Chalun Ch
เด็กหญิงตัวผอม ๆ สวมเสื้อแขนกุดสีเหลืองลายลูกเป็ดกางเกงสีแดงลายกล้วยหอมจอมซนซึ่งเป็นกางเกงที่เด็กน้อยเลือกเองที่ตลาดนัดเมื่อวันก่อนที่ยายพาไปซื้อ เธอขอยายซื้อถึงสองตัวด้วยกันคละสีเพราะชอบที่ตัวการ์ตูน
เด็กหญิงเดินออกมาตามถนนในซอยบ้านของตนเพื่อจะไปยังร้านค้าที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้ ไม่รู้เลยว่า 'ร้านส้มตำ' ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ พ.ศ. อะไร เป็นร้านประจำหมู่บ้านและฝีมือของแม่ค้าก็เลิศรสมาก ๆ ครองแชมป์ร้านส้มตำในหมู่บ้านไปเลย
เด็กหญิงเดินผ่านบ้านของคนในซอยซึ่งรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ทว่าไม่มีใครอยู่บ้านสักคนบ้านปิดเงียบ พอเดินมาถึงหน้าปากซอยมีบ้านที่มีคนอยู่หนึ่งหลังเป็นตาเฒ่าซึ่งนั่งจักตอกอยู่หน้าบ้าน
'ไปไสนาง' ตาเงยหน้าถามเมื่อเห็นเธอเดินผ่าน
'บอสไปซื้อตำบักหุ่งให้อี่ยายตั้วใหญ่' เด็กหญิงตอบเพียงเท่านี้แล้วเดินผ่านตาเฒ่าไป มุ่งหน้าไปยังร้านส้มตำที่ว่า
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีเด็กหญิงก็เดินมาถึงร้านส้มตำเจ้าประจำ 'ใหญ่กันเอาตำบักหุ่งให้แนของบอสเอาบ่เผ็ดเด้อ'
'บักพริกสามเม็ดเผ็ดบ่' แม่ค้าถามเพราะจำได้ขึ้นใจว่าเด็กหญิงไม่กินเผ็ด
'เอาบักพริกก้นครกโลด จังบ่เผ็ด' ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มาซื้อส้มตำพูดแทรกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเด็กหญิงไม่รู้จักหรือคุ้นหน้าเลย
'ยายกับหลานเฮือนหนิกินบ่เผ็ดตั้ว กินตำบักหุ่งซุมื้อตะบ่กินเผ็ด' แม่ค้าตอบผู้ใหญ่คนนั้นด้วยรอยยิ้มและมองมายังเด็กหญิงด้วยแววตาประกายวาวด้วยความเอ็นดู
ภาพความทรงจำที่ยังไม่เลือนลางไปจากใจ บอสมองหญิงสูงวัยกำลังง่วนอยู่กับการตำส้มตำให้กับเธอ ริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่อยู่บนเนื้อตัวของหญิงชราคนนี้บอกว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ปีได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีแรงตำส้มตำขายให้กับคนในหมู่บ้าน จากปีนั้นที่บอสยังเป็นเด็กประถมตัวเล็ก ๆ จนตอนนี้บอสมีครอบครัวไปแล้วก็นับได้ว่าผ่านมายี่สิบกว่าปีได้ 'ยายกัน' ยังคงตำส้มตำขายให้เธอเหมือนเดิม และเธอยังกินพริกสามเม็ดเหมือนเดิม
"เมือมื้อใดนาง" ยายกันถาม
"วันที่สิบสองจ้า" บอสตอบ
"คุณสามีกะมานำบ่"
"มานำกันจ้า" บอสตอบยิ้ม ๆ เมื่อยายกันทำส้มตำเสร็จแล้วบอสก็หยิบกับข้าวพร้อมขนมอีกไม่กี่อย่างเพิ่มก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายตังค์แล้วเดินกลับบ้านของตน ณ เวลานี้ก็ไม่มีคุณตาใจดีที่บ้านอยู่หน้าปากซอยอีกแล้วเช่นกัน
.....
เด็กน้อยหกคนชายสองหญิงสี่กำลังแกว่งสวิงไปมาอยู่บนยอดหญ้าอ่อน ๆ ที่แตกหน่อหลังผ่านฤดูฝนมาไม่กี่เดือน กลางท้องนาท่ามกลางเม็ดฝนที่โปรยลงมาเป็นละอองเล็ก ๆ โดยที่แต่ละคนไม่กลัวว่าตกเย็นมาจะเป็นไข้เลยสักนิด บนศีรษะของแต่ละคนสวมถุงพลาสติกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ละอองฝนโดนหนังหัวซึ่งอาจจะทำให้เป็นไข้ได้ และนั่นก็เป็นความเชื่อที่เชื่อกันมาแบบเด็ก ๆ อย่างนั้นว่าถุงพลาสติกจะช่วยไม่ให้เป็นไข้ในยามที่ตากฝน
ฝนตกเป็นละอองอย่างนี้นับว่าเป็นโอกาสดีนัก เนื่องจากตั๊กแตนปีกของมันโดนเม็ดฝนเกาะก็จะทำให้บินไม่ได้ ง่ายต่อการไล่จับและก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ มีบ้างบางตัวที่บินได้แต่บินได้ไม่เร็วและสูงเท่าที่ควร
ทั้งหกคนง่วนอยู่กับการไล่จับตั๊กแตนกลางท้องนา เสียงตะโกนพูดคุยกันในยามเจอราชาตั๊กแตนที่เรียกว่า 'อี่ปีกแดง' ทั้งหกคนจะสามัคคีกันโดยอัตโนมัติโดยการล้อมจับกุมเจ้าตั๊กแตนตัวนี้ ใครได้ไปก็ไม่เสียดายเพราะสุดท้ายก็นำมาคั่วรวมกันกินมื้อเที่ยงด้วยกันอยู่ดี ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสูงวัยและชายสูงวัยง่วนอยู่กับการซ่อมคันนาอยู่ใกล้ ๆ
ตาง้างจอบขุดดินจากในนามาแปะรูที่รั่วจากน้ำฝนกัดเซาะให้สนิท ส่วนยายก็ช่วยตาหยิบจับเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกัน ตากับยายไม่ดุที่พวกหลาน ๆ ทั้งหกคนออกมาไล่จับตั๊กแตนตากฝนอย่างนี้
'อี่น้องบีมเบิ่ง ๆ บ่ต้องลัด พวกอ้ายจะลัดเอง' พี่บอมตะโกนบอกน้องสาวคนเล็กสุดไม่ให้ร่วมวงล้อมจับกุมเจ้าราชาตั๊กแตน เพราะเกรงว่าจะทำให้เสียรูปการณ์และปล่อยให้เจ้าตั๊กแตนหลุดรอดไปอย่างลอยนวล
'มันบินลงนั่น ๆ มืงแล่นอ้อมไปทางนั้นเลยปาว' พี่บอลพี่ชายคนรองร้องบอกพร้อมวิ่งไปดักอีกทางเหมือนกัน "แป้งทางนั่น บอสมืงนำ'
'อย่าฟ้าว ๆ กูจะไล่ให้มันบินขึ้นไป พวกมืงแกว่งหวิงใส่แม่น ๆ เลยเด้อ' พี่บอมร้องบอก ขณะนี้พวกเธอห้าคนพี่น้องยกเว้นน้องบีมกำลังล้อมจับเจ้าราชาตั๊กแตนไว้เป็นวงกลม ขณะนี้มันก็กำลังเกาะอยู่พุ่มหญ้าพุ่มหนึ่ง ส่วนน้องบีมที่ไม่ได้ร่วมวงด้วยก็กำลังทำหน้าที่ของตนโดยการแกว่งสวิงหาตัวอื่นแทน
'บอมเอาเลยพร้อมแล้ว' พี่แป้งให้สัญญาณ
พี่บอมแกว่งสวิงของตนเองไปยังเจ้าปีกแดงแล้วมันก็กระพือปีกบินขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็วแม้มีเม็ดฝนเกาะที่ปีก และสวิงทั้งสี่ดวงก็พร้อมกันทะยานเข้าใส่แต่...เจ้าราชาปีกแดงก็ยังรอดจากการล้อมจับกุมนี่ไปได้อย่างหวุดหวิด และนั่นแหละเด็กทั้งหกคนก็ไม่ยอมล่าถอยยังคงไล่ตามจับมันต่อไป...
ภาพเด็กน้อยหกคนวิ่งอยู่บนท้องนาเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะยังคงดังก้องกังวานอยู่ในความรู้สึก บอสยืนมองผืนนาที่เสาร์อาทิตย์ทีไรไม่เคยได้นอนดูการ์ตูนเหมือนเด็กคนอื่นสักที ตากับยายต้องปลุกแต่เช้าเพื่อมานาในยามหน้าฝนอย่างนี้ วัวควายที่เคยเต็มท้องนาในยามนี้ก็หดหายไปมาก เหลือให้เห็นน้อยเหลือเกิน จากที่เมื่อก่อนเลี้ยงกันแทบทุกบ้าน
บอสยิ้มให้กับท้องนาของตนเองที่ยามนี้ดูเปลี่ยนไปมาก...มากจริง ๆ เธอพักร้อนกลับมาที่บ้านเกิดทำให้วันวานที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปีย้อนกลับเข้ามาในหัวใจคล้ายว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง น้ำตาคลอมันคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องเก็บอะไรมาคิดให้ปวดสมอง และไม่ต้องปั้นหน้าเสแสร้งกับใคร
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรที่ควบคุมได้ ทำได้เพียงยืนยิ้มให้กับความคิดถึง ให้หวลนึกถึงอย่างมีความสุขก็เท่านั้นเอง...
จบ...
ในวันนี้
Chalun Ch
เด็กหญิงตัวผอม ๆ สวมเสื้อแขนกุดสีเหลืองลายลูกเป็ดกางเกงสีแดงลายกล้วยหอมจอมซนซึ่งเป็นกางเกงที่เด็กน้อยเลือกเองที่ตลาดนัดเมื่อวันก่อนที่ยายพาไปซื้อ เธอขอยายซื้อถึงสองตัวด้วยกันคละสีเพราะชอบที่ตัวการ์ตูน
เด็กหญิงเดินออกมาตามถนนในซอยบ้านของตนเพื่อจะไปยังร้านค้าที่เห็นมาตั้งแต่จำความได้ ไม่รู้เลยว่า 'ร้านส้มตำ' ร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ พ.ศ. อะไร เป็นร้านประจำหมู่บ้านและฝีมือของแม่ค้าก็เลิศรสมาก ๆ ครองแชมป์ร้านส้มตำในหมู่บ้านไปเลย
เด็กหญิงเดินผ่านบ้านของคนในซอยซึ่งรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี ทว่าไม่มีใครอยู่บ้านสักคนบ้านปิดเงียบ พอเดินมาถึงหน้าปากซอยมีบ้านที่มีคนอยู่หนึ่งหลังเป็นตาเฒ่าซึ่งนั่งจักตอกอยู่หน้าบ้าน
'ไปไสนาง' ตาเงยหน้าถามเมื่อเห็นเธอเดินผ่าน
'บอสไปซื้อตำบักหุ่งให้อี่ยายตั้วใหญ่' เด็กหญิงตอบเพียงเท่านี้แล้วเดินผ่านตาเฒ่าไป มุ่งหน้าไปยังร้านส้มตำที่ว่า
ใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีเด็กหญิงก็เดินมาถึงร้านส้มตำเจ้าประจำ 'ใหญ่กันเอาตำบักหุ่งให้แนของบอสเอาบ่เผ็ดเด้อ'
'บักพริกสามเม็ดเผ็ดบ่' แม่ค้าถามเพราะจำได้ขึ้นใจว่าเด็กหญิงไม่กินเผ็ด
'เอาบักพริกก้นครกโลด จังบ่เผ็ด' ผู้ใหญ่คนหนึ่งที่มาซื้อส้มตำพูดแทรกด้วยรอยยิ้ม ซึ่งเด็กหญิงไม่รู้จักหรือคุ้นหน้าเลย
'ยายกับหลานเฮือนหนิกินบ่เผ็ดตั้ว กินตำบักหุ่งซุมื้อตะบ่กินเผ็ด' แม่ค้าตอบผู้ใหญ่คนนั้นด้วยรอยยิ้มและมองมายังเด็กหญิงด้วยแววตาประกายวาวด้วยความเอ็นดู
ภาพความทรงจำที่ยังไม่เลือนลางไปจากใจ บอสมองหญิงสูงวัยกำลังง่วนอยู่กับการตำส้มตำให้กับเธอ ริ้วรอยแห่งกาลเวลาที่อยู่บนเนื้อตัวของหญิงชราคนนี้บอกว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมากี่ปีได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีแรงตำส้มตำขายให้กับคนในหมู่บ้าน จากปีนั้นที่บอสยังเป็นเด็กประถมตัวเล็ก ๆ จนตอนนี้บอสมีครอบครัวไปแล้วก็นับได้ว่าผ่านมายี่สิบกว่าปีได้ 'ยายกัน' ยังคงตำส้มตำขายให้เธอเหมือนเดิม และเธอยังกินพริกสามเม็ดเหมือนเดิม
"เมือมื้อใดนาง" ยายกันถาม
"วันที่สิบสองจ้า" บอสตอบ
"คุณสามีกะมานำบ่"
"มานำกันจ้า" บอสตอบยิ้ม ๆ เมื่อยายกันทำส้มตำเสร็จแล้วบอสก็หยิบกับข้าวพร้อมขนมอีกไม่กี่อย่างเพิ่มก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายตังค์แล้วเดินกลับบ้านของตน ณ เวลานี้ก็ไม่มีคุณตาใจดีที่บ้านอยู่หน้าปากซอยอีกแล้วเช่นกัน
.....
เด็กน้อยหกคนชายสองหญิงสี่กำลังแกว่งสวิงไปมาอยู่บนยอดหญ้าอ่อน ๆ ที่แตกหน่อหลังผ่านฤดูฝนมาไม่กี่เดือน กลางท้องนาท่ามกลางเม็ดฝนที่โปรยลงมาเป็นละอองเล็ก ๆ โดยที่แต่ละคนไม่กลัวว่าตกเย็นมาจะเป็นไข้เลยสักนิด บนศีรษะของแต่ละคนสวมถุงพลาสติกเอาไว้เพื่อกันไม่ให้ละอองฝนโดนหนังหัวซึ่งอาจจะทำให้เป็นไข้ได้ และนั่นก็เป็นความเชื่อที่เชื่อกันมาแบบเด็ก ๆ อย่างนั้นว่าถุงพลาสติกจะช่วยไม่ให้เป็นไข้ในยามที่ตากฝน
ฝนตกเป็นละอองอย่างนี้นับว่าเป็นโอกาสดีนัก เนื่องจากตั๊กแตนปีกของมันโดนเม็ดฝนเกาะก็จะทำให้บินไม่ได้ ง่ายต่อการไล่จับและก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ มีบ้างบางตัวที่บินได้แต่บินได้ไม่เร็วและสูงเท่าที่ควร
ทั้งหกคนง่วนอยู่กับการไล่จับตั๊กแตนกลางท้องนา เสียงตะโกนพูดคุยกันในยามเจอราชาตั๊กแตนที่เรียกว่า 'อี่ปีกแดง' ทั้งหกคนจะสามัคคีกันโดยอัตโนมัติโดยการล้อมจับกุมเจ้าตั๊กแตนตัวนี้ ใครได้ไปก็ไม่เสียดายเพราะสุดท้ายก็นำมาคั่วรวมกันกินมื้อเที่ยงด้วยกันอยู่ดี ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสูงวัยและชายสูงวัยง่วนอยู่กับการซ่อมคันนาอยู่ใกล้ ๆ
ตาง้างจอบขุดดินจากในนามาแปะรูที่รั่วจากน้ำฝนกัดเซาะให้สนิท ส่วนยายก็ช่วยตาหยิบจับเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยกัน ตากับยายไม่ดุที่พวกหลาน ๆ ทั้งหกคนออกมาไล่จับตั๊กแตนตากฝนอย่างนี้
'อี่น้องบีมเบิ่ง ๆ บ่ต้องลัด พวกอ้ายจะลัดเอง' พี่บอมตะโกนบอกน้องสาวคนเล็กสุดไม่ให้ร่วมวงล้อมจับกุมเจ้าราชาตั๊กแตน เพราะเกรงว่าจะทำให้เสียรูปการณ์และปล่อยให้เจ้าตั๊กแตนหลุดรอดไปอย่างลอยนวล
'มันบินลงนั่น ๆ มืงแล่นอ้อมไปทางนั้นเลยปาว' พี่บอลพี่ชายคนรองร้องบอกพร้อมวิ่งไปดักอีกทางเหมือนกัน "แป้งทางนั่น บอสมืงนำ'
'อย่าฟ้าว ๆ กูจะไล่ให้มันบินขึ้นไป พวกมืงแกว่งหวิงใส่แม่น ๆ เลยเด้อ' พี่บอมร้องบอก ขณะนี้พวกเธอห้าคนพี่น้องยกเว้นน้องบีมกำลังล้อมจับเจ้าราชาตั๊กแตนไว้เป็นวงกลม ขณะนี้มันก็กำลังเกาะอยู่พุ่มหญ้าพุ่มหนึ่ง ส่วนน้องบีมที่ไม่ได้ร่วมวงด้วยก็กำลังทำหน้าที่ของตนโดยการแกว่งสวิงหาตัวอื่นแทน
'บอมเอาเลยพร้อมแล้ว' พี่แป้งให้สัญญาณ
พี่บอมแกว่งสวิงของตนเองไปยังเจ้าปีกแดงแล้วมันก็กระพือปีกบินขึ้นบนอากาศอย่างรวดเร็วแม้มีเม็ดฝนเกาะที่ปีก และสวิงทั้งสี่ดวงก็พร้อมกันทะยานเข้าใส่แต่...เจ้าราชาปีกแดงก็ยังรอดจากการล้อมจับกุมนี่ไปได้อย่างหวุดหวิด และนั่นแหละเด็กทั้งหกคนก็ไม่ยอมล่าถอยยังคงไล่ตามจับมันต่อไป...
ภาพเด็กน้อยหกคนวิ่งอยู่บนท้องนาเสียงพูดคุยเสียงหัวเราะยังคงดังก้องกังวานอยู่ในความรู้สึก บอสยืนมองผืนนาที่เสาร์อาทิตย์ทีไรไม่เคยได้นอนดูการ์ตูนเหมือนเด็กคนอื่นสักที ตากับยายต้องปลุกแต่เช้าเพื่อมานาในยามหน้าฝนอย่างนี้ วัวควายที่เคยเต็มท้องนาในยามนี้ก็หดหายไปมาก เหลือให้เห็นน้อยเหลือเกิน จากที่เมื่อก่อนเลี้ยงกันแทบทุกบ้าน
บอสยิ้มให้กับท้องนาของตนเองที่ยามนี้ดูเปลี่ยนไปมาก...มากจริง ๆ เธอพักร้อนกลับมาที่บ้านเกิดทำให้วันวานที่ผ่านไปยี่สิบกว่าปีย้อนกลับเข้ามาในหัวใจคล้ายว่าเพิ่งผ่านไปเมื่อวานนี้เอง น้ำตาคลอมันคิดถึงตอนเด็ก ๆ ที่ไม่ต้องเก็บอะไรมาคิดให้ปวดสมอง และไม่ต้องปั้นหน้าเสแสร้งกับใคร
สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ต้องต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรที่ควบคุมได้ ทำได้เพียงยืนยิ้มให้กับความคิดถึง ให้หวลนึกถึงอย่างมีความสุขก็เท่านั้นเอง...
จบ...