ธงทอง ถามเจ็บ ถึงอดีตรัฐบาลประยุทธ์ หลังครม.เศรษฐา สั่งลดค่าไฟฟ้า มีผลทันที
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7873339
ธงทอง ถามเจ็บ หลังที่ประชุมครม.มีมติลดค่าไฟฟ้าลงอีกเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลทันที หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย
วันที่ 19 ก.ย.2566 นาย
ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เคาะแล้ว ค่าไฟฟ้า ลดลงอีกเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลทันที หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วยว่า
“สงสัยนักว่า ค่าไฟฟ้าที่ลดได้ในวาระแรกเริ่มของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทำไมในรัฐบาลที่ผ่านมาถึงลดไม่ได้”
https://www.facebook.com/nha.chandransu/posts/pfbid0oJhWyjHhbWEdX8jwxALGR7S32jifCKmpMCtqvTaXNvFAsdtityVh7ukNBxMVoYw2l
เอลนีโญ พ่นพิษ ภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์น้ำยังน่าห่วง อ่างเก็บน้ำ เหลือใช้ไม่ถึง40%
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7873278
นครราชสีมา ชลประทาน แจ้งผลพวง เอลนีโญ ส่งสัญญาณภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์น้ำยังน่าห่วง อ่างเก็บน้ำภาพรวม มีน้ำใช้ไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
19 ก.ย. 66 – สำนักงานชลประทานที่ 8 โดยโครงการชลประทานนครราชสีมา รายงานสภาพน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำของจังหวัดนครราชสีมา ว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง และขนาดกลาง 23 แห่ง มีปริมาตรน้ำเก็บกักปัจจุบัน อยู่ที่ 488.38 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 40.14 % แต่เป็นน้ำใช้การได้เพียง 425.90 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 36.90 % เท่านั้น
ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มีปริมาตรน้ำเก็บกักมากเกือบเท่าตัว โดยปี 2565 มีปริมาตรน้ำเก็บกัก อยู่ที่ 911.76 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 74.94 % และเป็นน้ำใช้การได้ 849.28 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 73.58 %
ทั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงนาน ซึ่งอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่า เอลนีโญทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น และอาจเกิดภัยแล้งรุนแรงในหลายพื้นที่ สำหรับประเทศไทย เอลนีโญจะมีกำลังแรงช่วงปลายฝนนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงฤดูร้อนปีหน้า
ซึ่งขณะนี้ แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงฤดูฝน แต่ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มีน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำไม่มากนัก จึงทำให้ปริมาตรน้ำเก็บกักภาพรวมทั้งจังหวัดมีน้อย เฉลี่ยเหลือใช้การได้ไม่ถึง 40 % ดังกล่าว
โดยอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 23 แห่งของจังหวัดนครราชสีมา ขณะนี้มี 7 แห่ง ที่มีปริมาตรน้ำเก็บกักคงเหลือไม่ถึง 30 % ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง อ.เมืองนคราชสีมา, อ่างเก็บน้ำลำสำราย อ.ปักธงชัย ,อ่างเก็บน้ำห้วยซับประดู่ อ.สีคิ้ว, อ่างเก็บน้ำห้วยปราสาทใหญ่ อ.ด่านขุนทด, อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร ตอนล่าง อ.โนนไทย, อ่างเก็บน้ำหนองกก อ.พระทองคำ และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเค็ม อ.บัวใหญ่
ซึ่งในจำนวนนี้ อ่างเก็บน้ำห้วยปราสาทใหญ่ อ.ด่านขุนทด และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเค็ม อ.บัวใหญ่ เหลือน้ำใช้การได้ไม่ถึง 10 % ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว, อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย, อ่างเก็บน้ำมูลบน อ.ครบุรีและอ่างเก็บน้ำลำแชะ อ.ครบุรี ก็พบว่า เหลือน้ำเก็บกักเฉลี่ยทั้ง 4 แห่งอยู่ที่ 363.63 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 41.07 % และเป็นน้ำใช้การได้ 326.19 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 38.46 %เท่านั้น
อย่างก็ตาม ทางชลประทานได้ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำในปัจจุบันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีความต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการแจ้งเตือน และใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสม จึงขอให้ประชาชนได้ใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่า และเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในครัวเรือนด้วย เ
เพราะฝนที่ตกช่วงนี้มาจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ใช่อิทธิพลของพายุ ซึ่งพายุหมุนเขตร้อนระยะนี้ยังไม่มีสัญญาณการก่อตัว แต่อาจจะมีความกดอากาศต่ำ ก่อตัวทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ จึงทำให้สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน ขอให้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ด้วย
ท้วง 'กรมบัญชีกลาง' ทำวุ่น ปรับระเบียบใหม่ รักษาเทเลเมดิซีน ชี้สวนทางนโยบายรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7873348
แพทย์ ม.ขอนแก่น ท้วงกรมบัญชีกลาง ปรับระเบียบใหม่ ทำสิทธิข้าราชการ รักษาเทเลเมดิซีนได้ แต่สุดท้ายต้องมารูดบัตร ปชช.ที่ รพ.ทุกครั้ง เพื่อรับยาทางไปรษณีย์ ชี้สวนทางนโยบายรัฐบาล
19 ก.ย. 66 – นพ.
สมศักดิ์ เทียมเก่า ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงการเข้าถึงบริการสุขภาพของสิทธิสวัสดิการข้าราชการ ว่า
ขณะนี้รัฐบาลใหม่มีนโยบายสนับสนุนนำดิจิทัลมาใช้ในระบบสาธารณสุข โดยส่งเสริมการรักษาแบบเทเลเมดิซีนให้มากยิ่งขึ้น แต่แนวทางการจัดส่งยาถึงบ้านของสิทธิสวัสดิการข้าราชการ กลับมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบ โดยจะไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66 ยกเว้นมีการยืนยันตัวตนตามระเบียบใหม่
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า จากเดิมเวลาจะส่งยาถึงบ้าน แพทย์จะประสานกับคนไข้ว่า ยาต่อเนื่องแบบไหนที่ต้องใช้และจำเป็นต้องจัดส่งเพิ่มตามเวลาที่กำหนดที่มีการวินิจฉัยโรค ซึ่งเราก็จะใช้รหัสเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักมาคีย์เข้าสู่ระบบ และทำการเรียกเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง
แต่ระเบียบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้ ระบุว่า การจะจัดส่งยาทางไปรษณีย์ต้องให้ผู้ป่วยรายนั้น นำบัตรประชาชนมาสแกนรูดบัตรที่ รพ.ต้นทางทุกครั้งที่จะจัดส่งยา ซึ่งหมายความว่า ก็ไม่ได้รับยาที่บ้าน เพราะผู้ป่วยต้องมาที่ รพ.เอง กลายเป็นว่า ได้แค่ตรวจวินิจฉัยผ่านเทเลเมดิซีน แต่คนไข้ก็ต้องเดินทางมาเองอยู่ดี
“เรื่องนี้แปลกมาก ที่แต่ละหน่วยงานมีเป้าหมายกันคนละอย่าง เพราะหากเรามีเป้าหมายที่ต้องการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการรักษา การใช้เทเลเมดิซีนย่อมมีประโยชน์ เมื่อวินิจฉัยผ่านเทเลฯ แล้วก็ต้องส่งยาทางไปรษณีย์ หรือส่งยาไปที่ร้านยาใกล้บ้านผู้ป่วย ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยมารูดบัตรประชาชนถึงรพ.อีก และหากเรากลัวการเบิกจ่ายที่ผิดก็ต้องเข้มงวดกับ รพ.ว่า มีระบบอะไรที่ยืนยันได้ว่า ไม่ใช่เมคข้อมูลเบิกยาอย่างเดียว แต่การออกระเบียบแบบนี้ส่งผลต่อประชาชน” นพ.
สมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากให้ผู้มีสิทธิข้าราชการมายืนยันตัวตนที่ รพ.เองแล้ว มีทำผ่านแอปพลิเคชันหรือไม่ นพ.
สมศักดิ์ กล่าวว่า แอปพลิเคชันมี แต่จะสะดวกกับคนที่สามารถทำเองได้ ปัญหาคือ สิทธิข้าราชการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ หลายคนทำไม่เป็น ซึ่งจริงๆ การใช้แอปฯ มายืนยันตัวเองนั้นแทบไม่ต้องทำ
เพราะทุกวันนี้เราสั่งจ่ายยาให้ 3 เดือน 6 เดือนอย่างกลุ่มโรคเรื้อรัง ก็จะมีการใช้บัตรประชาชนและคีย์ข้อมูลให้อยู่แล้ว ส่วนที่จะต้องมา รพ.ก็จะมาเพียงครั้งเดียวแบบจำเป็นจริงๆ เพื่อลดการเดินทาง ซึ่งหากต้องยืนยันที่ รพ.ก็มาช่วงนั้นได้ แต่การปรับระเบียบแบบนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย
“
การใช้แอปฯ สร้างความยุ่งยากกับคนสูงอายุ บางคนเขาไม่ได้มีลูกหลาน จะทำอย่างไร ขณะที่สิทธิบัตรทองกลับไม่มีปัญหา เพราะยืนยันตัวตนผ่าน รพ.ทำให้อยู่แล้ว หรือหากกรมบัญชีกลางต้องการยืนยันตัวตนเอง ก็สามารถให้ผู้ป่วยสิทธิข้าราชการทำได้ตอนมาที่ รพ. ไม่จำเป็นต้องยืนยันทุกครั้งที่จะเบิกยา เพราะถ้าทำแบบนี้ การใช้ระบบเทเลเมดิซีนก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อย่างเต็มที่” นพ.
สมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีแบบนี้สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการใช้ Digital Health อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือไม่ นพ.
สมศักดิ์ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งจริงๆ ตนกำลังติดตามกับทางกรมบัญชีกลางว่า จะมีแนวทางการแก้ปัญหาการยืนยันตัวตนอย่างไร
“สมชัย” ซัด หน้าที่”โฆษก” คือต้องชี้แจง-ทำความเข้าใจ ไม่ใช่ยอกย้อนหรือแซะ เหน็บขอให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ https://www.matichon.co.th/politics/news_4187152
“สมชัย” ซัด หน้าที่ “โฆษก” คือต้องชี้แจง-ทำความเข้าใจ ไม่ใช่ยอกย้อนหรือแซะ เหน็บขอให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จากกรณีที่ นสพ.ชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล ออกมาชี้แจงคำถามสังคมเรื่องกรณีที่ นาย
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เช่าเครื่องบิน 30 ล้านบาท เพื่อนำคณะ 50 ชีวิต เดินทางไปร่วมประชุมยูเอ็นที่สหรัฐอเมริกา จนมีกระแสสังคมว่า มีการนำนักธุรกิจร่วมบินไปด้วย โดยระบุว่า นายกฯ มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจนั้น
เมื่อวันที่ 19 กันยายน นาย
สมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล ใจความว่า
“โฆษกรัฐบาล มีไว้เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจชาวบ้าน ไม่ได้มีไว้เพื่อย้อนหรือแซะ”
นายกฯยกขบวน 50 คน ไปประชุม UN แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อต่อสังคม ผมจึงตั้งคำถามถึงข่าวลือว่า มีนักธุรกิจร่วมเดินทางด้วย โดยใช้งบประมาณของรัฐด้วยใช่หรือไม่
การมีนักธุรกิจไปหรือไม่มี ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง ไม่มีก็ไม่มี มีก็ยอมรับและเปิดเผยเหตุผล แสดงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจมา ก็จบ
นี่คนสองคนตอบไม่ตรงกัน คนแรก นายกฯ ตอบไม่มี (เสียงต่ำ) คนที่สอง โฆษก แทนที่จะตอบไม่มี (กลัวบาป?) กลับตอบว่า นายกฯเขามีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ ไม่เหมือนนายสมชัย ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ
ตอบไม่มี (เสียงต่ำ) ก็จบ นี่ท่านโฆษกไม่ตอบให้ชัด
ครั้งแรกก็รัฏฐาธิปัตย์ ครั้งที่สองก็ไม่ตอบให้ชัด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid02hLiknTPX5zaeWa2uBA1sey93Y3zPTPprgSqaxhq6Xy13JC1FCjZz5Lkq6EHkA4XTl
JJNY : ธงทองถามเจ็บ อดีตรบ.ประยุทธ์│เอลนีโญพ่นพิษ│ท้วง'กรมบัญชีกลาง'ทำวุ่น│“สมชัย”ซัดหน้าที่”โฆษก”│ปักกิ่งประท้วงเยอรมนี
https://www.khaosod.co.th/politics/news_7873339
ธงทอง ถามเจ็บ หลังที่ประชุมครม.มีมติลดค่าไฟฟ้าลงอีกเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลทันที หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วย
วันที่ 19 ก.ย.2566 นายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เคาะแล้ว ค่าไฟฟ้า ลดลงอีกเหลือ 3.99 บาทต่อหน่วย มีผลทันที หลังเมื่อสัปดาห์ที่แล้วลดเหลือ 4.10 บาทต่อหน่วยว่า
“สงสัยนักว่า ค่าไฟฟ้าที่ลดได้ในวาระแรกเริ่มของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ทำไมในรัฐบาลที่ผ่านมาถึงลดไม่ได้”
https://www.facebook.com/nha.chandransu/posts/pfbid0oJhWyjHhbWEdX8jwxALGR7S32jifCKmpMCtqvTaXNvFAsdtityVh7ukNBxMVoYw2l
เอลนีโญ พ่นพิษ ภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์น้ำยังน่าห่วง อ่างเก็บน้ำ เหลือใช้ไม่ถึง40%
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7873278
นครราชสีมา ชลประทาน แจ้งผลพวง เอลนีโญ ส่งสัญญาณภัยแล้งรุนแรง สถานการณ์น้ำยังน่าห่วง อ่างเก็บน้ำภาพรวม มีน้ำใช้ไม่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์
19 ก.ย. 66 – สำนักงานชลประทานที่ 8 โดยโครงการชลประทานนครราชสีมา รายงานสภาพน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำของจังหวัดนครราชสีมา ว่า อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง และขนาดกลาง 23 แห่ง มีปริมาตรน้ำเก็บกักปัจจุบัน อยู่ที่ 488.38 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 40.14 % แต่เป็นน้ำใช้การได้เพียง 425.90 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 36.90 % เท่านั้น
ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มีปริมาตรน้ำเก็บกักมากเกือบเท่าตัว โดยปี 2565 มีปริมาตรน้ำเก็บกัก อยู่ที่ 911.76 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 74.94 % และเป็นน้ำใช้การได้ 849.28 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 73.58 %
ทั้งนี้ เป็นผลพวงมาจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ทำให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วงนาน ซึ่งอุตุนิยมวิทยา ได้คาดการณ์ว่า เอลนีโญทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น และอาจเกิดภัยแล้งรุนแรงในหลายพื้นที่ สำหรับประเทศไทย เอลนีโญจะมีกำลังแรงช่วงปลายฝนนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงฤดูร้อนปีหน้า
ซึ่งขณะนี้ แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงฤดูฝน แต่ปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย มีน้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำไม่มากนัก จึงทำให้ปริมาตรน้ำเก็บกักภาพรวมทั้งจังหวัดมีน้อย เฉลี่ยเหลือใช้การได้ไม่ถึง 40 % ดังกล่าว
โดยอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง 23 แห่งของจังหวัดนครราชสีมา ขณะนี้มี 7 แห่ง ที่มีปริมาตรน้ำเก็บกักคงเหลือไม่ถึง 30 % ได้แก่ อ่างเก็บน้ำห้วยบ้านยาง อ.เมืองนคราชสีมา, อ่างเก็บน้ำลำสำราย อ.ปักธงชัย ,อ่างเก็บน้ำห้วยซับประดู่ อ.สีคิ้ว, อ่างเก็บน้ำห้วยปราสาทใหญ่ อ.ด่านขุนทด, อ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร ตอนล่าง อ.โนนไทย, อ่างเก็บน้ำหนองกก อ.พระทองคำ และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเค็ม อ.บัวใหญ่
ซึ่งในจำนวนนี้ อ่างเก็บน้ำห้วยปราสาทใหญ่ อ.ด่านขุนทด และอ่างเก็บน้ำห้วยน้ำเค็ม อ.บัวใหญ่ เหลือน้ำใช้การได้ไม่ถึง 10 % ในขณะที่อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ อ่างเก็บน้ำลำตะคอง อ.สีคิ้ว, อ่างเก็บน้ำลำพระเพลิง อ.ปักธงชัย, อ่างเก็บน้ำมูลบน อ.ครบุรีและอ่างเก็บน้ำลำแชะ อ.ครบุรี ก็พบว่า เหลือน้ำเก็บกักเฉลี่ยทั้ง 4 แห่งอยู่ที่ 363.63 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 41.07 % และเป็นน้ำใช้การได้ 326.19 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 38.46 %เท่านั้น
อย่างก็ตาม ทางชลประทานได้ติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำในปัจจุบันอย่างใกล้ชิดเพื่อให้มีความต่อเนื่องและทันต่อเหตุการณ์สำหรับใช้เป็นข้อมูลในการแจ้งเตือน และใช้เป็นแนวทางในการบริหารจัดการน้ำอย่างเหมาะสม จึงขอให้ประชาชนได้ใช้น้ำอย่างประหยัด รู้คุณค่า และเก็บสำรองน้ำไว้ใช้ในครัวเรือนด้วย เ
เพราะฝนที่ตกช่วงนี้มาจากอิทธิพลของร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ใช่อิทธิพลของพายุ ซึ่งพายุหมุนเขตร้อนระยะนี้ยังไม่มีสัญญาณการก่อตัว แต่อาจจะมีความกดอากาศต่ำ ก่อตัวทางตะวันออกของฟิลิปปินส์ จึงทำให้สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวน ขอให้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ด้วย
ท้วง 'กรมบัญชีกลาง' ทำวุ่น ปรับระเบียบใหม่ รักษาเทเลเมดิซีน ชี้สวนทางนโยบายรัฐบาล
https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_7873348
แพทย์ ม.ขอนแก่น ท้วงกรมบัญชีกลาง ปรับระเบียบใหม่ ทำสิทธิข้าราชการ รักษาเทเลเมดิซีนได้ แต่สุดท้ายต้องมารูดบัตร ปชช.ที่ รพ.ทุกครั้ง เพื่อรับยาทางไปรษณีย์ ชี้สวนทางนโยบายรัฐบาล
19 ก.ย. 66 – นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวถึงการเข้าถึงบริการสุขภาพของสิทธิสวัสดิการข้าราชการ ว่า
ขณะนี้รัฐบาลใหม่มีนโยบายสนับสนุนนำดิจิทัลมาใช้ในระบบสาธารณสุข โดยส่งเสริมการรักษาแบบเทเลเมดิซีนให้มากยิ่งขึ้น แต่แนวทางการจัดส่งยาถึงบ้านของสิทธิสวัสดิการข้าราชการ กลับมีการเปลี่ยนแปลงระเบียบ โดยจะไม่สามารถใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 66 ยกเว้นมีการยืนยันตัวตนตามระเบียบใหม่
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า จากเดิมเวลาจะส่งยาถึงบ้าน แพทย์จะประสานกับคนไข้ว่า ยาต่อเนื่องแบบไหนที่ต้องใช้และจำเป็นต้องจัดส่งเพิ่มตามเวลาที่กำหนดที่มีการวินิจฉัยโรค ซึ่งเราก็จะใช้รหัสเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักมาคีย์เข้าสู่ระบบ และทำการเรียกเบิกจ่ายจากกรมบัญชีกลาง
แต่ระเบียบใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. นี้ ระบุว่า การจะจัดส่งยาทางไปรษณีย์ต้องให้ผู้ป่วยรายนั้น นำบัตรประชาชนมาสแกนรูดบัตรที่ รพ.ต้นทางทุกครั้งที่จะจัดส่งยา ซึ่งหมายความว่า ก็ไม่ได้รับยาที่บ้าน เพราะผู้ป่วยต้องมาที่ รพ.เอง กลายเป็นว่า ได้แค่ตรวจวินิจฉัยผ่านเทเลเมดิซีน แต่คนไข้ก็ต้องเดินทางมาเองอยู่ดี
“เรื่องนี้แปลกมาก ที่แต่ละหน่วยงานมีเป้าหมายกันคนละอย่าง เพราะหากเรามีเป้าหมายที่ต้องการให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการรักษา การใช้เทเลเมดิซีนย่อมมีประโยชน์ เมื่อวินิจฉัยผ่านเทเลฯ แล้วก็ต้องส่งยาทางไปรษณีย์ หรือส่งยาไปที่ร้านยาใกล้บ้านผู้ป่วย ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยมารูดบัตรประชาชนถึงรพ.อีก และหากเรากลัวการเบิกจ่ายที่ผิดก็ต้องเข้มงวดกับ รพ.ว่า มีระบบอะไรที่ยืนยันได้ว่า ไม่ใช่เมคข้อมูลเบิกยาอย่างเดียว แต่การออกระเบียบแบบนี้ส่งผลต่อประชาชน” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า นอกจากให้ผู้มีสิทธิข้าราชการมายืนยันตัวตนที่ รพ.เองแล้ว มีทำผ่านแอปพลิเคชันหรือไม่ นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า แอปพลิเคชันมี แต่จะสะดวกกับคนที่สามารถทำเองได้ ปัญหาคือ สิทธิข้าราชการส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ หลายคนทำไม่เป็น ซึ่งจริงๆ การใช้แอปฯ มายืนยันตัวเองนั้นแทบไม่ต้องทำ
เพราะทุกวันนี้เราสั่งจ่ายยาให้ 3 เดือน 6 เดือนอย่างกลุ่มโรคเรื้อรัง ก็จะมีการใช้บัตรประชาชนและคีย์ข้อมูลให้อยู่แล้ว ส่วนที่จะต้องมา รพ.ก็จะมาเพียงครั้งเดียวแบบจำเป็นจริงๆ เพื่อลดการเดินทาง ซึ่งหากต้องยืนยันที่ รพ.ก็มาช่วงนั้นได้ แต่การปรับระเบียบแบบนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย
“การใช้แอปฯ สร้างความยุ่งยากกับคนสูงอายุ บางคนเขาไม่ได้มีลูกหลาน จะทำอย่างไร ขณะที่สิทธิบัตรทองกลับไม่มีปัญหา เพราะยืนยันตัวตนผ่าน รพ.ทำให้อยู่แล้ว หรือหากกรมบัญชีกลางต้องการยืนยันตัวตนเอง ก็สามารถให้ผู้ป่วยสิทธิข้าราชการทำได้ตอนมาที่ รพ. ไม่จำเป็นต้องยืนยันทุกครั้งที่จะเบิกยา เพราะถ้าทำแบบนี้ การใช้ระบบเทเลเมดิซีนก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อย่างเต็มที่” นพ.สมศักดิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีแบบนี้สวนทางกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการใช้ Digital Health อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนหรือไม่ นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ใช่ ซึ่งจริงๆ ตนกำลังติดตามกับทางกรมบัญชีกลางว่า จะมีแนวทางการแก้ปัญหาการยืนยันตัวตนอย่างไร
“สมชัย” ซัด หน้าที่”โฆษก” คือต้องชี้แจง-ทำความเข้าใจ ไม่ใช่ยอกย้อนหรือแซะ เหน็บขอให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ https://www.matichon.co.th/politics/news_4187152
“สมชัย” ซัด หน้าที่ “โฆษก” คือต้องชี้แจง-ทำความเข้าใจ ไม่ใช่ยอกย้อนหรือแซะ เหน็บขอให้ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
จากกรณีที่ นสพ.ชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล ออกมาชี้แจงคำถามสังคมเรื่องกรณีที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เช่าเครื่องบิน 30 ล้านบาท เพื่อนำคณะ 50 ชีวิต เดินทางไปร่วมประชุมยูเอ็นที่สหรัฐอเมริกา จนมีกระแสสังคมว่า มีการนำนักธุรกิจร่วมบินไปด้วย โดยระบุว่า นายกฯ มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจนั้น
เมื่อวันที่ 19 กันยายน นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับเรื่องหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล ใจความว่า
“โฆษกรัฐบาล มีไว้เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจชาวบ้าน ไม่ได้มีไว้เพื่อย้อนหรือแซะ”
นายกฯยกขบวน 50 คน ไปประชุม UN แต่ไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อต่อสังคม ผมจึงตั้งคำถามถึงข่าวลือว่า มีนักธุรกิจร่วมเดินทางด้วย โดยใช้งบประมาณของรัฐด้วยใช่หรือไม่
การมีนักธุรกิจไปหรือไม่มี ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบัง ไม่มีก็ไม่มี มีก็ยอมรับและเปิดเผยเหตุผล แสดงวิสัยทัศน์ทางธุรกิจมา ก็จบ
นี่คนสองคนตอบไม่ตรงกัน คนแรก นายกฯ ตอบไม่มี (เสียงต่ำ) คนที่สอง โฆษก แทนที่จะตอบไม่มี (กลัวบาป?) กลับตอบว่า นายกฯเขามีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ ไม่เหมือนนายสมชัย ที่ไม่มีวิสัยทัศน์ทางธุรกิจ
ตอบไม่มี (เสียงต่ำ) ก็จบ นี่ท่านโฆษกไม่ตอบให้ชัด
ครั้งแรกก็รัฏฐาธิปัตย์ ครั้งที่สองก็ไม่ตอบให้ชัด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ นะครับ
https://www.facebook.com/somchaivision/posts/pfbid02hLiknTPX5zaeWa2uBA1sey93Y3zPTPprgSqaxhq6Xy13JC1FCjZz5Lkq6EHkA4XTl