JJNY : ปชช.ไม่เชื่อมั่นตร.│พิธา ยกหูทูตอิสราเอล│ร้านอาหาร-ผับเชียงใหม่ กลุ่มผู้ค้านัดเคลื่อนไหว│อิสราเอลเตือนคนฉนวนกาซา

นิด้าโพล เผยปชช.ไม่เชื่อมั่นตร.ทำงานไม่โปร่งใส
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_624506/
 

นิด้าโพลเผยประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจ มองไม่โปรงใส
 
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “ประชาชนเชื่อมั่นตำรวจแค่ไหน?” ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 2-5 ตุลาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อตำรวจในด้านต่าง ๆ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงความเชื่อมั่นต่อตำรวจในด้านต่าง ๆ ดังนี้
 
1. ด้านการปฏิบัติงานอย่างเต็มที่และโปร่งใส
1.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด จริงจัง มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้และไม่เลือกปฏิบัติ พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 38.09 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 27.48 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 24.05 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 10.30 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 0.08 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
1.2 เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่คล้อยตามอิทธิพลหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่ผิดกฎหมาย พบว่า
ตัวอย่าง ร้อยละ 39.01 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 29.24 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 21.76 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 9.69 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 0.30 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ

2. ด้านการให้บริการและอำนวยความสะดวก
2.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี เช่น ช่วยเคลื่อนย้าย
หรือซ่อมแซมรถเสีย นำผู้ป่วย ผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 38.78 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 29.77 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ร้อยละ 19.16 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 11.30 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ 0.99 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
2.2 เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรสามารถควบคุมการจราจรให้เป็นระเบียบเรียบร้อย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 38.93 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.34 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ร้อยละ 21.53 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 12.82 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ 0.38 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
2.3 สถานีตำรวจให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกเป็นอย่างดี รวมถึงสามารถให้ความช่วยเหลือแนะนำทั้งด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.87 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 25.72 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 20.76 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ร้อยละ 14.05 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ 2.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
2.4 เจ้าหน้าที่ตำรวจมีบริการแจ้งความคืบหน้าในคดีแก่ผู้เสียหายภายในระยะเวลาที่เหมาะสม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.67
ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 29.08 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 22.83 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 10.46 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 4.96 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
3. ด้านความสามารถในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม
3.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจมีความสามารถในการใช้ระบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปฏิบัติงานและดำเนินคดี พบว่า ตัวอย่าง
ร้อยละ 36.57 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 26.41 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 20.00 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ร้อยละ 12.21 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ 4.81 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
3.2 ระบบในการรับแจ้งเหตุ และการตอบสนองของเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือประชาชน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 33.36 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 29.39 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 17.48 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 16.03 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 3.74 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
3.3 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถสืบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงทางคดีและจับกุมผู้กระทำผิดได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.72 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 30.38 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 15.80 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก ร้อยละ 14.73 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย และร้อยละ 2.37 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
3.4 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถเข้าระงับเหตุการณ์อาชญากรรมได้ทันท่วงที พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 31.91 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น รองลงมา ร้อยละ 31.75 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 22.37 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 12.90 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 1.07 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
3.5 เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถป้องกันและปราบปรามแหล่งอบายมุขหรือสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่ เช่น บ่อนการพนัน แหล่งมั่วสุม และยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 35.95 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย รองลงมา ร้อยละ 32.98 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 20.00 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 10.61 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 0.46 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 
4. ด้านการบริหารงานองค์กร

4.1 องค์กรตำรวจมีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 30.77 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น รองลงมา
ร้อยละ 30.46 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย ร้อยละ 23.89 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 13.28 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 1.60 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
4.2 องค์กรตำรวจปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.98 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย รองลงมา
ร้อยละ 29.62 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 17.33 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 8.55 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 2.52 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
4.3 ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายในองค์กรตำรวจมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.37 ระบุว่า ไม่เชื่อมั่นเลย รองลงมา ร้อยละ 29.47 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อมั่น ร้อยละ 17.79 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อมั่น ร้อยละ 8.01 ระบุว่า เชื่อมั่นมาก และร้อยละ 3.36 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล/ไม่ตอบ
 

 
พิธา ยกหูทูตอิสราเอล แสดงความเสียใจ มอบปีกแรงงานประสานคนไทย หนุนรบ.คลี่คลายวิกฤต
https://www.matichon.co.th/politics/news_4220997
 
พิธา ยกหูทูตอิสราเอล แสดงความเสียใจ มอบปีกแรงงานประสานคนไทย หนุนรบ.คลี่คลายวิกฤต
 
หลังเกิดเหตุกลุ่มติดฮามาสในดินแดนปาเลสไตน์ รัวยิงจรวด 5,000 ลูก จากกาซา ถล่มเข้าไปในประเทศอิสราเอล เมื่อวันเสาร์(7 ต.ค.)นี้ตามเวลาท้องถิ่น และยังมีการส่งกลุ่มมือปืนจากกาซาข้ามแดนเข้าไปแทรกซึมก่อความรุนแรงในเมืองทางตอนใต้ของอิสราเอล จนเป็นผลให้นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศว่า อิสราเอลอยู่ในภาวะสงครามกับกลุ่มติดอาวุธฮามาส พร้อมระบุว่า ตนได้สั่งระดมพลกองหนุนและให้ยิงตอบโต้เอาคืนครั้งใหญ่ต่อศัตรู ที่จะต้องชดใช้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  ขณะที่กองทัพอิสราเอลได้ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกาซาถึง 2 ระลอกแล้วนั้น

เมื่อเวลาประมาณ 21.12 น. วันที่ 7 ตุลาคม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์เอ็กซ์ (ทวิตเตอร์เดิม) ระบุถึงกรณีดังกล่าวว่า
 
ผมพึ่งวางสายกับท่านทูตอิสราเอลประจำประเทศไทย @IsraelinTH และได้มอบหมาย คุณสุเทพ อดีต กมธ.แรงงานที่ติดต่อประสานกับพี่น้องแรงงานไทย ตลอดกลางวันที่ผ่านมา
 
ผมได้ขอบคุณท่านทูต แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์ ความเสียใจต่อความสูญเสียและพร้อมสนับสนุนรัฐบาลในการคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องคนไทยในอิสราเอล #israel #อิสราเอล
 
เราพร้อมยืนเคียงข้างพี่น้องคนไทยในอิสราเอล และ มอนิเตอร์สถานการณ์พร้อมประสานกับครอบครัวพี่น้องที่อยู่เมืองไทยตลอดเวลา”
และว่า “ได้รับคำขอร้องว่า ครอบครัวของแรงงานที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย ไม่สามารถติดต่อญาติที่อิสราเอลได้ และกำลังตกอยู่ในความกังวลอย่างมาก
หากท่านมีญาติไปทำงานที่อิสราเอล และบัดนี้ยังติดต่อไม่ได้ ท่านสามารถระบุชื่อของบุคคล เมืองที่พำนัก มาที่ email : pita@moveforwardparty.org เพื่อรวบรวมเป็น database ประสานงานกับ สถานทูตอิสราเอล และ/หรือส่งมอบต่อกระทรวงต่างประเทศต่อไปได้”
 
https://twitter.com/Pita_MFP/status/1710659481812795883
https://twitter.com/Pita_MFP/status/1710667577771639127
 


ร้านอาหาร-ผับเชียงใหม่ ทำหนังสือถึง ‘เศรษฐา’ ขอเปิด 24 ชม. กลุ่มผู้ค้านัดเคลื่อนไหว ขอปลดล็อกปลายปีนี้
https://www.matichon.co.th/economy/news_4221074

ส.ดริงก์เผยสมาคมร้าน-ผับเชียงใหม่ ทำหนังสือเสนอ 5 ข้อถึงนายกฯ ขอเปิด 24 ชั่วโมง กลุ่มผู้ค้านัดเคลื่อนไหวขอ รบ.ปลดล็อกปลายปีนี้
 
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม นายธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการผลักดันข้อเสนอของกลุ่มผู้ประกอบการสถานบันเทิงและธุรกิจที่เกี่ยวข้องในการปลดล็อกเวลาห้ามจำหน่ายและขยายเวลาปิดสถานบันเทิง รองรับการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจว่า ขณะนี้ผู้ประกอบการและสมาคมต่างๆ ตื่นตัวและเดินหน้าผลักดันข้อเสนอต่างๆ ต่อนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีหลายกระทรวงเกี่ยวข้อง 
 
ล่าสุด สมาคมร้านอาหารและสถานบันเทิงเชียงใหม่ (Chiang Mai Restaurant & Bistro Association) ได้ประชุมหารือและจัดทำหนังสือระบุแนวทางและประเด็นนำเสนอจากสมาคมฯถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ ในหนังสือระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 70% ของรายได้รวมจังหวัด (จีพีพี) ร้านอาหารและสถานบันเทิงสร้างรายได้ให้จังหวัดกว่า 80% ของจีพีพี หากต้องการเพิ่มรายได้แก่จังหวัดมากขึ้นและรวดเเร็ว การท่องเที่ยวน่าจะเป็นแนวทางที่สำคัญ
 
โดยในหนังสือระบุว่า ปัจจุบันร้านอาหารและสถานบันเทิงต่างๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ มีมากกว่า 1 หมื่นร้านค้า โดยร้านอาหารและสถานบันเทิงเป็นกลไกสำคัญในการสร้างรายได้ให้จังหวัดเชียงใหม่และชุมชนอย่างรวดเร็ว แต่ยังมีปัญหาอุปสรรคต่างๆ และข้อเสนอแนะ ดังนี้ สมาคมฯเสนอ
 
1. ขอให้รัฐบาลอนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 24 ชั่วโมง ร้านอาหาร สถานบริการ โรงแรม เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจให้กับการใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้แก่จังหวัดเชียงใหม่การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของนักท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างชาติและชาวไทย ย่านที่มีนักท่องเที่ยวเป็นศูนย์กลาง และสนามบิน

2. จัดโซนนิ่งสถานประกอบการร้านอาหารและสถานบันเทิง ให้สามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง โดยมีเงื่อนไขตามพื้นที่ต่างๆ เช่น ในเขตอำเภอเมืองเชียงใหม่ สามารถเปิด 24 ชั่วโมง และที่ตั้งของสถานประกอบการร้านอาหาร สถานบันเทิงนั้นๆ ต้องไม่กระทบต่อชุมชน สังคม หรือมีผลกระทบน้อยที่สุด
 
3. ให้ภาครัฐลดการจัดเก็บภาษี เช่น ภาษีป้าย ภาษีที่ดิน ภาษีสรรพสามิต (ภาษีที่เก็บจากสถานบันเทิง) เพื่อกระตุ้นและส่งเสริมผู้ประกอบการให้ได้ดำเนินธุรกิจอย่างมีมาดฐานมากขึ้น
 
4. เนื่องด้วยจังหวัดเชียงใหม่ เป็นเมืองท่องเที่ยวหลักของประเทศ ควรจะมีการอนุญาตจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาได้ เช่น วันอาสาฬหบูชา วันออกพรรษา เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาวมีการเดินทางมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยว และใช้จ่ายกินใช้จำนวนมาก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่