ท้าวความก่อนหน้าจะได้ดู The Nun ภาคนี้ มีเรื่องราวเล็กๆ เกิดขึ้น ไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดที่โรงภาพยนตร์นำ The Nun ภาคแรกกลับมาฉายอีกครั้ง (ก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์) โดยปกติตามวิสัยแล้วภาพยนตร์ที่จะนำกลับมาฉายเพื่อเรียกน้ำย่อยก่อน มักจะเป็นภาพยนตร์ระดับปรากฏการณ์ นึกไวๆ เลย ก็ Avatar (2009) ซึ่งไม่น่าแปลกใจ แต่ใครจะนึกว่า The Nun ที่ก็ไม่ได้อยู่ในระดับที่ต้องมีการปูพื้นเนื้อเรื่องอะไรขนาดนั้น กลับดันโผล่มาในรายชื่อภาพยนตร์เข้าฉายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยความมือไวบวกกับตัวหนังสือคาดแดงเล็กๆ บนภาพที่มองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร จึงกดซื้อตั๋วและเข้ามาดูอย่างเริงร่า แม้จะตะหงิดใจเล็กๆ ว่า “ทำไมหนังเข้าใหม่ถึงมีรอบน้อยจัง อ๋อ สงสัยเป็น Sneak Preview มั้ง” ด้วยความที่ฉายไปตั้ง 5 ปีแล้ว (นับจาก 2018) จึงจำอะไรฉากต้นเรื่องไม่ได้มากนัก ได้แต่ตั้งใจดูไปและก็สงสัยว่า “ทำไมภาคต่อมันเหมือนภาคแรกจัง” แต่ก็ยังไม่รู้ตัวและบอกตัวเองว่า “สงสัยปูพื้นก่อนมั้ง” จนกระทั่งชื่อหนังขึ้นว่า “The Nun” แบบเพียวๆ ถึงได้รู้แจ้งว่า มันคือภาคแรกนั่นแหละ
...
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว การได้ดูภาคแรกอีกครั้งทำให้พบว่า เราไม่สามารถคาดหวังให้เส้นเรื่องของปีศาจในร่างจำแลงแม่ชีที่ชื่อว่า “วาลัค” (Valak) นี้ มีกลิ่นอายเหมือนกับเส้นเรื่องหลักอย่าง The Conjuring ทั้งในแง่บรรยากาศความน่ากลัวของการเป็นบ้านผีสิงและคำสาปที่มีผลแค่ในวงแคบๆ ได้ แต่เป็นการต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่ท้าทายต่อพระเจ้าและศาสนาซึ่งดูแล้วโจ่งแจ้งและมีผลกระทบต่อผู้คนมากกว่านั้นหลายเท่าตัว

The Nun 2 จึงสานต่อเรื่องราวตรงนี้หลังจากทิ้งเชื้อไว้ตอนท้ายภาคแรก (และปลายทางที่ The Conjuring 2) โดยเมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี ตัวของ ซิสเตอร์ไอรีน (Taissa Farmiga) ก็กลายเป็นแม่ชีเต็มตัวแล้ว (สาบานตนในภาคแรก) ทางด้าน เฟรนชี่ (Jonas Bloquet) ก็แยกไปทำงานที่โรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นทั้งคู่ก็ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง โดยซิสเตอร์ไอรีน มีคู่หูใหม่อย่าง เดบร้า (Storm Reid) ทางด้านเฟรนชี่ก็เหมือนจะมีเพื่อนใหม่เป็นเด็กน้อยนามว่า โซฟี (Katelyn Rose Downey) อีกด้วย


อย่างที่บอกไปว่าจุดเด่นของ The Nun อยู่ที่การเป็นมารศาสนาของวาลัคนี่แหละ เหตุที่มันต้องจำแลงร่างเป็นแม่ชีก็เพราะมันต้องการท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทำให้สถานที่ที่ควรจะปลอดภัยกลับอันตราย บรรยากาศความน่ากลัวในโบสถ์ที่โรมาเนียจึงถูกขยายเป็นโรงเรียนสตรีที่เมืองตาราสคอน (Tarascon) ในฝรั่งเศส การออกแบบงานสร้างใน The Nun 2 จึงถูกเน้นไปที่ความเป็นคาทอลิกแบบเต็มรูปแบบ เพื่อสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและเพื่อให้เห็นว่าแม้แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าก็ไม่อาจขวางกั้นพลังของวาลัคผู้ชั่วร้ายได้ (อารมณ์อยู่ในวัดผีก็ยังตามมาหลอกได้)

แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์ผีแม่ชีตกอยู่ในจุดที่ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ จะไปทางน่ากลัวก็ทำได้ไม่สุด (The Conjuring 1 ยังคงขึ้นหิ้ง) จะเป็นแนวปราบผีสู้กันด้วยพิธีกรรมและไสยศาสตร์ก็ไม่ดีเท่า The Pope's Exorcist แม้ตัวผู้กำกับจะบอกว่าจุดเด่นของ The Nun อยู่ที่การเป็นภาพยนตร์สืบสวน แต่ปริศนาในเรื่องก็ช่างเรียบง่ายเหมือนนิทานก่อนนอน ไม่พอยังถูกนำมาย่อยง่ายพร้อมทาน ผู้ชมแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย เพียงแค่รอซิสเตอร์ไอรีนมาปราบปีศาจก็เป็นอันเสร็จสิ้น

จังหวะหลอกที่ดูสร้างสรรค์ที่สุด ยกให้ฉากแผงนิตยสาร (ที่ปรากฏในตัวอย่างเรียบร้อยแล้ว) น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากฉากนี้เลย แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในเรท R จึงสามารถถ่ายทอดความรุนแรงได้มาก (ไม่น่าจะโดนจำกัดเยอะ) แต่สิ่งที่เห็น คือ ภัยคุกคามจากผีแม่ชีดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ จะมีโหดก็ตอนเปิดเรื่องแค่นั้น ส่วนที่เหลือผู้ชมจะเพลิดเพลินกับการวิ่งหนีผีของเหล่าตัวละคร กับจังหวะหลอกที่ค่อนข้างจำเจ และแอคชั่นช่วงท้ายพอประมาณ ซึ่งชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า วาลัคมีพิษสงแค่นี้เองหรอ? ไม่ค่อยสมกับที่ประกาศไว้ใหญ่โตว่า “นี่เป็นปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาล The Conjuring”

ด้านไทส์ซ่า ฟาร์มิกา ในบทซิสเตอร์ไอรีน ที่ยังคงหน้าขาวใสเกือบทั้งเรื่อง คราวนี้ดูแก่กล้าวิชาในการปราบผีมากขึ้น เห็นเงาของลอร์เรน วอร์เรน (Lorraine Warren) จากเส้นเรื่องหลักอยู่ลางๆ และมีการเติมเนื้อเรื่องภูมิหลังของตัวละครนี้ให้มีน้ำหนักมากขึ้นด้วย (แม้จะไม่ค่อยน่าสนใจก็ตาม) ส่วนอีกคนอย่าง โจนาส โบลเก้ ในบทเฟรนชี่ ซึ่งดูมีบทบาทมากขึ้นในเรื่องของความสัมพันธ์กับโซฟีและแม่ของเธอ ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสามก็ชวนให้ตั้งคำถามอยู่ไม่น้อย

สรุป The Nun 2 เป็นการตอกย้ำความชัดเจนในจุดยืนของเส้นเรื่องผีแม่ชี ที่ไม่เน้นความหลอนแบบบ้านผีสิง แต่เน้นความระทึกในแบบที่มีนัยยะทางศาสนา ในส่วนของเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องยังไม่ได้มีความพิเศษต่างไปจากภาคแรก แม้จะพยายามใส่เรื่องราวภูมิหลังของตัวละครเข้ามา รวมถึงจังหวะหลอกก็ยังไม่มีอะไรดีพอจะเป็นจุดเด่นในภาคนี้
Story Decoder
[รีวิว] The Nun 2 - ความน่ากลัวจากผีแม่ชีที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามตัวเลขภาค
...
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายซะทีเดียว การได้ดูภาคแรกอีกครั้งทำให้พบว่า เราไม่สามารถคาดหวังให้เส้นเรื่องของปีศาจในร่างจำแลงแม่ชีที่ชื่อว่า “วาลัค” (Valak) นี้ มีกลิ่นอายเหมือนกับเส้นเรื่องหลักอย่าง The Conjuring ทั้งในแง่บรรยากาศความน่ากลัวของการเป็นบ้านผีสิงและคำสาปที่มีผลแค่ในวงแคบๆ ได้ แต่เป็นการต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายที่ท้าทายต่อพระเจ้าและศาสนาซึ่งดูแล้วโจ่งแจ้งและมีผลกระทบต่อผู้คนมากกว่านั้นหลายเท่าตัว
The Nun 2 จึงสานต่อเรื่องราวตรงนี้หลังจากทิ้งเชื้อไว้ตอนท้ายภาคแรก (และปลายทางที่ The Conjuring 2) โดยเมื่อเวลาผ่านไป 4 ปี ตัวของ ซิสเตอร์ไอรีน (Taissa Farmiga) ก็กลายเป็นแม่ชีเต็มตัวแล้ว (สาบานตนในภาคแรก) ทางด้าน เฟรนชี่ (Jonas Bloquet) ก็แยกไปทำงานที่โรงเรียนสตรีแห่งหนึ่ง เมื่อเกิดเรื่องราวขึ้นทั้งคู่ก็ต้องกลับมาเจอกันอีกครั้ง โดยซิสเตอร์ไอรีน มีคู่หูใหม่อย่าง เดบร้า (Storm Reid) ทางด้านเฟรนชี่ก็เหมือนจะมีเพื่อนใหม่เป็นเด็กน้อยนามว่า โซฟี (Katelyn Rose Downey) อีกด้วย
อย่างที่บอกไปว่าจุดเด่นของ The Nun อยู่ที่การเป็นมารศาสนาของวาลัคนี่แหละ เหตุที่มันต้องจำแลงร่างเป็นแม่ชีก็เพราะมันต้องการท้าทายความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า ทำให้สถานที่ที่ควรจะปลอดภัยกลับอันตราย บรรยากาศความน่ากลัวในโบสถ์ที่โรมาเนียจึงถูกขยายเป็นโรงเรียนสตรีที่เมืองตาราสคอน (Tarascon) ในฝรั่งเศส การออกแบบงานสร้างใน The Nun 2 จึงถูกเน้นไปที่ความเป็นคาทอลิกแบบเต็มรูปแบบ เพื่อสอดคล้องกับเนื้อเรื่องและเพื่อให้เห็นว่าแม้แต่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าก็ไม่อาจขวางกั้นพลังของวาลัคผู้ชั่วร้ายได้ (อารมณ์อยู่ในวัดผีก็ยังตามมาหลอกได้)
แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ภาพยนตร์ผีแม่ชีตกอยู่ในจุดที่ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” คือ จะไปทางน่ากลัวก็ทำได้ไม่สุด (The Conjuring 1 ยังคงขึ้นหิ้ง) จะเป็นแนวปราบผีสู้กันด้วยพิธีกรรมและไสยศาสตร์ก็ไม่ดีเท่า The Pope's Exorcist แม้ตัวผู้กำกับจะบอกว่าจุดเด่นของ The Nun อยู่ที่การเป็นภาพยนตร์สืบสวน แต่ปริศนาในเรื่องก็ช่างเรียบง่ายเหมือนนิทานก่อนนอน ไม่พอยังถูกนำมาย่อยง่ายพร้อมทาน ผู้ชมแทบไม่ต้องคิดอะไรเลย เพียงแค่รอซิสเตอร์ไอรีนมาปราบปีศาจก็เป็นอันเสร็จสิ้น
จังหวะหลอกที่ดูสร้างสรรค์ที่สุด ยกให้ฉากแผงนิตยสาร (ที่ปรากฏในตัวอย่างเรียบร้อยแล้ว) น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรเพิ่มเติมจากฉากนี้เลย แม้ภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในเรท R จึงสามารถถ่ายทอดความรุนแรงได้มาก (ไม่น่าจะโดนจำกัดเยอะ) แต่สิ่งที่เห็น คือ ภัยคุกคามจากผีแม่ชีดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ จะมีโหดก็ตอนเปิดเรื่องแค่นั้น ส่วนที่เหลือผู้ชมจะเพลิดเพลินกับการวิ่งหนีผีของเหล่าตัวละคร กับจังหวะหลอกที่ค่อนข้างจำเจ และแอคชั่นช่วงท้ายพอประมาณ ซึ่งชวนให้ตั้งข้อสงสัยว่า วาลัคมีพิษสงแค่นี้เองหรอ? ไม่ค่อยสมกับที่ประกาศไว้ใหญ่โตว่า “นี่เป็นปีศาจที่น่ากลัวที่สุดในจักรวาล The Conjuring”
ด้านไทส์ซ่า ฟาร์มิกา ในบทซิสเตอร์ไอรีน ที่ยังคงหน้าขาวใสเกือบทั้งเรื่อง คราวนี้ดูแก่กล้าวิชาในการปราบผีมากขึ้น เห็นเงาของลอร์เรน วอร์เรน (Lorraine Warren) จากเส้นเรื่องหลักอยู่ลางๆ และมีการเติมเนื้อเรื่องภูมิหลังของตัวละครนี้ให้มีน้ำหนักมากขึ้นด้วย (แม้จะไม่ค่อยน่าสนใจก็ตาม) ส่วนอีกคนอย่าง โจนาส โบลเก้ ในบทเฟรนชี่ ซึ่งดูมีบทบาทมากขึ้นในเรื่องของความสัมพันธ์กับโซฟีและแม่ของเธอ ซึ่งความสัมพันธ์ของทั้งสามก็ชวนให้ตั้งคำถามอยู่ไม่น้อย
สรุป The Nun 2 เป็นการตอกย้ำความชัดเจนในจุดยืนของเส้นเรื่องผีแม่ชี ที่ไม่เน้นความหลอนแบบบ้านผีสิง แต่เน้นความระทึกในแบบที่มีนัยยะทางศาสนา ในส่วนของเนื้อเรื่องและการดำเนินเรื่องยังไม่ได้มีความพิเศษต่างไปจากภาคแรก แม้จะพยายามใส่เรื่องราวภูมิหลังของตัวละครเข้ามา รวมถึงจังหวะหลอกก็ยังไม่มีอะไรดีพอจะเป็นจุดเด่นในภาคนี้
Story Decoder