ภายใต้ข้อจำกัดมากมาย
ดังที่ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพ ทยอยออกมาแสดงความคิดเห็นกันเต็มไปหมด
หากการแจกเงินสิบพัน สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้
สามารถทำให้คนลืมตาอ้าปากได้จริง
ก็น่าแปลกใจที่รัฐบาลทั่วโลก มัวไปงมโข่งอยู่ที่ไหน
นักวิชาการไปเสียเวลาร่ำเรียน เสียเวลาทำงานวิจัยหลายๆปีกันทำไม
เพราะมันเป็นแค่ปัญหา เส้นผมบังภูเขาเท่านั้น..
อันที่จริง..นโยบายนี้ก็อาจช่วยให้เกิดการลงทุนเล็กๆได้
ถ้าในครอบครัว หรือหลายครอบครัว หรือคนในชุมชน
รวมเงินกันได้ แล้วนำไปลงทุนอะไรสักอย่าง
ถ้าเป็นอย่างนี้.,ก็อาจช่วยให้ลืมตาอ้าปากได้บ้าง
ในท้ายที่สุด..
รัฐบาลก็ต้องเดินหน้าลูกเดียว ไม่ถอยแน่นอน
แต่น่าจะประนีประนอมในบางเงื่อนไข เพื่อลดแรงเสียดทานลงบ้าง เช่น..
•การจำกัดกลุ่มที่จะได้รับเงินให้แคบลง
ซึ่งก็ต้องควานหากลุ่มที่คิดว่าเหมาะสม
และสอดคล้องกับเม็ดเงินที่จะหามาได้
เป็นการยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัว
ตัวแรกคือ...ดูเหมือนถอย แต่ที่แท้หาเงินไม่พอ
ตัวที่สองคือ..ดูเหมือนฟังคำแนะนำจากเสียงคัดค้านบ้าง ไม่เอาแต่ใจ
แต่ยังมีผลพลอยได้ เป็นนกตัวที่สามคือ..ลดความเสียหายลง หากไม่เป็นไปตามคากการณ์
•การขยายขอบเขตพื้นที่การใช้เงินเป็น อำเภอ จังหวัด เป็นต้น
•การเอาเงินมาจากธนาคารหลายๆแห่ง แทนที่จะไปมุ่งแต่ธนาคารออมสินเพียงแห่งเดียว
ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตามในการผลักดันนโยบายนี้..
ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า..คนบางส่วนย่อมคิดได้ว่ามีเหตุผลทางการเมืองอยู่ด้วย..
น่าจะถึงเวลาแล้ว..
ทึ่ทั้งนักวิชาการนอกรัฐบาล กับนักวิชาการของพรรคการเมือง
จะมานั่งดีเบตกัน ให้ประชาชนได้เห็นเหตุผลของทั้งสองฝ่ายกันอย่างครบถ้วนหรือยังครับ?