“บิ๊กตู่” ย้ำจัดงบตามสถานการณ์กู้มาเพื่อช่วยช่วงโควิด ต่อยอดวางรากฐานพัฒนาชาติ-โครงสร้างพื้นฐาน

นายกฯ แจงจัดงบตามสถานการณ์ รบ.และโลก กู้เงินล้วนนำมาเพื่อช่วย ปชช.ช่วงโควิด และได้ต่อยอดวางรากฐานการพัฒนาประเทศอย่างครบวงจร และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระบบดิจิทัลเพื่อ ปชช. แก้โควิดลำดับต้นของโลกเกิดจากความร่วมมือ  

อย่างไรก็ตาม การเกิดวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งเป็นวิกฤตโลกและเป็นมหาวิกฤติครั้งที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อการถดถอยทางเศรษฐกิจของทุกประเทศในโลก รวมถึงประเทศไทย ประเทศไทยต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ในการเยียวยาช่วยเหลือประชาชน ถึงแม้ว่าจะเป็นประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจไม่ใหญ่มาก แต่รัฐบาลทำทุกวิถีทาง นโยบายต่างๆ ที่ออกมา ได้คำนึงถึงการสร้างความสมดุล ทั้งมิติด้านสุขภาพและมิติทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด รัฐบาลยอมเป็นนักกู้อย่างที่ท่านกล่าว แต่กู้มาเยียวยาช่วยเหลือประชาชน กว่า 40 ล้านราย ช่วยเหลือผู้ประกอบการและแรงงานต่างๆ ถ้าไม่นับเงินกู้โควิด 1.5 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลกู้มาเพื่อใช้ในงานด้านรักษา-วัคซีน-เยียวยาประชาชนแล้ว หนี้สาธารณะต่อ GDP ก็จะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 52.84 แต่เมื่อรวมเงินกู้โควิดแล้ว หนี้สาธารณะต่อ GDP ก็ยังอยู่ที่ร้อยละ 60.58 ถึงแม้จะสูงขึ้น แต่ก็ทำเพื่อประชาชน และหลายประเทศก็ตัวเลขสูงกว่าไทยมาก และยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนของการคลังตามกฎหมาย ได้รับการจัดอันดับที่ดีจากสถาบันการเงิน การคลังระหว่างประเทศหลายแหล่ง ยังคงระดับความน่าเชื่อถือการเงินการคลังของประเทศไทย โดยในการใช้จ่ายก็ได้ทยอยใช้หนี้ไปตามระเบียบทุกประการ ทุกปี ซึ่งยังมีความเชื่อมั่นจากหลายประเทศในเรื่องเศรษฐกิจของเรา  

ในช่วงที่เกิดวิกฤติโควิด-19 รัฐบาลได้ส่งเสริมสังคมไร้เงินสด การพัฒนาแพลตฟอร์มเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนนโยบายและการพัฒนาต่างๆ จนประสบความสำเร็จ ปฏิบัติการได้จริง เช่น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการพร้อมเพย์ และ QR Payment เป็นการชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเชื่อมโยงกับหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน โดยไม่มีค่าธรรมเนียม แอปพลิเคชันถุงเงิน สำหรับ SME ขนาดเล็ก การใช้จ่ายเงินดิจิทัล ผู้เข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตังกว่า 50 ล้านคน รวมถึงร้านค้าและ SME ที่เข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชันถุงเงิน ในโครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน ชิม ช้อป ใช้ เหล่านี้เป็นต้น  

สำหรับผลสัมฤทธิ์จากการจัดการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ถือเป็นความร่วมมือร่วมใจของคนไทยทุกภาคส่วน นายกรัฐมนตรีไม่เคยอวดอ้างรัฐบาลพูดเสมอว่าเป็นความร่วมมือของคนไทยทุกภาคส่วน ต้องการการระดมแนวความคิด ช่วยกันแก้ไขปัญหา เพื่อให้เดินหน้าต่อไปได้ จึงต้องอาศัยทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ อสม. และเจ้าหน้าที่ด่านหน้าที่เกี่ยวข้อง ทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร ได้ช่วยกันเต็มที่ ทำให้องค์กรต่างประเทศหลายแห่ง รวมถึงองค์การอนามัยโลกได้ให้การยอมรับ และชื่นชมประเทศไทยให้เป็นประเทศที่รับมือกับสถานการณ์โควิดได้ดีที่สุดเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ซึ่งต้องขอบคุณคนไทยและเจ้าหน้าที่ทุกคนที่สามารถทำให้ไทยได้รับคำชื่นชม ถือเป็นผลจากความร่วมมือกัน และ “ประเทศไทย” หมายถึง ทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกัน ประชาชน รัฐบาล ทำให้ประเทศไทยยกระดับขีดความสามารถในการวิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนโควิด ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงได้เอง วิจัยได้หลายชนิดในประเทศ รวมทั้งสถานการณ์โควิดก็มีความก้าวหน้าตามลำดับ โดยยังส่งเสริมโอกาสให้ประเทศไทยสามารถเปิดตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศได้อีกด้วย นอกจากนี้ ล่าสุดเป็นที่น่ายินดีที่ไทยได้รับเลือกให้เป็นที่ตั้งสำนักงานเลขาธิการของ “ศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่” ซึ่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ผลักดันในเวทีอาเซียนจนประสบความสำเร็จ   

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่จะเผชิญวิกฤตซ้อนวิกฤตเท่ารัฐบาลนี้ ทั้งการได้รับผลกระทบของวิกฤตจากความขัดแย้งจากภายนอก หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยโลกแบ่งเป็นสองขั้ว ส่งผลให้ทรัพยากรที่เคยสมดุลต้องขาดแคลน มีผลให้ราคาสินค้า ราคาพลังงาน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น 

อ่านต่อ. https://mgronline.com/politics/detail/9650000052617
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่