เปิดเอกสารลับ! ทบ.สั่งตรวจสอบน้ำมันของ มทบ.18 หายจากคลัง
https://www.thaipbs.or.th/news/content/331986
กองทัพบกสั่งตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงของ มทบ.18 สระบุรี สูญหายจากคลังกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก กว่า 2 แสนลิตรวันนี้ (23 ก.ย.2566) รายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผย รายงานข้อมูล(ลับ) รายงานผลการตรวจพิเศษ การส่งกำลัง สป.3 ส่งกำลังสิ่งอุปกรณ์ประเภท 3 (น้ำมันเชื้อเพลิง)
ในเอกสารระบุว่า ข้อ 1.3.1 ระบุถึง น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 7 รับจาก มทบ.18 (มณฑลทหารบก ที่ 18 สระบุรี) เมื่อวันที่ 15,16 และ 23 ส.ค.2565 จำนวน 96,000 ลิตร คงเหลือ 64,636 ลิตร
ฝากไว้ที่ กรซย.ศซส.สพ.ทบ. (กองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก) 84,000 ลิตร ปัจจุบันคงเหลือ 53,826 ลิตร และเก็บรักษาที่หน่วย 12,000 ลิตร ปัจจุบันคงเหลือ 10,800 ลิตร
1.3.2 น้ำมันดีเซลหมุมเร็ว บี 7 รับจากมทบ.18 (มณฑลทหารบกที่ 18 สระบุรี ) ในวันที่ 13,14 และ28 ก.ย.2565 จำนวน 215,897 ลิตร ไม่พบการเก็บรักษาน้ำมัน
1.4 ตรวจพบน้ำมันดีเซลขาดบัญชี (สูญหาย) จำนวน 215,897 ลิตร (2 แสนลิตร)
มีรายงานจากแหล่งข้อมูลว่า กรมจเรทหารบก ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบว่า ทำไมน้ำมันจำนวนกว่า 2 แสนลิตร จึงรั่วไหลหรือสูญหาย หรือมีใครนำไปใช้ส่วนตัวหรือไม่
รายงานผลการตรวจสอบส่งตรงถึง ผบ.ทบ.ในวันที่ 30 พ.ค.2566
วิโรจน์-จิรัฏฐ์ จี้กลาโหมแจง เหตุน้ำมันหาย 2 แสนลิตร ซัดนี่หรือองค์กรโปร่งใสที่ 2
https://www.matichon.co.th/politics/news_4195506
วิโรจน์-จิรัฏฐ์ จี้กองทัพแจง เหตุน้ำมันหาย 2 แสนลิตร ซัดนี่หรือองค์กรโปร่งใสที่ 2
เมื่อวันที่ 23 กันยายน จากกรณีที่ไทยพีบีเอส รายงานข่าวว่า กองทัพบกได้สั่งตรวจสอบน้ำมันเชื้องเพลิงของ มทบ.18 สระบุรี ที่สูญหายจากคลังกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก กว่า 2 แสนลิตรนั้น
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า
“
ป.ป.ช.เผยผลประเมินดัชนีความโปร่งใส ITA ของกระทรวงกลาโหม ปี 2565 อยู่ที่ 94.91 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 2 ของกระทรวงที่มีความโปร่งใสที่สุด”
https://twitter.com/Jirat_MP/status/1705503880791081061
ด้าน
วิโรจน์ ลักขณาดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า
“
ข่าวรายงานว่า น้ำมันเชื้อเพลิงของ มทบ.18 (มณฑลทหารบก ที่ 18 สระบุรี) สูญหายไปถึง 215,897 ลิตร ถ้าสูญหายจริงตามข่าว เรื่องนี้จำเป็นต้องชี้แจงต่อสังคมว่าน้ำมันขนาดนี้หายไปได้อย่างไร ลำพังการรั่วไหล หรือการระเหย คงไม่หายไปมากขนาดนี้”
https://twitter.com/wirojlak/status/1705515923548054007
ร้านค้ายังมองมาตรการลดดีเซล ค่าไฟ ยังไม่ช่วยอะไร
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_617450/
ผู้ค้าข้าวสาร -ไก่สด เนื้อหมู ยังมองมาตรการลดดีเซล ค่าไฟ ไม่ช่วยอะไร ยอดขายลดลงต่อเนื่อง หวัง ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่น จะเป็นจริงฟื้นเศรษฐกิจได้
บรรยากาศการจับจ่ายซื้อของ ที่ ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเดินทางมาซื้อของอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แต่จากการสำรวจและสอบถามความเห็นผู้ประกอบการร้านค้า และพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ได้สะท้อนถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย
ที่มี นาย
เศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และราคาไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลรอบบิลนี้ (ก.ย.2566) ทันที จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชน และต้นทุนสินค้าลดลง ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ก็มีคำสั่งให้กรมการค้าภายในดูแลเรื่องการลดราคาสินค้าที่มีผลกระทบต่อค่าของชีพของประชาชนภายใน 15 วัน หลังรัฐบาลลดราคาน้ำมันดีเซลไปแล้ว และเดินหน้าพูดคุยผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพต่อไป
อย่างร้านข้าวสาร มองว่า มาตรการที่ออกยังไม่ช่วยทำให้ราคาข้าวในร้านค้าปลีกลดลง และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากส่วนใหญ่มีขนส่งและสต๊อกข้าวไว้ก่อนที่รัฐบาลนี้จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมา อีกอย่างการจับจ่ายซื้อของประชาชนลดลงมากเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนแล้ว
อาจเป็นเพราะประชาชนไม่มีกำลังจ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ทั้งนี้ ขอฝากให้รัฐเร่งแก้ปัญหาในส่วนนี้โดยเร็ว พร้อมเชื่อว่า หากมีนโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอล Wallet 10,000 บาท ออกมา ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาได้ และทางร้านก็พร้อมลงทะเบียนเพื่อรองรับการใช้จ่ายของประชาชน
ขณะที่ร้านค้าไก่สด และหมูสด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งมาประชาชนไม่ค่อยใช้จ่าย ยอดขายลดลงต่อเนื่อง โดยออเดอร์จากร้านอาหารต่างๆ ที่เป็นลูกค้าประจำลดลง เพราะขายไม่ดีเช่นกัน แต่ยังคงมีความหวังว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนเรื่องนโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอล Wallet 10,000 บาท นั้น มองว่า มีความซับซ้อน ทั้งเงื่อนไข และการใช้จ่าย ที่ยังไม่มีความชัดเจน และอาจมีผลกระทบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน รวมถึงผู้สูงอายุ
ไทยอ่วม รูปีแข็งค่า หลัง เจพีมอร์แกน นำ ตราสารหนี้อินเดีย รวมในการคำนวณดัชนี
https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1090003
รูปีแข็งค่า ขานรับ เจพีมอร์แกน นำ ตราสารหนี้อินเดีย รวมในการคำนวณดัชนี ส่วน'ไทย'กับอีกหลายประเทศได้รับผลกระทบหนักสุด ถูกหั่นน้ำหนักดัชนีตราสารหนี้
รูปีแข็งค่า เทียบดอลลาร์ในวันศุกร์(22ก.ย.) หลังมีรายงานว่า เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเตรียมนำ ตราสารหนี้อินเดีย เข้ารวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ รูปีปิดตลาดที่ระดับ 82.93 เทียบดอลลาร์ จากระดับ 83.09 ในการซื้อขายวานนี้
นาย
วี อนันต์ นาเกสวาราน ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย แสดงความยินดีต่อรายงานดังกล่าว "
เรามีความยินดีในเรื่องดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของตลาดการเงินต่อแนวโน้มการขยายตัวของอินเดีย รวมทั้งนโยบายการคลังและเศรษฐกิจมหภาค" นาย
นาเกสวารานกล่าว
ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้มีเม็ดเงินจากต่างชาติราว 2.2-3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่อินเดีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าเงินรูปีและตลาดปริวรรตเงินตราของอินเดีย รวมทั้งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศปรับตัวลง
เจพีมอร์แกน เปิดเผยในวันนี้ว่า ธนาคารจะนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ หรือ Government Bond Index-Emerging Markets (GBI-EM)
เจพีมอร์แกน ระบุว่า พันธบัตรรัฐบาลอินเดีย หรือ Indian Government Bonds (IGBs) จำนวน 23 ชุด ซึ่งมีวงเงินหน้าตั๋วรวม 3.3 แสนล้านดอลลาร์ ได้ถูกรวมอยู่ในดัชนีดังกล่าว หลังจากที่ถูกจัดชั้นเป็นตราสารหนี้ซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงอย่างสมบูรณ์
"
คาดว่าน้ำหนักตราสารหนี้ของอินเดียจะแตะเพดานสูงสุด 10% ของดัชนี GBI-EM Global Diversified และราว 8.7% ในดัชนี GBI-EM Global index" เจพีมอร์แกนระบุ
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนจะเริ่มนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนี GBI-EM ในวันที่ 28 มิ.ย.2567
อย่างไรก็ดี การนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนี GBI-EM ส่งผลกระทบต่อการจัดสรรน้ำหนักสำหรับตราสารหนี้ของประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการถูกปรับลดน้ำหนักตราสารหนี้ในการคำนวณดัชนีถึง 1.65%
ขณะที่แอฟริกาใต้ โปแลนด์ สาธารณรัฐเชก และบราซิลถูกปรับลดน้ำหนักราว 1-1.36%
JJNY : 5in1 น้ำมัน มทบ.18 หาย│วิโรจน์-จิรัฏฐ์ จี้กห.แจง│ลดดีเซล ยังไม่ช่วย│ไทยอ่วม รูปีแข็งค่า│โปแลนด์เตือนผู้นำยูเครน
https://www.thaipbs.or.th/news/content/331986
กองทัพบกสั่งตรวจสอบน้ำมันเชื้อเพลิงของ มทบ.18 สระบุรี สูญหายจากคลังกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก กว่า 2 แสนลิตรวันนี้ (23 ก.ย.2566) รายงานข่าวจากกองทัพบก เปิดเผย รายงานข้อมูล(ลับ) รายงานผลการตรวจพิเศษ การส่งกำลัง สป.3 ส่งกำลังสิ่งอุปกรณ์ประเภท 3 (น้ำมันเชื้อเพลิง)
ในเอกสารระบุว่า ข้อ 1.3.1 ระบุถึง น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 7 รับจาก มทบ.18 (มณฑลทหารบก ที่ 18 สระบุรี) เมื่อวันที่ 15,16 และ 23 ส.ค.2565 จำนวน 96,000 ลิตร คงเหลือ 64,636 ลิตร
ฝากไว้ที่ กรซย.ศซส.สพ.ทบ. (กองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก) 84,000 ลิตร ปัจจุบันคงเหลือ 53,826 ลิตร และเก็บรักษาที่หน่วย 12,000 ลิตร ปัจจุบันคงเหลือ 10,800 ลิตร
1.3.2 น้ำมันดีเซลหมุมเร็ว บี 7 รับจากมทบ.18 (มณฑลทหารบกที่ 18 สระบุรี ) ในวันที่ 13,14 และ28 ก.ย.2565 จำนวน 215,897 ลิตร ไม่พบการเก็บรักษาน้ำมัน
1.4 ตรวจพบน้ำมันดีเซลขาดบัญชี (สูญหาย) จำนวน 215,897 ลิตร (2 แสนลิตร)
มีรายงานจากแหล่งข้อมูลว่า กรมจเรทหารบก ได้รับคำสั่งให้ตรวจสอบว่า ทำไมน้ำมันจำนวนกว่า 2 แสนลิตร จึงรั่วไหลหรือสูญหาย หรือมีใครนำไปใช้ส่วนตัวหรือไม่
รายงานผลการตรวจสอบส่งตรงถึง ผบ.ทบ.ในวันที่ 30 พ.ค.2566
วิโรจน์-จิรัฏฐ์ จี้กลาโหมแจง เหตุน้ำมันหาย 2 แสนลิตร ซัดนี่หรือองค์กรโปร่งใสที่ 2
https://www.matichon.co.th/politics/news_4195506
วิโรจน์-จิรัฏฐ์ จี้กองทัพแจง เหตุน้ำมันหาย 2 แสนลิตร ซัดนี่หรือองค์กรโปร่งใสที่ 2
เมื่อวันที่ 23 กันยายน จากกรณีที่ไทยพีบีเอส รายงานข่าวว่า กองทัพบกได้สั่งตรวจสอบน้ำมันเชื้องเพลิงของ มทบ.18 สระบุรี ที่สูญหายจากคลังกองโรงงานซ่อมสร้างรถยนต์ทหาร ศูนย์ซ่อมสร้างสิ่งอุปกรณ์สายสรรพาวุธ กองทัพบก กว่า 2 แสนลิตรนั้น
จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ได้แสดงความเห็นกรณีดังกล่าวว่า
“ป.ป.ช.เผยผลประเมินดัชนีความโปร่งใส ITA ของกระทรวงกลาโหม ปี 2565 อยู่ที่ 94.91 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 2 ของกระทรวงที่มีความโปร่งใสที่สุด”
https://twitter.com/Jirat_MP/status/1705503880791081061
ด้าน วิโรจน์ ลักขณาดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า
“ข่าวรายงานว่า น้ำมันเชื้อเพลิงของ มทบ.18 (มณฑลทหารบก ที่ 18 สระบุรี) สูญหายไปถึง 215,897 ลิตร ถ้าสูญหายจริงตามข่าว เรื่องนี้จำเป็นต้องชี้แจงต่อสังคมว่าน้ำมันขนาดนี้หายไปได้อย่างไร ลำพังการรั่วไหล หรือการระเหย คงไม่หายไปมากขนาดนี้”
https://twitter.com/wirojlak/status/1705515923548054007
ร้านค้ายังมองมาตรการลดดีเซล ค่าไฟ ยังไม่ช่วยอะไร
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_617450/
ผู้ค้าข้าวสาร -ไก่สด เนื้อหมู ยังมองมาตรการลดดีเซล ค่าไฟ ไม่ช่วยอะไร ยอดขายลดลงต่อเนื่อง หวัง ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่น จะเป็นจริงฟื้นเศรษฐกิจได้
บรรยากาศการจับจ่ายซื้อของ ที่ ตลาดยิ่งเจริญ สะพานใหม่ ในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนเดินทางมาซื้อของอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แต่จากการสำรวจและสอบถามความเห็นผู้ประกอบการร้านค้า และพ่อค้าแม่ค้าในตลาด ได้สะท้อนถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเพื่อไทย
ที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยกำหนดให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร และราคาไฟฟ้าเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลรอบบิลนี้ (ก.ย.2566) ทันที จะช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชน และต้นทุนสินค้าลดลง ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ก็มีคำสั่งให้กรมการค้าภายในดูแลเรื่องการลดราคาสินค้าที่มีผลกระทบต่อค่าของชีพของประชาชนภายใน 15 วัน หลังรัฐบาลลดราคาน้ำมันดีเซลไปแล้ว และเดินหน้าพูดคุยผู้ประกอบการรายใหญ่ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพต่อไป
อย่างร้านข้าวสาร มองว่า มาตรการที่ออกยังไม่ช่วยทำให้ราคาข้าวในร้านค้าปลีกลดลง และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เนื่องจากส่วนใหญ่มีขนส่งและสต๊อกข้าวไว้ก่อนที่รัฐบาลนี้จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมา อีกอย่างการจับจ่ายซื้อของประชาชนลดลงมากเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือนแล้ว
อาจเป็นเพราะประชาชนไม่มีกำลังจ่าย ค่าครองชีพสูงขึ้น จึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด ทั้งนี้ ขอฝากให้รัฐเร่งแก้ปัญหาในส่วนนี้โดยเร็ว พร้อมเชื่อว่า หากมีนโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอล Wallet 10,000 บาท ออกมา ก็จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นมาได้ และทางร้านก็พร้อมลงทะเบียนเพื่อรองรับการใช้จ่ายของประชาชน
ขณะที่ร้านค้าไก่สด และหมูสด ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งมาประชาชนไม่ค่อยใช้จ่าย ยอดขายลดลงต่อเนื่อง โดยออเดอร์จากร้านอาหารต่างๆ ที่เป็นลูกค้าประจำลดลง เพราะขายไม่ดีเช่นกัน แต่ยังคงมีความหวังว่า เมื่อมีรัฐบาลใหม่แล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ส่วนเรื่องนโยบายกระเป๋าเงินดิจิตอล Wallet 10,000 บาท นั้น มองว่า มีความซับซ้อน ทั้งเงื่อนไข และการใช้จ่าย ที่ยังไม่มีความชัดเจน และอาจมีผลกระทบกับผู้ที่ไม่ได้ใช้สมาร์ทโฟน รวมถึงผู้สูงอายุ
ไทยอ่วม รูปีแข็งค่า หลัง เจพีมอร์แกน นำ ตราสารหนี้อินเดีย รวมในการคำนวณดัชนี
https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1090003
รูปีแข็งค่า ขานรับ เจพีมอร์แกน นำ ตราสารหนี้อินเดีย รวมในการคำนวณดัชนี ส่วน'ไทย'กับอีกหลายประเทศได้รับผลกระทบหนักสุด ถูกหั่นน้ำหนักดัชนีตราสารหนี้
รูปีแข็งค่า เทียบดอลลาร์ในวันศุกร์(22ก.ย.) หลังมีรายงานว่า เจพีมอร์แกน เชส ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐเตรียมนำ ตราสารหนี้อินเดีย เข้ารวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่
ทั้งนี้ รูปีปิดตลาดที่ระดับ 82.93 เทียบดอลลาร์ จากระดับ 83.09 ในการซื้อขายวานนี้
นายวี อนันต์ นาเกสวาราน ประธานที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย แสดงความยินดีต่อรายงานดังกล่าว "เรามีความยินดีในเรื่องดังกล่าว ซึ่งแสดงถึงความเชื่อมั่นของตลาดการเงินต่อแนวโน้มการขยายตัวของอินเดีย รวมทั้งนโยบายการคลังและเศรษฐกิจมหภาค" นายนาเกสวารานกล่าว
ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลให้มีเม็ดเงินจากต่างชาติราว 2.2-3.0 หมื่นล้านดอลลาร์ไหลเข้าสู่อินเดีย ซึ่งจะส่งผลดีต่อค่าเงินรูปีและตลาดปริวรรตเงินตราของอินเดีย รวมทั้งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศปรับตัวลง
เจพีมอร์แกน เปิดเผยในวันนี้ว่า ธนาคารจะนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนีตราสารหนี้ของตลาดเกิดใหม่ หรือ Government Bond Index-Emerging Markets (GBI-EM)
เจพีมอร์แกน ระบุว่า พันธบัตรรัฐบาลอินเดีย หรือ Indian Government Bonds (IGBs) จำนวน 23 ชุด ซึ่งมีวงเงินหน้าตั๋วรวม 3.3 แสนล้านดอลลาร์ ได้ถูกรวมอยู่ในดัชนีดังกล่าว หลังจากที่ถูกจัดชั้นเป็นตราสารหนี้ซึ่งนักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถึงอย่างสมบูรณ์
"คาดว่าน้ำหนักตราสารหนี้ของอินเดียจะแตะเพดานสูงสุด 10% ของดัชนี GBI-EM Global Diversified และราว 8.7% ในดัชนี GBI-EM Global index" เจพีมอร์แกนระบุ
ทั้งนี้ เจพีมอร์แกนจะเริ่มนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนี GBI-EM ในวันที่ 28 มิ.ย.2567
อย่างไรก็ดี การนำตราสารหนี้ของอินเดียเข้ารวมในการคำนวณดัชนี GBI-EM ส่งผลกระทบต่อการจัดสรรน้ำหนักสำหรับตราสารหนี้ของประเทศอื่น โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบหนักที่สุด จากการถูกปรับลดน้ำหนักตราสารหนี้ในการคำนวณดัชนีถึง 1.65%
ขณะที่แอฟริกาใต้ โปแลนด์ สาธารณรัฐเชก และบราซิลถูกปรับลดน้ำหนักราว 1-1.36%