ขณะกำลังขับรถอยู่ ผมดันคิดถึงแต่เรื่องของพ่อ
จนถึงขั้นทำให้ผมขับต่อไปไม่ได้ จึงต้องพักกินกาแฟ
ที่ร้านอเมซอนในปั้มก่อน
จะว่าไป สิ่งที่ผมกำลังจะทำ ผมก็ไม่แน่ใจนะว่ามันทำได้
มันเป็นทฤษฎีที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากบางสิ่งบางอย่าง
จนมาถึงนิยายเรื่องวิมานมายาในพันทิป
พ่อเคยเล่าว่าเรื่องแปลก ๆ ที่พ่อเผชิญ เริ่มมาจาก
ตอนจบปริญญาตรี พ่อกำลังคิดเรียนต่อปริญญาโท
ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
พ่อเรียนปริญญาตรีปี 2532-2535 แสดงว่าตอนนั้น
พ่อกำลังจะเตรียมเรียนปริญญาโทในปีการศึกษา 2536
แต่พ่อตัดสินใจลำบากว่าจะเลือกสาขาใดดีระหว่าง
สัตววิทยากับพฤกษศาสตร์
ตอนนั้นพ่อสนิทกับอาจารย์ที่สาขาพฤกษศาสตร์
แต่ปัญหาคือพ่อสอบตกพฤกษศาสตร์ แต่ทำคะแนนทางสัตววิทยาได้ดี
สิ่งที่พ่อกลัวไม่ใช่อะไรหรอก พ่อไม่อยากฆ่าสัตว์
แต่สุดท้ายพ่อก็สอบติดปริญญาโท สาขาสัตววิทยา ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
ที่น่าแปลกอีกอย่าง เขามีให้เลือกทำวิทยานิพนธ์ตั้งหลายอย่าง
พ่อก็เลือกทำทางด้านสรีรวิทยาเพราะพ่อค่อนข้างถนัด
แต่มันก็ต้องใช้หนูทดลองเยอะ เลยมาถึงจุดที่ว่าไม่อยากฆ่าก็ต้องฆ่า
อาจารย์ที่ปรึกษาของพ่อมักจะถามพ่อเสมอว่าไหวไหมที่จะต้องฆ่าหนูเยอะ ๆ
พ่อก็บอกว่าไหว อาจารย์เขาดีมาก และพ่อก็ไหวจริง ๆ
จุดเปลี่ยนก็คือมีอาจารย์อีกสาขาหนึ่งต้องการหัวหนูไปใช้
พ่อก็เต็มใจให้บริการ หัวหนูที่อาจารย์ท่านนั้นต้องการคือหัวหนู rat ไม่ใช่หัวหนู mice
หนู rat จะตัวใหญ่หน่อย ส่วนหนู mice จะตัวเล็ก
สิ่งที่พ่อทำคือเอาหนู rat แต่ละตัวใส่โถยาสลบ แล้วให้ยาสลบแบบ overdose จนมันตาย
หลังจากนั้นจึงเอาศพมันไปตัดหัว ที่เรือนสัตว์ทดลองมีเครื่องกิลโยตินสำหรับตัดหัวหนู
พ่อไม่อยากรบกวนหนูที่จุฬาฯ จึงทำการสั่งจากสำนักสัตว์ทดลอง มหาวิทยาลัยมหิดล
ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะขายหนู rat ตัวละ 25 บาท พ่อก็สั่งมาหลายตัวเพื่อการนี้
จุดพีคเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์คนนั้นพูดว่า ให้ตัดหัวหนูแบบไม่ใช้ยาสลบ
อันนี้คือพีคในพีคเลย พ่อเคยเล่าว่าการที่จะจับหนูตัวนึง
แล้วยัดหัวของมันใส่ไปในเครื่องกิลโยตินนั้น ยากมาก
เพราะหนูมันไม่ยอม มันจะหดหัวจนสุดชีวิตเพื่อหนีช่องประหาร
หนูบางตัว ถ้าดุหน่อยก็จะกัดนิ้วพ่อด้วย การตัดหัวหนูแบบนี้แค่ตัวเดียวก็ยุ่งยากมาก
แต่อาจารย์คนนั้นต้องการหัวหนูเป็นร้อย ๆ ตัว
ด้วยความกลัวของหนู หนูจึงกัดมือพ่อหลายแห่ง พอตัดหัวหนูแบบนี้
เลือดมันจะนองเต็มไปหมด แล้วมันจะเห็นทั้งหัวหนูที่อยู่ในถุงพลาสติกใสใบใหญ่
กับซากของตัวหนูที่กองเป็นภูเขา ตอนนั้นพ่อเกิดความเครียดแบบฉับพลัน
จนรู้สึกว่าจิตใจล่มสลาย พ่อบอกว่าสภาพจิตใจล่มสลายอย่างสมบูรณ์เมื่อตัดหัวหนูตัวที่ 100
ตอนนั้นอาการพ่อย่ำแย่ถึงขีดสุด หลังจากออกจากเรือนหนู
พ่อเดินเหมือนร่างไร้วิญญาณ พ่อบอกว่าโชคดีมากที่เจอพระรูปหนึ่งยืนอยู่นอกรั้วจุฬาฯ
(เรือนหนูอยู่ใกล้รั้วมาก)
เหมือนพระส่งกระแสจิตให้พ่อเดินตามไป พ่อเดินไปทางมาบุญครอง
แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปตรงสนามกีฬาแห่งชาติ และข้ามถนนไปที่วัดบรมนิวาส
ตอนนั้นพ่อบอกว่าจำไม่ได้เลยว่าข้ามถนนไปได้อย่างไร
พ่อเดินจนมาล้มที่หน้ากุฏิหลังหนึ่งในวัดบรมนิวาส
แล้วพ่อก็อยู่ที่นั่น แน่นอนว่ามีคนออกตามหาพ่อกันเยอะ
เพราะพ่อไม่ได้กลับบ้านและไม่ได้ไปทำ lab ที่จุฬาฯ
ตอนพ่อเล่าเรื่องการที่คนตามหา ดูพ่อก็สับสน
เอาเป็นว่าสุดท้ายก็มาเจอว่าพ่ออยู่ที่นี่
ตอนนั้นประมาณปี 2538
ผมลืมเล่าไปว่าพระที่พาพ่อมา สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน
อยู่ดี ๆ ก็หายไปเฉย ๆ อย่างไร้ร่องรอย
พีคในพีคอีกเรื่องก็คือวันหนึ่ง ไม่มีพายุอะไร พ่อดันเดินออกจากกุฏิ
แล้วมีฟ้าผ่าเกิดขึ้น แล้วพ่อล้มลง ตอนแรกคนแถวนั้นนึกว่าฟ้าผ่าพ่อ
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พ่อเลย แต่พ่อเล่าว่าเหมือนมีใครบางคนมานั่งลงข้างพ่อ
แล้วเอามือมาสัมผัสที่หน้าผาก หลังจากนั้นพ่อก็หายดี
เรื่องนี้ prove ยากมาก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น พอพ่อกลับไปที่จุฬาฯ
จริง ๆ พ่อก็ยังเป็นพ่อคนเดิม แถมดูดีขึ้นมาก แต่บางครั้งพ่อเขียน model แปลก ๆ
แล้วก็หันมาสนใจเรื่องทางศาสนามากขึ้น แต่เป็นศาสนาเชิงวิเคราะห์
ทางอาจารย์หลายท่านคุยกันว่าพ่อควรจะอยู่ต่อไหม หรือควรโดนรีไทร์
เวลาก็เหลือน้อย จะซ่อม lab ทันไหม
แต่มีท่านหนึ่งที่พ่อบอกว่ามี empathy สูงมาก ก็คือหัวหน้าภาควิชาชีววิทยาในสมัยนั้น
ท่านเป็นอาจารย์จุฬาฯที่เก่งมาก ๆ ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มี empathy สูงจริง ๆ
ท่านบอกทุกคนว่าศักดายังมีเวลา lab มันซ่อมได้ และที่สำคัญที่สุด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา
พ่อจึงกลับมาทำ lab อีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อทำด้วยก็คือการไปนั่งอ่านหนังสือและคิดไคร่ครวญ
อะไรต่าง ๆ ที่ห้องใต้ดินตึกชีวะ 1 ตอนดึก ๆ หลายคนงงว่าพ่อจะไปนั่งทำไม
ตอนนั้นพ่อเล่าว่าพ่อเริ่มอ่านหนังสือทางเทววิทยาอย่างมีระบบ
แต่ฟังแล้ว มันมักจะเป็นระบบของพ่อเอง แน่นอนว่าจะมีคนนินทาว่าพ่อเพี้ยน
ตอนนั้นพ่อกำลังคิดจะต่อปริญญาโทอีกใบ พ่อบอกกับผมเสมอว่า
พ่อไม่อยากมือเปื้อนเลือดอีก แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะต่อสาขาไหนดี
จนวันหนึ่งมีคนมาส่งวารสาร Scientific American ที่ lab พ่อ
ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นการส่งผิด ฉบับนั้นเป็นฉบับพิเศษเรื่อง mind and brain
ซึ่งพ่อสนใจมาก 80% ของเล่มจะเกี่ยวข้องกับสรีรวิทยาระบบประสาท
อีก 20% จะเป็นเรื่องของปรัชญาจิต นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้พ่อรู้จักกับปรัชญาวิเคราะห์
พ่อจึงตัดสินใจจะสอบเข้าปริญญาโท สาขาปรัชญา ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ
แต่อุปสรรคก็เกิดขึ้นอีก เพราะวันที่ต้องไปสอบเข้านั้น จะเกิดขึ้นก่อนวันที่พ่อ
ต้องซ่อม lab และสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ เรื่องนี้ทำให้พ่อเครียดขึ้นมาอีก
เพราะเหลือเวลาอีกแค่สองสัปดาห์ก็จะต้องไปสอบเข้าปรัชญาแล้ว
แต่สองสัปดาห์นั้นก็ต้องซ่อม lab ไปด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ
เรื่องนี้ทำให้พ่อเครียดมาก
และวันที่พ่อประทับใจที่สุดก็คือวันที่พ่ออยู่ในห้อง lab กำลังกลุ้ม
ท่านหัวหน้าภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ลงมาที่ lab ด้วยตนเอง ทุกคนในห้อง lab ตกใจกันมากที่ท่านลงมาเอง
"ศักดาอยู่ไหน" นั่นคือคำพูดแรกของท่าน
พอท่านเจอพ่อ ท่านจึงพูดว่า "ผมเลื่อน lab ให้คุณแล้วนะ สองสัปดาห์นี้
ศักดาไม่ต้องทำอะไรนะ อ่านหนังสือให้เต็มที่ จะได้สอบเข้าได้
ผมไปถามเพื่อนที่อักษรมาให้ เขาบอกให้อ่านสามเล่มนี้ (หมายเหตุ
หนังสือสามเล่มนี้ ทางคณะอักษรฯได้แจ้งทุกคนเท่าเทียมกันหมดว่าจะใช้สามเล่มนี้)
จะเอาปริญญาใบนั้น ก็ต้องเอาใบนี้ด้วยนะ อย่าลืมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ"
พ่อเล่าว่าหลังจากท่านไปแล้ว พ่อไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำด้วยความตื้นตัน
สมัยนั้น ข้อสอบประมาณ 70% เป็นข้อสอบตรรกวิทยา ซึ่งพ่อถนัดมาก
วันที่ไปสอบพ่อตกใจมากเพราะวันนั้นมีคนมาสอบเกินร้อย แต่รับ 10 คนเอง
พ่อมารู้ภายหลังว่าข้อสอบตรรกวิทยานั้น ผู้ออกข้อสอบกะออกไม่ให้มีใครทำทัน
แต่พ่อทำเสร็จก่อนเวลา
วันประกาศผล พ่อไปดูที่บอร์ดที่คณะอักษรฯ ปรากฏว่ามีคนสอบติดแค่ 8 คน
พ่อไล่ชื่อจากลำดับที่ 8 ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงลำดับที่ 3 แล้ว ยังไม่มีชื่อพ่ออีก
พ่อเริ่มใจไม่ดี แต่ปรากฏว่าพ่อสอบได้ที่ 1 พ่อก็เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำด้วยความตื้นตัน
จาก 8 คนนั้น สุดท้ายมีคนจบทั้งหมด 3 คน
อุปสรรคยังไม่หมด lab สุดท้ายที่พ่อต้องซ่อม พ่อต้องใช้ห้องผ่าตัดสัตว์ในเรือนหนู
แต่คุณจรูญเจ้าหน้าที่ดูแลเรือนหนูไม่อนุญาตให้พ่อเข้าไปทำ lab แกอ้างว่าหมดเวลาแล้ว
ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันยังมีเวลาอยู่
ตอนนั้นพ่อทำใจแล้วว่าเรียนไม่จบแน่ แต่ก็ไม่เป็นไร แต่เช้าวันหนึ่งมีคนโทรมาหาพ่อ
"คุณจรูญตายแล้วนะ แกล้มลงตอนรีดเสื้อ หมอบอกว่าแกเส้นเลือดในสมองแตกแบบเฉียบพลัน
มีคนทุบกุญแจห้องผ่าตัดสัตว์ในเรือนหนูให้แล้ว รีบมาทำ lab ให้มันเสร็จ ๆ"
พ่อเองไม่ลืมที่จะไปงานศพคุณจรูญ ถ้าจำไม่ผิด จัดขึ้นที่วัดธาตุทอง
วันนั้นพอพ่อก้าวเท้าเข้าไปในวัด ฝนก็ตกหนักมาก พายุมาแบบหนักมาก
พ่อไปกราบศพและขออโหสิกรรม วันนั้นพ่ออ้างว่าเป็นครั้งแรกที่พ่อเห็นเทพ
ในงานศพของคุณจรูญ
อุปสรรคสุดท้ายคือการส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ที่บัณฑิตวิทยาลัย
วันนั้นคนเข้าเล่มดันเข้าผิด เลยต้องใช้เวลาแก้นานมาก
ที่สำคัญวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ต้องส่ง
ตอนนั้นสองทุ่มแล้ว คุณลุงเจ้าหน้าที่ของบัณฑิตวิทยาลัยยังรออยู่
น้องผู้หญิงทักขึ้น "กลับบ้านเถอะลุง ดึกแล้ว"
"สังหรณ์ว่าเดี๋ยวจะมีคนมาส่งอีก หนูกลับไปเถอะ ลุงรอคนเดียวได้"
กว่าพ่อจะไปถึงก็เกือบสามทุ่ม พ่อบอกว่าคุณลุงคนนี้ก็ empathy สูงมาก
พอเห็นพ่อไป เขาก็ยิ้ม แล้วประทับตราให้เป็นอย่างดี
จนในท้ายที่สุดพ่อก็จบจนได้ พ่อใช้ปริญญาโทใบนี้สมัครทำงานเป็นติวเตอร์
ในวันเสาร์-อาทิตย์ ถึงจะจบทางชีวะ แต่พ่อดันเป็นติวเตอร์ทางเคมี
ช่วงนั้นติวเตอร์เคมีหายาก พ่อเป็นติวเตอร์มาประมาณ 25 ปี จึงเลิกทำงานวันเสาร์-อาทิตย์
ส่วนงานประจำในวันจันทร์-ศุกร์นั้น ห้องทำงานของพ่อช่างน่าสนใจ
โต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พ่อเคารพนับถือ
แน่นอนว่าต้องมีคนแอบนินทาว่าพ่อเพี้ยน

ผมเองเท่าที่ฟังพ่อเล่าเรื่องต่าง ๆ มา ตอนแรก ผมก็ไม่เชื่อเลย
จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี 54
ปี 54 ที่น้ำท่วมกรุงเทพหนักมาก จนผมต้องย้ายไปอยู่บ้านเพื่อน
วันนั้น ทุกคนไปต่างจังหวัดกันหมด
ผมอยู่ชั้นล่าง ตอนนั้นค่ำแล้ว ผม lock ประตูทุกบานแล้ว
และก็มานั่งอ่านหนังสือ จนเหนื่อย ผมจึงลงนอนที่พื้นแล้วก็เผลอหลับไป
ผมตื่นมาอีกทีน่าจะประมาณตี 1 จากนอนอยู่ก็ลุกขึ้นมานั่งบนพื้น
ถัดไปประมาณสองเมตร ผมเห็นคนยืนอยู่
เป็นผู้ชายหนุ่ม หน้าตาดี หันข้างให้ผม ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นผี
และเนื่องจากผมไม่กลัวผี ผมจึงนั่งมองเขาประมาณ 5 นาที
ถึงจะอ้างว่าไม่กลัวผี แต่ผมก็ไม่ลุกขึ้นยืน แสดงว่าความกลัว
น่าจะยังมีอยู่
ตอนนั้นในหัวยังคิดว่าเป็นผี ถึงไม่กลัว แต่พอครบ 5 นาที
เขายังไม่หายไปสักที ผมก็เลยเริ่มกลัว จึงนั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้เขา
หลังจากนั้น 30 นาที พอลืมตาขึ้น เขาก็หายไป
พอย้อนกลับมาคิด เขาน่าจะไม่ใช่ผี ดูแล้วก็ไม่น่ามาหลอก
ดูตามรูปการแล้ว อาจเป็นเทพก็ได้
ผมตัดสินใจขับรถอีกครั้ง จนไปถึงวัดโบราณแห่งนั้น
แต่คนในวัดบอกว่าหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่บนเขา
ถ้าปีนได้ ก็ปีนไปหาได้ ผมปีนเขาไปตามทางที่เขามีเชือกให้จับ
แต่พอจะขึ้นถึงยอด ดันหมดแรงกะทันหัน
แต่เหมือนมีใครสักคนมาดึงมือผมขึ้นไป
พอขึ้นไป ผมก็ตามหาหลวงพ่อจนเจอ
ผมถามว่าบนนี้มีหลวงพ่อกับชายคนนั้นแค่สองคนเหรอครับ
หลวงพ่อกลับตอบว่ามีท่านคนเดียว
ผมเล่าให้ท่านฟังคร่าว ๆ ว่าผมตั้งใจจะถอดจิต
และออกเดินทางจากจักรวาลที่ 452 ไปถึง 971
จะมาขอรับคำแนะนำต่าง ๆ
หลวงพ่อติงว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำ มันพิสดารเกินไป
ไม่มีใครในโลกเขาทำกันและมันอันตรายมาก
แต่ถ้าจะทำจริง ๆ ต้องมีสติให้มาก
ถ้าทำได้และไปถึงจริง ๆ ก่อนไปถึงต้องระวังมาก ๆ
เพราะระหว่างนั้นจะระลึกชาติได้ทั้งหมด
ถ้าทนกับสิ่งที่เห็นและถาโถมเข้ามาไม่ได้ อาจตายระหว่างทาง
วิมานมายา โดย ศักดา ตอนที่ 190 เส้นทางของศักดาและ ดร.ศักดิ์สิทธิ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจนถึงใจกลางจักรวาล
จนถึงขั้นทำให้ผมขับต่อไปไม่ได้ จึงต้องพักกินกาแฟ
ที่ร้านอเมซอนในปั้มก่อน
จะว่าไป สิ่งที่ผมกำลังจะทำ ผมก็ไม่แน่ใจนะว่ามันทำได้
มันเป็นทฤษฎีที่ก่อร่างสร้างตัวมาจากบางสิ่งบางอย่าง
จนมาถึงนิยายเรื่องวิมานมายาในพันทิป
พ่อเคยเล่าว่าเรื่องแปลก ๆ ที่พ่อเผชิญ เริ่มมาจาก
ตอนจบปริญญาตรี พ่อกำลังคิดเรียนต่อปริญญาโท
ณ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
พ่อเรียนปริญญาตรีปี 2532-2535 แสดงว่าตอนนั้น
พ่อกำลังจะเตรียมเรียนปริญญาโทในปีการศึกษา 2536
แต่พ่อตัดสินใจลำบากว่าจะเลือกสาขาใดดีระหว่าง
สัตววิทยากับพฤกษศาสตร์
ตอนนั้นพ่อสนิทกับอาจารย์ที่สาขาพฤกษศาสตร์
แต่ปัญหาคือพ่อสอบตกพฤกษศาสตร์ แต่ทำคะแนนทางสัตววิทยาได้ดี
สิ่งที่พ่อกลัวไม่ใช่อะไรหรอก พ่อไม่อยากฆ่าสัตว์
แต่สุดท้ายพ่อก็สอบติดปริญญาโท สาขาสัตววิทยา ที่คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ
ที่น่าแปลกอีกอย่าง เขามีให้เลือกทำวิทยานิพนธ์ตั้งหลายอย่าง
พ่อก็เลือกทำทางด้านสรีรวิทยาเพราะพ่อค่อนข้างถนัด
แต่มันก็ต้องใช้หนูทดลองเยอะ เลยมาถึงจุดที่ว่าไม่อยากฆ่าก็ต้องฆ่า
อาจารย์ที่ปรึกษาของพ่อมักจะถามพ่อเสมอว่าไหวไหมที่จะต้องฆ่าหนูเยอะ ๆ
พ่อก็บอกว่าไหว อาจารย์เขาดีมาก และพ่อก็ไหวจริง ๆ
จุดเปลี่ยนก็คือมีอาจารย์อีกสาขาหนึ่งต้องการหัวหนูไปใช้
พ่อก็เต็มใจให้บริการ หัวหนูที่อาจารย์ท่านนั้นต้องการคือหัวหนู rat ไม่ใช่หัวหนู mice
หนู rat จะตัวใหญ่หน่อย ส่วนหนู mice จะตัวเล็ก
สิ่งที่พ่อทำคือเอาหนู rat แต่ละตัวใส่โถยาสลบ แล้วให้ยาสลบแบบ overdose จนมันตาย
หลังจากนั้นจึงเอาศพมันไปตัดหัว ที่เรือนสัตว์ทดลองมีเครื่องกิลโยตินสำหรับตัดหัวหนู
พ่อไม่อยากรบกวนหนูที่จุฬาฯ จึงทำการสั่งจากสำนักสัตว์ทดลอง มหาวิทยาลัยมหิดล
ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดน่าจะขายหนู rat ตัวละ 25 บาท พ่อก็สั่งมาหลายตัวเพื่อการนี้
จุดพีคเกิดขึ้นเมื่ออาจารย์คนนั้นพูดว่า ให้ตัดหัวหนูแบบไม่ใช้ยาสลบ
อันนี้คือพีคในพีคเลย พ่อเคยเล่าว่าการที่จะจับหนูตัวนึง
แล้วยัดหัวของมันใส่ไปในเครื่องกิลโยตินนั้น ยากมาก
เพราะหนูมันไม่ยอม มันจะหดหัวจนสุดชีวิตเพื่อหนีช่องประหาร
หนูบางตัว ถ้าดุหน่อยก็จะกัดนิ้วพ่อด้วย การตัดหัวหนูแบบนี้แค่ตัวเดียวก็ยุ่งยากมาก
แต่อาจารย์คนนั้นต้องการหัวหนูเป็นร้อย ๆ ตัว
ด้วยความกลัวของหนู หนูจึงกัดมือพ่อหลายแห่ง พอตัดหัวหนูแบบนี้
เลือดมันจะนองเต็มไปหมด แล้วมันจะเห็นทั้งหัวหนูที่อยู่ในถุงพลาสติกใสใบใหญ่
กับซากของตัวหนูที่กองเป็นภูเขา ตอนนั้นพ่อเกิดความเครียดแบบฉับพลัน
จนรู้สึกว่าจิตใจล่มสลาย พ่อบอกว่าสภาพจิตใจล่มสลายอย่างสมบูรณ์เมื่อตัดหัวหนูตัวที่ 100
ตอนนั้นอาการพ่อย่ำแย่ถึงขีดสุด หลังจากออกจากเรือนหนู
พ่อเดินเหมือนร่างไร้วิญญาณ พ่อบอกว่าโชคดีมากที่เจอพระรูปหนึ่งยืนอยู่นอกรั้วจุฬาฯ
(เรือนหนูอยู่ใกล้รั้วมาก)
เหมือนพระส่งกระแสจิตให้พ่อเดินตามไป พ่อเดินไปทางมาบุญครอง
แล้วเลี้ยวซ้าย เดินไปตรงสนามกีฬาแห่งชาติ และข้ามถนนไปที่วัดบรมนิวาส
ตอนนั้นพ่อบอกว่าจำไม่ได้เลยว่าข้ามถนนไปได้อย่างไร
พ่อเดินจนมาล้มที่หน้ากุฏิหลังหนึ่งในวัดบรมนิวาส
แล้วพ่อก็อยู่ที่นั่น แน่นอนว่ามีคนออกตามหาพ่อกันเยอะ
เพราะพ่อไม่ได้กลับบ้านและไม่ได้ไปทำ lab ที่จุฬาฯ
ตอนพ่อเล่าเรื่องการที่คนตามหา ดูพ่อก็สับสน
เอาเป็นว่าสุดท้ายก็มาเจอว่าพ่ออยู่ที่นี่
ตอนนั้นประมาณปี 2538
ผมลืมเล่าไปว่าพระที่พาพ่อมา สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร มาจากไหน
อยู่ดี ๆ ก็หายไปเฉย ๆ อย่างไร้ร่องรอย
พีคในพีคอีกเรื่องก็คือวันหนึ่ง ไม่มีพายุอะไร พ่อดันเดินออกจากกุฏิ
แล้วมีฟ้าผ่าเกิดขึ้น แล้วพ่อล้มลง ตอนแรกคนแถวนั้นนึกว่าฟ้าผ่าพ่อ
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้พ่อเลย แต่พ่อเล่าว่าเหมือนมีใครบางคนมานั่งลงข้างพ่อ
แล้วเอามือมาสัมผัสที่หน้าผาก หลังจากนั้นพ่อก็หายดี
เรื่องนี้ prove ยากมาก ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แต่เหตุการณ์หลังจากนั้น พอพ่อกลับไปที่จุฬาฯ
จริง ๆ พ่อก็ยังเป็นพ่อคนเดิม แถมดูดีขึ้นมาก แต่บางครั้งพ่อเขียน model แปลก ๆ
แล้วก็หันมาสนใจเรื่องทางศาสนามากขึ้น แต่เป็นศาสนาเชิงวิเคราะห์
ทางอาจารย์หลายท่านคุยกันว่าพ่อควรจะอยู่ต่อไหม หรือควรโดนรีไทร์
เวลาก็เหลือน้อย จะซ่อม lab ทันไหม
แต่มีท่านหนึ่งที่พ่อบอกว่ามี empathy สูงมาก ก็คือหัวหน้าภาควิชาชีววิทยาในสมัยนั้น
ท่านเป็นอาจารย์จุฬาฯที่เก่งมาก ๆ ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็มี empathy สูงจริง ๆ
ท่านบอกทุกคนว่าศักดายังมีเวลา lab มันซ่อมได้ และที่สำคัญที่สุด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของเขา
พ่อจึงกลับมาทำ lab อีกครั้ง แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อทำด้วยก็คือการไปนั่งอ่านหนังสือและคิดไคร่ครวญ
อะไรต่าง ๆ ที่ห้องใต้ดินตึกชีวะ 1 ตอนดึก ๆ หลายคนงงว่าพ่อจะไปนั่งทำไม
ตอนนั้นพ่อเล่าว่าพ่อเริ่มอ่านหนังสือทางเทววิทยาอย่างมีระบบ
แต่ฟังแล้ว มันมักจะเป็นระบบของพ่อเอง แน่นอนว่าจะมีคนนินทาว่าพ่อเพี้ยน
ตอนนั้นพ่อกำลังคิดจะต่อปริญญาโทอีกใบ พ่อบอกกับผมเสมอว่า
พ่อไม่อยากมือเปื้อนเลือดอีก แต่ยังคิดไม่ออกว่าจะต่อสาขาไหนดี
จนวันหนึ่งมีคนมาส่งวารสาร Scientific American ที่ lab พ่อ
ซึ่งมาทราบภายหลังว่าเป็นการส่งผิด ฉบับนั้นเป็นฉบับพิเศษเรื่อง mind and brain
ซึ่งพ่อสนใจมาก 80% ของเล่มจะเกี่ยวข้องกับสรีรวิทยาระบบประสาท
อีก 20% จะเป็นเรื่องของปรัชญาจิต นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้พ่อรู้จักกับปรัชญาวิเคราะห์
พ่อจึงตัดสินใจจะสอบเข้าปริญญาโท สาขาปรัชญา ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ
แต่อุปสรรคก็เกิดขึ้นอีก เพราะวันที่ต้องไปสอบเข้านั้น จะเกิดขึ้นก่อนวันที่พ่อ
ต้องซ่อม lab และสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ เรื่องนี้ทำให้พ่อเครียดขึ้นมาอีก
เพราะเหลือเวลาอีกแค่สองสัปดาห์ก็จะต้องไปสอบเข้าปรัชญาแล้ว
แต่สองสัปดาห์นั้นก็ต้องซ่อม lab ไปด้วย จะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือ
เรื่องนี้ทำให้พ่อเครียดมาก
และวันที่พ่อประทับใจที่สุดก็คือวันที่พ่ออยู่ในห้อง lab กำลังกลุ้ม
ท่านหัวหน้าภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ได้ลงมาที่ lab ด้วยตนเอง ทุกคนในห้อง lab ตกใจกันมากที่ท่านลงมาเอง
"ศักดาอยู่ไหน" นั่นคือคำพูดแรกของท่าน
พอท่านเจอพ่อ ท่านจึงพูดว่า "ผมเลื่อน lab ให้คุณแล้วนะ สองสัปดาห์นี้
ศักดาไม่ต้องทำอะไรนะ อ่านหนังสือให้เต็มที่ จะได้สอบเข้าได้
ผมไปถามเพื่อนที่อักษรมาให้ เขาบอกให้อ่านสามเล่มนี้ (หมายเหตุ
หนังสือสามเล่มนี้ ทางคณะอักษรฯได้แจ้งทุกคนเท่าเทียมกันหมดว่าจะใช้สามเล่มนี้)
จะเอาปริญญาใบนั้น ก็ต้องเอาใบนี้ด้วยนะ อย่าลืมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของคุณ"
พ่อเล่าว่าหลังจากท่านไปแล้ว พ่อไปนั่งร้องไห้ในห้องน้ำด้วยความตื้นตัน
สมัยนั้น ข้อสอบประมาณ 70% เป็นข้อสอบตรรกวิทยา ซึ่งพ่อถนัดมาก
วันที่ไปสอบพ่อตกใจมากเพราะวันนั้นมีคนมาสอบเกินร้อย แต่รับ 10 คนเอง
พ่อมารู้ภายหลังว่าข้อสอบตรรกวิทยานั้น ผู้ออกข้อสอบกะออกไม่ให้มีใครทำทัน
แต่พ่อทำเสร็จก่อนเวลา
วันประกาศผล พ่อไปดูที่บอร์ดที่คณะอักษรฯ ปรากฏว่ามีคนสอบติดแค่ 8 คน
พ่อไล่ชื่อจากลำดับที่ 8 ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงลำดับที่ 3 แล้ว ยังไม่มีชื่อพ่ออีก
พ่อเริ่มใจไม่ดี แต่ปรากฏว่าพ่อสอบได้ที่ 1 พ่อก็เข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำด้วยความตื้นตัน
จาก 8 คนนั้น สุดท้ายมีคนจบทั้งหมด 3 คน
อุปสรรคยังไม่หมด lab สุดท้ายที่พ่อต้องซ่อม พ่อต้องใช้ห้องผ่าตัดสัตว์ในเรือนหนู
แต่คุณจรูญเจ้าหน้าที่ดูแลเรือนหนูไม่อนุญาตให้พ่อเข้าไปทำ lab แกอ้างว่าหมดเวลาแล้ว
ทั้งที่จริง ๆ แล้วมันยังมีเวลาอยู่
ตอนนั้นพ่อทำใจแล้วว่าเรียนไม่จบแน่ แต่ก็ไม่เป็นไร แต่เช้าวันหนึ่งมีคนโทรมาหาพ่อ
"คุณจรูญตายแล้วนะ แกล้มลงตอนรีดเสื้อ หมอบอกว่าแกเส้นเลือดในสมองแตกแบบเฉียบพลัน
มีคนทุบกุญแจห้องผ่าตัดสัตว์ในเรือนหนูให้แล้ว รีบมาทำ lab ให้มันเสร็จ ๆ"
พ่อเองไม่ลืมที่จะไปงานศพคุณจรูญ ถ้าจำไม่ผิด จัดขึ้นที่วัดธาตุทอง
วันนั้นพอพ่อก้าวเท้าเข้าไปในวัด ฝนก็ตกหนักมาก พายุมาแบบหนักมาก
พ่อไปกราบศพและขออโหสิกรรม วันนั้นพ่ออ้างว่าเป็นครั้งแรกที่พ่อเห็นเทพ
ในงานศพของคุณจรูญ
อุปสรรคสุดท้ายคือการส่งวิทยานิพนธ์ฉบับสมบูรณ์ที่บัณฑิตวิทยาลัย
วันนั้นคนเข้าเล่มดันเข้าผิด เลยต้องใช้เวลาแก้นานมาก
ที่สำคัญวันนั้นเป็นวันสุดท้ายที่ต้องส่ง
ตอนนั้นสองทุ่มแล้ว คุณลุงเจ้าหน้าที่ของบัณฑิตวิทยาลัยยังรออยู่
น้องผู้หญิงทักขึ้น "กลับบ้านเถอะลุง ดึกแล้ว"
"สังหรณ์ว่าเดี๋ยวจะมีคนมาส่งอีก หนูกลับไปเถอะ ลุงรอคนเดียวได้"
กว่าพ่อจะไปถึงก็เกือบสามทุ่ม พ่อบอกว่าคุณลุงคนนี้ก็ empathy สูงมาก
พอเห็นพ่อไป เขาก็ยิ้ม แล้วประทับตราให้เป็นอย่างดี
จนในท้ายที่สุดพ่อก็จบจนได้ พ่อใช้ปริญญาโทใบนี้สมัครทำงานเป็นติวเตอร์
ในวันเสาร์-อาทิตย์ ถึงจะจบทางชีวะ แต่พ่อดันเป็นติวเตอร์ทางเคมี
ช่วงนั้นติวเตอร์เคมีหายาก พ่อเป็นติวเตอร์มาประมาณ 25 ปี จึงเลิกทำงานวันเสาร์-อาทิตย์
ส่วนงานประจำในวันจันทร์-ศุกร์นั้น ห้องทำงานของพ่อช่างน่าสนใจ
โต๊ะทำงานเต็มไปด้วยเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พ่อเคารพนับถือ
แน่นอนว่าต้องมีคนแอบนินทาว่าพ่อเพี้ยน
ผมเองเท่าที่ฟังพ่อเล่าเรื่องต่าง ๆ มา ตอนแรก ผมก็ไม่เชื่อเลย
จนเวลาล่วงเลยมาถึงปี 54
ปี 54 ที่น้ำท่วมกรุงเทพหนักมาก จนผมต้องย้ายไปอยู่บ้านเพื่อน
วันนั้น ทุกคนไปต่างจังหวัดกันหมด
ผมอยู่ชั้นล่าง ตอนนั้นค่ำแล้ว ผม lock ประตูทุกบานแล้ว
และก็มานั่งอ่านหนังสือ จนเหนื่อย ผมจึงลงนอนที่พื้นแล้วก็เผลอหลับไป
ผมตื่นมาอีกทีน่าจะประมาณตี 1 จากนอนอยู่ก็ลุกขึ้นมานั่งบนพื้น
ถัดไปประมาณสองเมตร ผมเห็นคนยืนอยู่
เป็นผู้ชายหนุ่ม หน้าตาดี หันข้างให้ผม ตอนนั้นผมคิดว่าเป็นผี
และเนื่องจากผมไม่กลัวผี ผมจึงนั่งมองเขาประมาณ 5 นาที
ถึงจะอ้างว่าไม่กลัวผี แต่ผมก็ไม่ลุกขึ้นยืน แสดงว่าความกลัว
น่าจะยังมีอยู่
ตอนนั้นในหัวยังคิดว่าเป็นผี ถึงไม่กลัว แต่พอครบ 5 นาที
เขายังไม่หายไปสักที ผมก็เลยเริ่มกลัว จึงนั่งสมาธิและแผ่เมตตาให้เขา
หลังจากนั้น 30 นาที พอลืมตาขึ้น เขาก็หายไป
พอย้อนกลับมาคิด เขาน่าจะไม่ใช่ผี ดูแล้วก็ไม่น่ามาหลอก
ดูตามรูปการแล้ว อาจเป็นเทพก็ได้
ผมตัดสินใจขับรถอีกครั้ง จนไปถึงวัดโบราณแห่งนั้น
แต่คนในวัดบอกว่าหลวงพ่อนั่งสมาธิอยู่บนเขา
ถ้าปีนได้ ก็ปีนไปหาได้ ผมปีนเขาไปตามทางที่เขามีเชือกให้จับ
แต่พอจะขึ้นถึงยอด ดันหมดแรงกะทันหัน
แต่เหมือนมีใครสักคนมาดึงมือผมขึ้นไป
พอขึ้นไป ผมก็ตามหาหลวงพ่อจนเจอ
ผมถามว่าบนนี้มีหลวงพ่อกับชายคนนั้นแค่สองคนเหรอครับ
หลวงพ่อกลับตอบว่ามีท่านคนเดียว
ผมเล่าให้ท่านฟังคร่าว ๆ ว่าผมตั้งใจจะถอดจิต
และออกเดินทางจากจักรวาลที่ 452 ไปถึง 971
จะมาขอรับคำแนะนำต่าง ๆ
หลวงพ่อติงว่าสิ่งที่ผมกำลังจะทำ มันพิสดารเกินไป
ไม่มีใครในโลกเขาทำกันและมันอันตรายมาก
แต่ถ้าจะทำจริง ๆ ต้องมีสติให้มาก
ถ้าทำได้และไปถึงจริง ๆ ก่อนไปถึงต้องระวังมาก ๆ
เพราะระหว่างนั้นจะระลึกชาติได้ทั้งหมด
ถ้าทนกับสิ่งที่เห็นและถาโถมเข้ามาไม่ได้ อาจตายระหว่างทาง