ขบวนการบนโลกออนไลน์ นั้น ได้ทำกันอย่างมีระบบ และทำกันเป็นทีม มาอย่างยาวนาน มีลักษณะของการทำสงครามไซเบอร์ (Cyberwar)

โดยการสร้างข้อมูลเท็จต่างๆ มาใส่ร้ายป้ายสีสถาบัน

ซึ่งมีทั้งขบวนการที่อยู่ในประเทศ และต่างประเทศ โดยกระทำของขบวนการเหล่านี้ มีลักษณะ 7 ประการ

1. มีการเปิด Channel บน Youtube เพื่อเผยแพร่เนื้อหาใส่ร้ายป้ายสีสถาบันพระมหากษัตริย์ และเพื่อหารายได้

2. มักแอบอ้างว่าเป็น NGO หรือ กลุ่มที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน และโยงไปว่าถูก military junta หรือเผด็จการทหาร ซึ่งเป็นเครื่องมือของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่ใช้ ข่มขู่ รังแก หรือแม้กระทั้งการทำร้ายต่างๆ นาๆ ข้อนี้เป็นลักษณะร่วมกันที่เห็นได้ชัด 

ส่วนหนึ่งเป็นการเล่นเกมทำให้ตัวเองน่าสงสาร หรือ Poor me! อันเป็นเกมหนึ่งใน Games people play ของทฤษฎีการวิเคราะห์การติดต่อสัมพันธ์ (Transactional Analysis) ของ Eric Berne และเอามาใช้เป็นข้ออ้างในการขอลี้ภัยทางการเมืองด้วย วิธีการแบบนี้นักการเมืองบางพรรคในประเทศไทยก็ทำ เพื่อยั่วยุให้เกิดการฟ้องร้อง จับกุม ซึ่งต้องการมีคดีติดตัว เพื่อเป็นข้ออ้างในการขอลี้ภัย 

และอีกประการคือ ชอบอ้างประชาธิปไตย ซึ่งจะมีใครมีความคิดเห็นต่างกับพวกตนเองไม่ได้ โดยมักจะถูกแบนและถีบออกมาในทันทีหรือถูก block ไม่ให้แสดงความคิดเห็นได้ต่อไป 

3. กระบวนการล้มเจ้าบนโลกไซเบอร์ มีการจัดตั้งอย่างเข้มแข็ง ทำงานเป็นทีม มีการให้เงินทองอุดหนุนในการสนับสนุนการเคลื่อนไหว 

4. มีทีมที่ผลิตเนื้อหา (ใส่ร้ายป้ายสี) ทั้งการเขียนบท การเขียนงานวิชาการ การวาดภาพ การผลิตวีดีโอภาพเคลื่อนไหว แม้กระทั่งการแต่งเพลงเนื้อหาส่อเสียดหรือใส่ร้ายป้ายสีสถาบัน

ทีมผลิตเนื้อหานี้ มีตั้งแต่นักวิชาการที่รับเงินทุนวิจัยจาก NGO สายยุโรป และบางส่วนก็ยังอยู่ในประเทศไทย ส่วนใหญ่ถ้ามีเนื้อหาใส่ร้ายที่รุนแรง มักผลิตในต่างประเทศ เพราะพ้นอำนาจกฎหมายไทย ในการดำเนินการจับกุม

โดยเนื้อหาบิดเบือนเหล่านี้ แทรกซึมเข้าไปผ่านการ propaganda หรือการโฆษณาชวนเชื่อ ในขณะที่ศิลปินจำนวนหนึ่ง ก็เข้าร่วมในการสร้างผลงานเพื่อประชดประชัน แม้กระทั่งใส่ร้ายสถาบัน 

5. มีทีมนักรบไซเบอร์ (Cyber warriors) เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ไม่เปิดเผยตัวจริง โดยดำเนินการรบไซเบอร์ผ่านอวตาร (Avatar) มีการโพสต์ข้ามแพลทฟอร์ม (Cross-posting) โดยใช้สื่อสังคมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, Instagram, Twitter เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย (Target) ที่แตกต่างกันไป 

โดยทีมนักรบไซเบอร์เหล่านี้ ยังทำหน้าที่รายงาน (Report) เพจฝั่งตรงข้าม มีการพาทัวร์ไปลง จนต้องถูกปิดตัวลงชั่วคราว 

พฤติกรรมแบบนี้ทำกันเป็นประจำ หรือแม้กระทั่งไประรานกิจการร้านค้าที่เจ้าของต่อต้าน ก็จะพาพวกนักรบไซเบอร์เหล่านี้ไปถล่มด่า หรือตำหนิสินค้าและบริการ โดยใช้คำพูดหยาบคาย อย่างรุนแรง หรือมีกระทั่งการคุกคามทางเพศด้วยวาจากับคนที่เห็นต่าง อีกด้วย 

6. มีการใช้เงินในการทำการตลาดดิจิทัล (Digital marketing) เช่น การพยายาม boost ทั้ง Facebook Page และ Post เพื่อให้เกิดยอดวิวมากขึ้น หรือมีคนกดไลค์มากขึ้น เพจเหล่านี้มีอยู่มากพอสมควรบน Facebook แต่เมื่อมีการติดตามดำเนินคดี จะมีการปิดเพจหนี แต่ก็จะเปิดใหม่ขึ้นเรื่อยๆ 

7. ก่อให้การเกิดวิวาทะหรือการโต้เถียงกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ขบวนการล้มเจ้าไซเบอร์ ชอบมาก เพราะจะทำให้มีคนสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้จึงชอบเรียกแขก และหาเรื่องชวนทะเลาะ เพราะจะทำให้คนมาดูเยอะขึ้นเรื่อย ๆ

cr. https://www.facebook.com/111310777334938/photos/a.122011662931516/195076512291697/?locale=th_TH
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่