
- ไม่ได้สะใจที่สุดแต่โหดเอาเรื่องหลอนจนเผลอสะดุ้งอยู่เหมือนกัน ไม่ผิดหวังในค่ายผู้จัดจำหน่ายอย่าง A24 ที่รู้ใจคนดูนอกกระแสอย่างเราว่าทำหนังอย่างไรให้ถูกใจคนรักหนังประเภทนี้ และ ดีใจปนเหนือความคาดหมายกับผู้นำเข้าอย่าง Night Edge Pictures ที่ซื้อมาฉายให้ได้ชมกันอย่างกว้างขวาง ผมว่าเรื่องนี้แหล่ะเข้าที่สุดในบรรดาทุกเรื่องที่ผ่านมา ด้วยความที่เป็นหนังผีสัญชาติออสเตรเลียฟอร์มเล็กที่ไม่ได้ทำตามหลักสากลแบบหนังอเมริกันทำให้การเดินเรื่องทั้งหมดจึงไม่ได้ตามใจกระแสหลักแก่คนดูในด้านความบันเทิงตามแต่ละ Pattern เต็ม 100 % แต่สิ่งที่ได้ไปคือ Ideas ที่สดใหม่และสะอาดผ่านจากวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Danny Phillippou และ Michael 2 Phillippou พี่น้องยูทูปเบอร์จากดินแดนจิงโจ้ ที่มีผลงานร่วมกันทางช่อง Youtube พอมากำกับและเขียนบทในหนังใหญ่ร่วมกันเป็นครั้งแรก มันจึงกลายเป็นความท้าทายในสเกลที่ใหญ่ขึ้น สิ่งที่ได้เห็นหลังจากดูจบจึงเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำไร้ข้อผูกมัดของความเป็นครีเอเตอร์ที่ใช้ในการเล่าเรื่องง่าย ๆ ได้ถูกที่ถูกเวลาแล้วแทรกปมเสริมประเด็นสังคมลงไป ทั้ง การปรากฎของผีที่มีไม่มากแต่มาทีโดนถูกดอก , การไม่เน้นจังหวะ Jump Scared เหมือนในหนัง Horror ที่นิยมใช้กันแต่สอดแทรกพื้นที่ประเด็นสังคมถึงปัญหาครอบครัวของMia และ ปัญหาการเข้าสังคมกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อเพิ่มน้ำหนักในตัวบทให้มีความเป็นดราม่า-จิตวิทยาเข้าไป Support ตัวละครด้วย ซึ่งหนังทำการบ้านมาดีในส่วนนี้อีกทั้งให้ข้อคิดกับเราด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ทำงานกับความรู้สึกของเราได้อย่างรวดเร็ว

- ดูไปทั้งสงสาร , สมน้ำหน้า และ หงุดหงิดกับพฤติกรรมและความคิดสุดโต่งของตัวละครพวกนี้จนอยากจะลุกขึ้นไปตบกบาลเรียงตัวมากที่ทำอะไรเกินตัวเพียงแค่เอาความสนุกชั่ววูบกับการหาทำกับสิ่งลี้ลับแล้วถ่ายคลิปเรียกยอดไลค์ในโลก Social โดยไม่คำนึงว่าผลลัพธ์ที่ตามมาว่าอะไรควรเล่นอะไรไม่ควรเล่นแต่หนังก็ได้ให้เหตุผลรองรับกับเราอยู่บ้างว่ามันเป็นยังงี้ยังงั้นแต่ก็เลิกหงุดหงิดในความงี่เง่าไม่ได้ที่ตัวละครพวกนี้มันไม่รู้สี่รู้แปดห่าเหวยังถลำเล่นกับมันต่อไปอีก พอเกิดเรื่องขึ้นมาก็ทำมาโทษคนนุ้นคนนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกนั่นแหล่ะที่สมัครใจเล่นกันเอง ไอ้แม่ เทียบกับฝั่งเอเชียบ้านเราแล้วยังพอรู้สาหรือเอะใจอะไรกันมั่ง บางครั้งความกล้ากับความโง่บางทีมันมีเส้นบาง ๆ มีกั้นอยู่เท่านั่นเอง คิดวิเคราะห์แยกแยะจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมาก ๆ

- คือ ระหว่างดูไปก็นั่งด่าถึงความลำไยของตัวละครเหล่าฮอร์โมนพวกนี้ในใจเป็นระยะ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตอนดูเรื่อง Speak No Evil (2022) ลอยขึ้นมาในหัว แต่ยังดีที่เรื่องนี้ตัวละครแต่ละคนแม้จะมีนิสัยทีเล่นทีจริงในความเป็นวัยรุ่นเห่อมอยแต่ก็ยังหาวิธีร่วมกันแก้ไขจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น มันเลยทำให้เราแอบมีความหวังเอาใจช่วยอยู่ในตัวละครเป็นระยะ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนเรื่องนั้นที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ทำตัวไร้ความคิด ยอมเป็นคนดีย์เชื่อฟังฆาตกรซื่อสัตย์ยิ่งกว่าอะไรจนชีวิตพังพินาศถึงกับสวดยับยันโคตรเหง้าเหล่ากอตลอดทั้งเรื่องมาแล้ว

- เริ่มแรกที่ทิ้งปมได้น่าสนใจจนอยากติดตามต่ออย่างรวดเร็ว เราก็พอจะคาดเดาประมาณนึงได้ว่าบทสรุปของหนังจะเป็นอย่างไร แต่อีกส่วนหนึ่งก็เผื่อใจไว้ให้หนังทำงานตามประสาของมันบ้าง ความสนุกบางทีไม่ได้อยู่ที่การนั่งรอจังหวะการปรากฎตัวของผีอย่างเดียวแต่การให้เรามีส่วนร่วมเข้าไปสำรวจในปมของนางเอกอย่าง Mia ทีละนิดละน้อยถึงการพยายามอยากมีตัวตนในสายตาเพื่อนฝูงมากแค่ไหนเพื่อกลบแผลที่เกิดจากการสูญเสียจนกลายเป็นปัญหาในครอบครัวที่ไม่ได้เป็น Safe Zone ที่ดีต่อไป ดังนั้นการที่ Mia ไปนอนบ้านเพื่อนสนิทอย่าง Jade และ Riley แล้วออกไป Hangout สุมหัวเมายาเสพสมปลาปิ้งกับเพื่อน ๆ ฮอร์โมนพวกนั้นจึงเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวความเจ็บปวดตรงนี้ ถึงแม้ยอมพาตนเองไปเล่นเกมส์ Talk to me ตามชื่อเรื่องเพื่อต้องการให้เพื่อน ๆ เหล่านั้นยอมรับตัวตนก็ตาม ซึ่งผมว่าตรงจุดนี้หนังสื่อความหมายผ่านยุคปัจจุบันของคนทุกวัยที่ไม่ใช่แค่ยุค Gen Z ที่เข้าใจอย่างเดียวรวมถึงคน Gen Y อย่างเราก็อินไปกับมันไม่น้อยเช่นกัน

- ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที ที่สั้นและผ่านไปอย่างไว ระหว่างทางมีช่วงเนือย ๆ ลดความตื่นเต้นไปบ้างแต่ไม่วูบหลับ เพราะบรรยากาศรอบข้างในหนังกับภาพมืด ๆ เป็นบางช่วงที่ดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็ช่วยบิ้วท์ให้เราตื่นกลัวตลอด ระแวงว่าอะไรจะโผล่มาหน้าจอมั่งไม่รู้ ซึ่งความระทึกจากจังหวะผีหลอกที่มาไม่พร่ำเพรื่อหรือการคลี่คลายปมไปทีละอย่างยังทำหน้าที่ของมันต่อเนื่อง แต่รู้สึกว่ายังงุบงิบอะไรหลายอย่าง ทั้งที่ถ้าเล่นแรง ๆ กว่านี้ก็ทำได้ ปัญหาใหญ่คือตัวเจ้าปัญหาอย่างมือปริศนาไม่ได้บอกว่ามาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง มีเพียงคำบอกเล่าลอย ๆ ของ 1 ในก๊วนฮอร์โมนในขณะที่หน้าตาท่าทางดูรู้เลยว่าเติมมาแล้วเต็มบ้องแค่นั้น พอเกิดเรื่องขึ้นพวกวัยรุ่นเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองมากกว่าจะขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รู้ห่าเหวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกตนเอง ซึ่งทั้งเรื่องเราจะเห็นการรวมหัวกันแก้ปัญหาด้วยตนเองตามมีตามเกิดของเด็กพวกวัยนี้เอเองโดยที่ดูไปก็ขัดใจว่าทำไมพวกไม่บอกพ่อแม่หรือไม่ก็ไปหาบาทหลวงหรือหมอผีมาช่วยจัดการให้จบ ๆ ไปเลยวะ แต่หนังก็อธิบายให้เราเห็นภาพพอสมควรก็ทำให้เข้าใจมุมมองของพวกเด็กนี้ มันจึงกลายเป็นบทสรุปที่ไม่ยากเกินคาดเดานักทำออกมาได้เวิร์คจนน่าทึ่งอยู่แต่อีกใจนึงก็รู้สึกสะเทือนใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ยุติธรรมกับการจงใจเลือกเล่นงานตัวละครให้เกิดขึ้นโดยตรงมากกว่าคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมด้วยกันกับเรื่องนี้

- สรุป ชอบมาก สนุก ตื่นเต้น กดดัน และ หวาดเสียวเป็นระยะ โดยเฉพาะฉากผีเข้าสิงและฉากเลือดออกจนไม่กล้าดูกลัวภาพจะติดตา เป็นหนัง Horror ที่ใช้ Concept ในรูปแบบการส่งต่อโอนถ่ายคำสาปจากคนสู่คนผ่านวัตถุหรือพลังอะไรบางอย่างคล้ายกับ The Ring (1998) และ Smiles (2022) ได้เข้าท่าแล้วสอดแทรกของความเป็นดราม่า-จิตวิทยาสำรวจจิตใจมนุษย์ได้ลงตัวและมีชั้นเชิงในการเล่าที่ไม่ดูถูกคนดูแถมให้ข้อคิดสอนใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันไว้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างสมจริงจนขำไม่ออกว่าอย่าหาทำในสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะประเด็นครอบครัวที่ผมสัมผัสง่ายกว่าความสัมพันธ์เพื่อนฝูงที่เราไม่มีเพื่อนมากมายอะไรจึงไม่ค่อยอินในส่วนนี้ กลับกันปมที่ Mia มีปัญหากับพ่อเพราะการเสียชีวิตของแม่นอกจากเป็นอีกชนวนเหตุสำคัญแล้วยังเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวกับเราจนเก็บไปตั้งคำถามว่าบางทีความรักความอบอุ่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิต ในเมื่อสังคมเพื่อนคือคนที่เข้าใจความรู้สึกให้อิสระการใช้ชีวิตมากกว่า จึงไม่แปลกที่ตัว Mia หรือเด็กวัยฮอร์โมนส่วนใหญ่จะอยู่กับเพื่อนตัวติดเป็นตังเมได้ทั้งวัน ยิ่งด้วยยุคปัจจุบันเป็นโลกของเทคโนโลยีสื่อ Social ที่เติบโตไปเรื่อย ๆ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ถดถอยลงเข้าไปอีก

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
[CR] No.60 Talk to me : รักฉัน คิดถึงฉัน อย่าจับมือฉัน
- ไม่ได้สะใจที่สุดแต่โหดเอาเรื่องหลอนจนเผลอสะดุ้งอยู่เหมือนกัน ไม่ผิดหวังในค่ายผู้จัดจำหน่ายอย่าง A24 ที่รู้ใจคนดูนอกกระแสอย่างเราว่าทำหนังอย่างไรให้ถูกใจคนรักหนังประเภทนี้ และ ดีใจปนเหนือความคาดหมายกับผู้นำเข้าอย่าง Night Edge Pictures ที่ซื้อมาฉายให้ได้ชมกันอย่างกว้างขวาง ผมว่าเรื่องนี้แหล่ะเข้าที่สุดในบรรดาทุกเรื่องที่ผ่านมา ด้วยความที่เป็นหนังผีสัญชาติออสเตรเลียฟอร์มเล็กที่ไม่ได้ทำตามหลักสากลแบบหนังอเมริกันทำให้การเดินเรื่องทั้งหมดจึงไม่ได้ตามใจกระแสหลักแก่คนดูในด้านความบันเทิงตามแต่ละ Pattern เต็ม 100 % แต่สิ่งที่ได้ไปคือ Ideas ที่สดใหม่และสะอาดผ่านจากวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ Danny Phillippou และ Michael 2 Phillippou พี่น้องยูทูปเบอร์จากดินแดนจิงโจ้ ที่มีผลงานร่วมกันทางช่อง Youtube พอมากำกับและเขียนบทในหนังใหญ่ร่วมกันเป็นครั้งแรก มันจึงกลายเป็นความท้าทายในสเกลที่ใหญ่ขึ้น สิ่งที่ได้เห็นหลังจากดูจบจึงเต็มไปด้วยความบ้าระห่ำไร้ข้อผูกมัดของความเป็นครีเอเตอร์ที่ใช้ในการเล่าเรื่องง่าย ๆ ได้ถูกที่ถูกเวลาแล้วแทรกปมเสริมประเด็นสังคมลงไป ทั้ง การปรากฎของผีที่มีไม่มากแต่มาทีโดนถูกดอก , การไม่เน้นจังหวะ Jump Scared เหมือนในหนัง Horror ที่นิยมใช้กันแต่สอดแทรกพื้นที่ประเด็นสังคมถึงปัญหาครอบครัวของMia และ ปัญหาการเข้าสังคมกับเพื่อนในวัยเดียวกัน เพื่อเพิ่มน้ำหนักในตัวบทให้มีความเป็นดราม่า-จิตวิทยาเข้าไป Support ตัวละครด้วย ซึ่งหนังทำการบ้านมาดีในส่วนนี้อีกทั้งให้ข้อคิดกับเราด้วยเช่นกัน จึงไม่แปลกที่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ทำงานกับความรู้สึกของเราได้อย่างรวดเร็ว
- ดูไปทั้งสงสาร , สมน้ำหน้า และ หงุดหงิดกับพฤติกรรมและความคิดสุดโต่งของตัวละครพวกนี้จนอยากจะลุกขึ้นไปตบกบาลเรียงตัวมากที่ทำอะไรเกินตัวเพียงแค่เอาความสนุกชั่ววูบกับการหาทำกับสิ่งลี้ลับแล้วถ่ายคลิปเรียกยอดไลค์ในโลก Social โดยไม่คำนึงว่าผลลัพธ์ที่ตามมาว่าอะไรควรเล่นอะไรไม่ควรเล่นแต่หนังก็ได้ให้เหตุผลรองรับกับเราอยู่บ้างว่ามันเป็นยังงี้ยังงั้นแต่ก็เลิกหงุดหงิดในความงี่เง่าไม่ได้ที่ตัวละครพวกนี้มันไม่รู้สี่รู้แปดห่าเหวยังถลำเล่นกับมันต่อไปอีก พอเกิดเรื่องขึ้นมาก็ทำมาโทษคนนุ้นคนนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกนั่นแหล่ะที่สมัครใจเล่นกันเอง ไอ้แม่ เทียบกับฝั่งเอเชียบ้านเราแล้วยังพอรู้สาหรือเอะใจอะไรกันมั่ง บางครั้งความกล้ากับความโง่บางทีมันมีเส้นบาง ๆ มีกั้นอยู่เท่านั่นเอง คิดวิเคราะห์แยกแยะจึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมาก ๆ
- คือ ระหว่างดูไปก็นั่งด่าถึงความลำไยของตัวละครเหล่าฮอร์โมนพวกนี้ในใจเป็นระยะ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตอนดูเรื่อง Speak No Evil (2022) ลอยขึ้นมาในหัว แต่ยังดีที่เรื่องนี้ตัวละครแต่ละคนแม้จะมีนิสัยทีเล่นทีจริงในความเป็นวัยรุ่นเห่อมอยแต่ก็ยังหาวิธีร่วมกันแก้ไขจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้น มันเลยทำให้เราแอบมีความหวังเอาใจช่วยอยู่ในตัวละครเป็นระยะ ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมเหมือนเรื่องนั้นที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วแต่ทำตัวไร้ความคิด ยอมเป็นคนดีย์เชื่อฟังฆาตกรซื่อสัตย์ยิ่งกว่าอะไรจนชีวิตพังพินาศถึงกับสวดยับยันโคตรเหง้าเหล่ากอตลอดทั้งเรื่องมาแล้ว
- เริ่มแรกที่ทิ้งปมได้น่าสนใจจนอยากติดตามต่ออย่างรวดเร็ว เราก็พอจะคาดเดาประมาณนึงได้ว่าบทสรุปของหนังจะเป็นอย่างไร แต่อีกส่วนหนึ่งก็เผื่อใจไว้ให้หนังทำงานตามประสาของมันบ้าง ความสนุกบางทีไม่ได้อยู่ที่การนั่งรอจังหวะการปรากฎตัวของผีอย่างเดียวแต่การให้เรามีส่วนร่วมเข้าไปสำรวจในปมของนางเอกอย่าง Mia ทีละนิดละน้อยถึงการพยายามอยากมีตัวตนในสายตาเพื่อนฝูงมากแค่ไหนเพื่อกลบแผลที่เกิดจากการสูญเสียจนกลายเป็นปัญหาในครอบครัวที่ไม่ได้เป็น Safe Zone ที่ดีต่อไป ดังนั้นการที่ Mia ไปนอนบ้านเพื่อนสนิทอย่าง Jade และ Riley แล้วออกไป Hangout สุมหัวเมายาเสพสมปลาปิ้งกับเพื่อน ๆ ฮอร์โมนพวกนั้นจึงเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้หลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวความเจ็บปวดตรงนี้ ถึงแม้ยอมพาตนเองไปเล่นเกมส์ Talk to me ตามชื่อเรื่องเพื่อต้องการให้เพื่อน ๆ เหล่านั้นยอมรับตัวตนก็ตาม ซึ่งผมว่าตรงจุดนี้หนังสื่อความหมายผ่านยุคปัจจุบันของคนทุกวัยที่ไม่ใช่แค่ยุค Gen Z ที่เข้าใจอย่างเดียวรวมถึงคน Gen Y อย่างเราก็อินไปกับมันไม่น้อยเช่นกัน
- ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง 35 นาที ที่สั้นและผ่านไปอย่างไว ระหว่างทางมีช่วงเนือย ๆ ลดความตื่นเต้นไปบ้างแต่ไม่วูบหลับ เพราะบรรยากาศรอบข้างในหนังกับภาพมืด ๆ เป็นบางช่วงที่ดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่แต่อย่างน้อยก็ช่วยบิ้วท์ให้เราตื่นกลัวตลอด ระแวงว่าอะไรจะโผล่มาหน้าจอมั่งไม่รู้ ซึ่งความระทึกจากจังหวะผีหลอกที่มาไม่พร่ำเพรื่อหรือการคลี่คลายปมไปทีละอย่างยังทำหน้าที่ของมันต่อเนื่อง แต่รู้สึกว่ายังงุบงิบอะไรหลายอย่าง ทั้งที่ถ้าเล่นแรง ๆ กว่านี้ก็ทำได้ ปัญหาใหญ่คือตัวเจ้าปัญหาอย่างมือปริศนาไม่ได้บอกว่ามาจากไหน ใครเป็นคนสร้าง มีเพียงคำบอกเล่าลอย ๆ ของ 1 ในก๊วนฮอร์โมนในขณะที่หน้าตาท่าทางดูรู้เลยว่าเติมมาแล้วเต็มบ้องแค่นั้น พอเกิดเรื่องขึ้นพวกวัยรุ่นเลือกที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเองมากกว่าจะขอความช่วยเหลือจากพวกผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รู้ห่าเหวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกตนเอง ซึ่งทั้งเรื่องเราจะเห็นการรวมหัวกันแก้ปัญหาด้วยตนเองตามมีตามเกิดของเด็กพวกวัยนี้เอเองโดยที่ดูไปก็ขัดใจว่าทำไมพวกไม่บอกพ่อแม่หรือไม่ก็ไปหาบาทหลวงหรือหมอผีมาช่วยจัดการให้จบ ๆ ไปเลยวะ แต่หนังก็อธิบายให้เราเห็นภาพพอสมควรก็ทำให้เข้าใจมุมมองของพวกเด็กนี้ มันจึงกลายเป็นบทสรุปที่ไม่ยากเกินคาดเดานักทำออกมาได้เวิร์คจนน่าทึ่งอยู่แต่อีกใจนึงก็รู้สึกสะเทือนใจกับผลลัพธ์ที่ออกมาไม่ยุติธรรมกับการจงใจเลือกเล่นงานตัวละครให้เกิดขึ้นโดยตรงมากกว่าคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมด้วยกันกับเรื่องนี้
- สรุป ชอบมาก สนุก ตื่นเต้น กดดัน และ หวาดเสียวเป็นระยะ โดยเฉพาะฉากผีเข้าสิงและฉากเลือดออกจนไม่กล้าดูกลัวภาพจะติดตา เป็นหนัง Horror ที่ใช้ Concept ในรูปแบบการส่งต่อโอนถ่ายคำสาปจากคนสู่คนผ่านวัตถุหรือพลังอะไรบางอย่างคล้ายกับ The Ring (1998) และ Smiles (2022) ได้เข้าท่าแล้วสอดแทรกของความเป็นดราม่า-จิตวิทยาสำรวจจิตใจมนุษย์ได้ลงตัวและมีชั้นเชิงในการเล่าที่ไม่ดูถูกคนดูแถมให้ข้อคิดสอนใจเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในปัจจุบันไว้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างสมจริงจนขำไม่ออกว่าอย่าหาทำในสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็น โดยเฉพาะประเด็นครอบครัวที่ผมสัมผัสง่ายกว่าความสัมพันธ์เพื่อนฝูงที่เราไม่มีเพื่อนมากมายอะไรจึงไม่ค่อยอินในส่วนนี้ กลับกันปมที่ Mia มีปัญหากับพ่อเพราะการเสียชีวิตของแม่นอกจากเป็นอีกชนวนเหตุสำคัญแล้วยังเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวกับเราจนเก็บไปตั้งคำถามว่าบางทีความรักความอบอุ่นก็ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิต ในเมื่อสังคมเพื่อนคือคนที่เข้าใจความรู้สึกให้อิสระการใช้ชีวิตมากกว่า จึงไม่แปลกที่ตัว Mia หรือเด็กวัยฮอร์โมนส่วนใหญ่จะอยู่กับเพื่อนตัวติดเป็นตังเมได้ทั้งวัน ยิ่งด้วยยุคปัจจุบันเป็นโลกของเทคโนโลยีสื่อ Social ที่เติบโตไปเรื่อย ๆ ยิ่งกระตุ้นให้เกิดช่องว่างความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ถดถอยลงเข้าไปอีก
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ เมื่อได้อ่านแล้ว สามารถกด Like กด Share บทความของผม และ ติดตามช่องทาง Facebook : EM Pascal เพื่อเป็นกำลังใจในการรีวิวครั้งต่อไป ขอบคุณครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้