ชาวเน็ตจวกยับ 'งบอาหารกลางวันนักเรียน 21 บาท' กับ 'ค่าอาหาร สส. 8xx บาท'
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7855596
ชาวเน็ตจวกยับ ภาพเปรียบเทียบ ‘งบอาหารกลางวันนักเรียน 21 บาท’ กับ ‘ค่าอาหาร สส. 8xx บาท’ คอมเมนต์ฟาด รายได้หลักแสน ชง ยกเลิกงบประมาณอาหาร สส.
วันนี้ (8 ก.ย. 66) กลายเป็นภาพไวรัลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ Facebook : The Common Thread หรือคุณ “
ฟาโรห์-เตชภณ คำสีแก้ว” ผู้ก่อตั้ง The Common Thread ช่องยูทูบเล่าเรื่องลึกลับในอดีตซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสน
โดยโพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า “
ภาพเปรียบเทียบระหว่าง งบอาหารกลางวันนักเรียนไทย กับ ค่าอาหารสมาชิกสภา”
ทั้งนี้เจ้าตัวยังเผยอีกว่า คิดถึงคำพูดของอาจารย์ป๋วยที่บอกว่า “
ถ้าเราไม่สามารถเจียดเงินมาเพื่อการศึกษา ก็ไม่น่าจะสามารถเจียดเงินไปสำหรับเรื่องอื่น”
“
เพราะปัญหาอื่น ๆ เช่น อาชญากรรม วัยรุ่น การปกครองประชาธิปไตย หรือแม้แต่การเศรษฐกิจและการผลิตต่ำ ปัญหาเหล่านี้จะป้องกันแก้ไขไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมลงทุนในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือคน”
โดยในภาพแบ่งอาหารเป็น 2 ด้าน ด้านแรกคือ อาหารนักเรียน พร้อมเขียนป้ายกำกับงบประมาณชัดเจนว่า 21 บาท เป็นอาหารในถาดหลุม มีข้าวกะเพรา ไข่ดาว 1 ชิ้น เนื้อสัตว์คาดว่าเป็นไก่ย่าง 1 ชิ้น และขนมปังครึ่งชิ้น
ขณะที่อีกด้านเป็นงบประมาณอาหารของสมาชิกสภา มีป้ายกำกับไว้ว่า 8xx ต่อวัน ซึ่งเป็นภาพอาหารที่มีความหรูหรา และปริมาณที่มากกว่าอย่างชัดเจน
ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล ทั้งจวกยับถึงความแตกต่างระหว่างงบอาหารกลางวันของนักเรียนไทย และค่าอาหารของสมาชิกสภา บางส่วนคอมเมนต์แชร์ประสบการณ์ของตนเองที่ลูกหลานเจอ ลั่น “
ส่งลูกไปเรียนเหมือนส่งลูกไปทรมาน”
ทั้งนี้ก็มีคอมเมนต์ว่า “
แล้ว สส. แx่งเอากลับบ้านด้วย” ทางคุณ ‘
ฟาโรห์’ ก็ตอบกลับใจความว่า
หากมื้อสุดท้ายของวันแล้วอาหารเหลือจริงๆ เอากลับเถอะ จะได้ไม่เหลือทิ้ง
พร้อมชงเข้ม ความคิดส่วนตัวว่า อยากให้ทบทวนเรื่องการยกเลิกงบประมาณค่าอาหารกลางวัสมาชิกสภาเหล่านี้ พร้อมลั่น
“เงินเดือนเรือนแสนซื้ออาหารรับประทานเองคงไม่ลำบากเกินไป” พร้อมเสริมว่า โดยปกติที่ทราบข้าราชการในหน่วยงานอื่นๆ ก็ต้องซื้ออาหารรับประทานเอง
พร้อมทิ้งท้ายว่า “
หากยังไม่สามารถยกเลิกได้ อาจใช้ระบบการลงทะเบียนแจ้งยอด เพื่อให้ทางฝ่ายครัวเตรียมอาหาร ให้พอดี ไม่เหลือทิ้งมากมายขนาดนี้”
https://www.facebook.com/TheCommonThreadBlog/posts/874023107418186?ref=embed_post
เพจดัง แนะเลิกทัศนคติ ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน คือ “ภาระ”
https://www.matichon.co.th/social/news_4169769
เพจดัง แนะเลิกทัศนคติ ทำเพื่อประโยชน์ ปชช. คือภาระ เผย ในแง่การแพทย์ ห้องแอร์ปลอดฝุ่นไม่ช่วยเรื่องสุขภาพ , ปลูกต้นไม้ช่วยลดฝุ่นดีกว่า
เมื่อวันที่ 8 กันยายน เพจ “
เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล” ได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่อง “ห้องแอร์ปลอดฝุ่น”
#ห้องแอร์ปลอดฝุ่น
เมื่อวานมีข่าวกรณี สภา กทม. มีการพิจารณาโครงการห้องเรียนติดแอร์ปลอดฝุ่น สำหรับเด็ก สำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม. ราว 400 โรงเรียน 1,700 ห้อง งบราวๆ 230 ล้านบาท สภา กทม. มีมติ ตัดงบส่วนนี้ออกไป
โดยมีข้อสรุป หรือ ความเห็นจาก สก. ที่เผยแพร่ออกมาจาก สื่อ ค่อนข้างหลากหลาย
ที่ฟังดู อีหยังวะ ก็มี ที่ฟังดูมีเหตุผลก็มี เอาที่มีเหตุผลที่สุด เท่าที่อ่านเจอมา คือ เรื่องการประเมินงบ ที่ค่อนข้างไม่เหมาะสม ที่ว่า การตั้งสเป็คของเครื่องปรับอากาศที่เกินความจำเป็น หรือ เหมาสเป็คแบบเดียวทั้ง 1,700 ห้อง
ทั้งที่แต่ละโรงเรียนไม่น่าจะเหมือนกันหมด รวมถึงว่าไม่มีรายละเอียดโครงการมากพอ
โดยย้ำว่าเห็นด้วย ในหลักการ แต่ความอีหยังวะ ของเรื่องนี้ก็คือ ท่าน สก. ที่ให้เหตุผลที่ฟังดูมีน้ำหนักนี้ ในคลิป ที่ท่านอภิปรายในสภา ที่มีการเผยแพร่ออกมา
ส่วนหนึ่งในการอภิปรายท่านกลับบอกว่า “เด็กสังกัดกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ไม่ได้รวย
เวลากลับไปอยู่บ้านไม่ได้นอนห้องแอร์
ท่านอย่าลืมอย่าลืมคิดตรงนี้ เพราะว่าเงินงบประมาณต่างๆ นั้น มันเป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วเราจะเอาโรงเรียน กทม. ไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนของเอกชนไม่ได้
ที่บอกว่าต้องติดแอร์ทุกห้อง เพราะอะไร อันนั้นพ่อแม่เขาพร้อม มีความพร้อมมีเงิน เชื่อว่าลูกของท่าน สก.หลายท่านหลายคน ที่อยู่ในห้องนี้ ท่านผู้บริหารเอาลูกไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนเอกชน ใช่ลูกท่านอยู่ในห้องแอร์ได้เพราะอะไร ท่านจ่ายค่าเทอมเท่าไหร่ แต่อย่าลืมนะกรุงเทพมหานครของเรา เรียนพรี เรียนดีอย่างคุณภาพ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ค่าใช้จ่ายค่าไฟตรงนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
อันนั้นเป็นเรื่องการบริหาร ผมคงให้ความเห็นมากไม่ได้ เพียงแค่สงสัยว่า ถ้าเห็นด้วยในหลักการ น่าจะมีกระบวนการ เห็นควรอนุมัติ แต่เสนอแก้ไข ในส่วนรายละเอียดกัน ไม่ได้เหรอ แทนที่จะตีตกไปเลย ซึ่งโครงการจะล่าช้าไปเป็นปี
เอาล่ะ ในแง่ทางการแพทย์ มีความเห็นที่ต้องเห็นแย้งที่สำคัญก็คือ ความเห็นในทำนองนี้ ครับ
– การทำห้องแอร์ปลอดฝุ่นไม่ช่วยเรื่องสุขภาพ
– จะลดฝุ่นให้ปลูกต้นไม้ในโรงเรียนดีกว่า
– ไม่คุ้มค่า
มีทั้งถูกทั้งผิดนะครับ กรณีนี้เราพูดถึงเด็กเล็ก เด็กอนุบาลนะครับ ถ้าใครมีลูกเล็กจะรู้ หรือ หมอที่ตรวจเด็กจะรู้ว่า เวลาเปิดเทอมเมื่อไหร่ เด็กๆ จะป่วยกันเยอะ เพราะสภาพสุขอนามัยในโรงเรียน หวัด น้ำมูกมาแน่ ไม่ต้องห่วง
ปัจจุบันก็ RSV ตอนนี้ก็ไข้หวัดใหญ่ กลุ่มนี้คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ สภาพห้องเรียนที่ติดแอร์ อาจจะเอื้อต่อการกระจายเชื้อมากกว่า ห้องเปิดโล่ง ที่มีอากาศถ่ายเท อากาศไหลเปลี่ยนผ่านตลอดเวลา
ดังนั้น ในแง่นี้ ห้องแอร์อาจไม่ดีต่อสุขภาพเด็กจริง ตามที่ ท่าน สก. อภิปราย แต่ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา
ในบ้านเรามีปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ตามชื่อโครงการคือ ห้องแอร์ปลอดฝุ่น แสดงว่าเป้าหมายจะเป็นเรื่องนี้
ก็ต้องบอกว่า ห้องแอร์ ห้องปิด
แม้จะกันฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้ทั้งหมด แต่จะลดปริมาณของฝุ่นลงได้จริงครับ (ถ้าเพิ่มเครื่องฟอกอากาศเข้าไปด้วยจะดีมาก)
การปลูกต้นไม้ ไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องนี้นะครับ การติดแอร์ ทำห้องปลอดฝุ่นสำหรับเด็กเล็ก มีเหตุมีผล สมควรอย่างยิ่ง เพราะเรารู้ มีข้อมูลรองรับมากพอแล้วว่า PM 2.5 นั้นมีผลกระทบระยะยาว กับระบบทางเดินหายใจไปจนถึงสมองเลย
ระยะยาว ไม่ได้แปลว่า ไม่ต้องรีบแก้ แต่ระยะยาวแปลว่า มันยังไม่เห็นผลเสียชัดๆ วันนี้ แต่มีแน่ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นควรแก้ไข สำหรับผมคุ้มแน่ คนที่บอกว่า ไม่คุ้มนี่เอาอะไรมาเป็นตัววัด
บ้านคนพูดติดแอร์ไหม แล้วมันคุ้มไหม?
อย่างไรก็ดี ก็ต้องมีกลยุทธ์ในการใช้ ไม่ใช่เปิดแอร์ตลอด ในฤดูฝน ช่วงที่มีการแพร่ระบาด ของไข้หวัด RSV ไข้หวัดใหญ่ ก็คือช่วงนี้ PM 2.5 ก็น้อยพอดี แบบนี้ไม่ต้องเปิดก็ได้ หรือเปิดเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนมาก
เที่ยงถึงบ่าย ก็ว่ากันไป เพื่อความประหยัด ของหลวง ทุกคนเข้าใจได้ว่าต้องประหยัด แต่ช่วงที่ ค่า PM สูง ฤดูแล้ง แบบนั้นก็เปิดไปเลยปลูกต้นไม้ เอาต้นไม้มาแขวนไม่ช่วยนะครับอันนี้ต้องเข้าใจด้วย
สุดท้าย กรุณา เลิกทัศนคติที่ว่า อะไรที่ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน เป็นภาระ เสียที
ไม่กี่วันก่อน กทม.เพิ่งแถลงว่าจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้นอยู่เลยภาษีนั่นก็เก็บจากประชาชนทั้งนั้น
https://twitter.com/MatichonOnline/status/1699709036592304385
ผู้เชี่ยวชาญพลังงานชี้ "เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ไม่ช่วยแก้ราคาน้ำมันแพง
https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/575448
ผู้เชี่ยวชาญพลังงานชี้ "เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ไม่ช่วยแก้ราคาน้ำมันแพง หลัง รมว. พลังงานประกาศนโยบาย ระบุชัดเจน ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และ 10 นำเข้าน้ำมันได้อย่างเสรีเป็นเรื่องปกติ
"
เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ประะเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ และมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง หลังจากที่นาย
พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประกาศออกมา โดยมุ่งหวังให้เป็นหนึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง
ซึ่งจากคำพูดของนาย
พีระพันธุ์ ก็คือ มองว่าควรจะให้โอกาสเสรีในการหาน้ำมันสำเร็จรูป ที่ไม่ใช่การนำน้ำมันดิบเข้ามากลั่นจนทำให้มีต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ควบคุมลำบาก แต่หากเป็นการนำน้ำมันสำเร็จรูปที่ไม่ต้องมีค่าการกลั่น หรือค่าใช้จ่ายอื่น เพราะราคาทุกอย่างคำนวณจบแล้ว หากผู้ใดที่สามารถนำพลังงานราคาถูกเข้ามาได้ ก็ควรเปิดโอกาสให้ทำได้ โดยภาครัฐควรจะเป็นผู้กำกับดูแลให้การจัดหาพลังงานเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว ไม่ใช่วางกฎกติกาจนทำไม่ได้
อย่างไรก็ดี ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 2543 สามารถนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปได้อยู่แล้ว ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องสำรองน้ำมันต่างหากด้วย มีคลังรองรับเพื่อความมั่นคง ถือเป็นต้นทุนอีกทางหนึ่ง
ประเด็นดังกล่าวนี้ได้รับคำยืนยันชัดเจนจากทั้งแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน และผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมัน
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น "
ฐานเศรษฐกิจ" จึงถือโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "
ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันดังกล่าว โดยได้รับคำตอบว่า
ตามปกติการนำเข้าน้ำมันก็เป็นอย่างเสรีอยู่แล้ว ไม่มีช้อห้าม ไม่มีเงื่อนไข และไม่มีโควต้าจำกัด สำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และมาตรา 10 (รายย่อย) ไม่มีโควต้า
ส่วนการที่จะต้องมีการสำรองน้ำมันก็ถือว่าเป็เนรื่องที่ปกติ
"
ตนก็ยังงงอยู่ว่าการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันจะช่วยแก้ปัญหาน้ำมันแพงได้อย่างไร เพราะปัจจุบันก็เปิดให้นำเข้าเสรีอยู่แล้วมทุกสเปคน้ำมัน ไม่ต้องขออนุญาติ เพียงแต่จะต้องแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทราบเท่านั้น เพื่อทำเป็นสถิติ"
สำหรับตนมองว่าเวลานี้ไม่รู้เลยว่าฝ่ายใดที่กำลังเข้าใจผิด เพราะผู้ค้าน้ำมันเองก็เข้าใจเรื่องการนำเข้าน้ำมันแบบนั้น
อย่างไรก็ดี หากถามว่าผู้ใดที่จะได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว คงตอบยากเพราะก็ปฏิบัติกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด
ยกเว้นก๊าซหุงต้มที่ต้องมีการขออนุญาติ ซึ่งควบคุมมานาน เนื่องจากมีการชดเชยข้ามแหล่ง เพราะมาจากหลายแหล่ง เช่น โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นของ ปตท. หรือนำเข้าก็ได้ ซึ่งต้องนำมาบริหารจัดการเรื่องเงินชดเชย หรือเงินอุดหนุน ซึ่งปัจจุบันอุดหนุนอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะมาจากแหล่งที่แตกต่างกัน ต้นทุนจึงไม่เท่ากัน
JJNY : จวกยับงบอาหารกลางวัน│เพจดัง แนะเลิกทัศนคติ│"เสรีนำเข้าน้ำมัน"ไม่ช่วยแก้น้ำมันแพง│อาเซียนเมินประชุมผบ.กองทัพอากาศ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7855596
ชาวเน็ตจวกยับ ภาพเปรียบเทียบ ‘งบอาหารกลางวันนักเรียน 21 บาท’ กับ ‘ค่าอาหาร สส. 8xx บาท’ คอมเมนต์ฟาด รายได้หลักแสน ชง ยกเลิกงบประมาณอาหาร สส.
วันนี้ (8 ก.ย. 66) กลายเป็นภาพไวรัลที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักไปทั่วโลกโซเชียล เมื่อผู้ใช้ Facebook : The Common Thread หรือคุณ “ฟาโรห์-เตชภณ คำสีแก้ว” ผู้ก่อตั้ง The Common Thread ช่องยูทูบเล่าเรื่องลึกลับในอดีตซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 6 แสน
โดยโพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า “ภาพเปรียบเทียบระหว่าง งบอาหารกลางวันนักเรียนไทย กับ ค่าอาหารสมาชิกสภา”
ทั้งนี้เจ้าตัวยังเผยอีกว่า คิดถึงคำพูดของอาจารย์ป๋วยที่บอกว่า “ถ้าเราไม่สามารถเจียดเงินมาเพื่อการศึกษา ก็ไม่น่าจะสามารถเจียดเงินไปสำหรับเรื่องอื่น”
“เพราะปัญหาอื่น ๆ เช่น อาชญากรรม วัยรุ่น การปกครองประชาธิปไตย หรือแม้แต่การเศรษฐกิจและการผลิตต่ำ ปัญหาเหล่านี้จะป้องกันแก้ไขไม่ได้ ถ้าเราไม่ยอมลงทุนในสิ่งที่ประเสริฐที่สุด คือคน”
โดยในภาพแบ่งอาหารเป็น 2 ด้าน ด้านแรกคือ อาหารนักเรียน พร้อมเขียนป้ายกำกับงบประมาณชัดเจนว่า 21 บาท เป็นอาหารในถาดหลุม มีข้าวกะเพรา ไข่ดาว 1 ชิ้น เนื้อสัตว์คาดว่าเป็นไก่ย่าง 1 ชิ้น และขนมปังครึ่งชิ้น
ขณะที่อีกด้านเป็นงบประมาณอาหารของสมาชิกสภา มีป้ายกำกับไว้ว่า 8xx ต่อวัน ซึ่งเป็นภาพอาหารที่มีความหรูหรา และปริมาณที่มากกว่าอย่างชัดเจน
ท่ามกลางชาวเน็ตที่เข้ามาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล ทั้งจวกยับถึงความแตกต่างระหว่างงบอาหารกลางวันของนักเรียนไทย และค่าอาหารของสมาชิกสภา บางส่วนคอมเมนต์แชร์ประสบการณ์ของตนเองที่ลูกหลานเจอ ลั่น “ส่งลูกไปเรียนเหมือนส่งลูกไปทรมาน”
ทั้งนี้ก็มีคอมเมนต์ว่า “แล้ว สส. แx่งเอากลับบ้านด้วย” ทางคุณ ‘ฟาโรห์’ ก็ตอบกลับใจความว่า หากมื้อสุดท้ายของวันแล้วอาหารเหลือจริงๆ เอากลับเถอะ จะได้ไม่เหลือทิ้ง
พร้อมชงเข้ม ความคิดส่วนตัวว่า อยากให้ทบทวนเรื่องการยกเลิกงบประมาณค่าอาหารกลางวัสมาชิกสภาเหล่านี้ พร้อมลั่น “เงินเดือนเรือนแสนซื้ออาหารรับประทานเองคงไม่ลำบากเกินไป” พร้อมเสริมว่า โดยปกติที่ทราบข้าราชการในหน่วยงานอื่นๆ ก็ต้องซื้ออาหารรับประทานเอง
พร้อมทิ้งท้ายว่า “หากยังไม่สามารถยกเลิกได้ อาจใช้ระบบการลงทะเบียนแจ้งยอด เพื่อให้ทางฝ่ายครัวเตรียมอาหาร ให้พอดี ไม่เหลือทิ้งมากมายขนาดนี้”
https://www.facebook.com/TheCommonThreadBlog/posts/874023107418186?ref=embed_post
เพจดัง แนะเลิกทัศนคติ ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน คือ “ภาระ”
https://www.matichon.co.th/social/news_4169769
เพจดัง แนะเลิกทัศนคติ ทำเพื่อประโยชน์ ปชช. คือภาระ เผย ในแง่การแพทย์ ห้องแอร์ปลอดฝุ่นไม่ช่วยเรื่องสุขภาพ , ปลูกต้นไม้ช่วยลดฝุ่นดีกว่า
เมื่อวันที่ 8 กันยายน เพจ “เรื่องเล่าจากโรงพยาบาล” ได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่อง “ห้องแอร์ปลอดฝุ่น”
#ห้องแอร์ปลอดฝุ่น
เมื่อวานมีข่าวกรณี สภา กทม. มีการพิจารณาโครงการห้องเรียนติดแอร์ปลอดฝุ่น สำหรับเด็ก สำหรับโรงเรียนในสังกัด กทม. ราว 400 โรงเรียน 1,700 ห้อง งบราวๆ 230 ล้านบาท สภา กทม. มีมติ ตัดงบส่วนนี้ออกไป
โดยมีข้อสรุป หรือ ความเห็นจาก สก. ที่เผยแพร่ออกมาจาก สื่อ ค่อนข้างหลากหลาย
ที่ฟังดู อีหยังวะ ก็มี ที่ฟังดูมีเหตุผลก็มี เอาที่มีเหตุผลที่สุด เท่าที่อ่านเจอมา คือ เรื่องการประเมินงบ ที่ค่อนข้างไม่เหมาะสม ที่ว่า การตั้งสเป็คของเครื่องปรับอากาศที่เกินความจำเป็น หรือ เหมาสเป็คแบบเดียวทั้ง 1,700 ห้อง
ทั้งที่แต่ละโรงเรียนไม่น่าจะเหมือนกันหมด รวมถึงว่าไม่มีรายละเอียดโครงการมากพอ
โดยย้ำว่าเห็นด้วย ในหลักการ แต่ความอีหยังวะ ของเรื่องนี้ก็คือ ท่าน สก. ที่ให้เหตุผลที่ฟังดูมีน้ำหนักนี้ ในคลิป ที่ท่านอภิปรายในสภา ที่มีการเผยแพร่ออกมา
ส่วนหนึ่งในการอภิปรายท่านกลับบอกว่า “เด็กสังกัดกรุงเทพมหานครนั้น ส่วนใหญ่มีฐานะยากจน ไม่ได้รวย
เวลากลับไปอยู่บ้านไม่ได้นอนห้องแอร์
ท่านอย่าลืมอย่าลืมคิดตรงนี้ เพราะว่าเงินงบประมาณต่างๆ นั้น มันเป็นสิ่งที่สำคัญ แล้วเราจะเอาโรงเรียน กทม. ไปเปรียบเทียบกับโรงเรียนของเอกชนไม่ได้
ที่บอกว่าต้องติดแอร์ทุกห้อง เพราะอะไร อันนั้นพ่อแม่เขาพร้อม มีความพร้อมมีเงิน เชื่อว่าลูกของท่าน สก.หลายท่านหลายคน ที่อยู่ในห้องนี้ ท่านผู้บริหารเอาลูกไปเรียนอยู่ที่โรงเรียนเอกชน ใช่ลูกท่านอยู่ในห้องแอร์ได้เพราะอะไร ท่านจ่ายค่าเทอมเท่าไหร่ แต่อย่าลืมนะกรุงเทพมหานครของเรา เรียนพรี เรียนดีอย่างคุณภาพ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ค่าใช้จ่ายค่าไฟตรงนี้ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ”
อันนั้นเป็นเรื่องการบริหาร ผมคงให้ความเห็นมากไม่ได้ เพียงแค่สงสัยว่า ถ้าเห็นด้วยในหลักการ น่าจะมีกระบวนการ เห็นควรอนุมัติ แต่เสนอแก้ไข ในส่วนรายละเอียดกัน ไม่ได้เหรอ แทนที่จะตีตกไปเลย ซึ่งโครงการจะล่าช้าไปเป็นปี
เอาล่ะ ในแง่ทางการแพทย์ มีความเห็นที่ต้องเห็นแย้งที่สำคัญก็คือ ความเห็นในทำนองนี้ ครับ
– การทำห้องแอร์ปลอดฝุ่นไม่ช่วยเรื่องสุขภาพ
– จะลดฝุ่นให้ปลูกต้นไม้ในโรงเรียนดีกว่า
– ไม่คุ้มค่า
มีทั้งถูกทั้งผิดนะครับ กรณีนี้เราพูดถึงเด็กเล็ก เด็กอนุบาลนะครับ ถ้าใครมีลูกเล็กจะรู้ หรือ หมอที่ตรวจเด็กจะรู้ว่า เวลาเปิดเทอมเมื่อไหร่ เด็กๆ จะป่วยกันเยอะ เพราะสภาพสุขอนามัยในโรงเรียน หวัด น้ำมูกมาแน่ ไม่ต้องห่วง
ปัจจุบันก็ RSV ตอนนี้ก็ไข้หวัดใหญ่ กลุ่มนี้คือ โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ ซึ่งในกรณีเหล่านี้ สภาพห้องเรียนที่ติดแอร์ อาจจะเอื้อต่อการกระจายเชื้อมากกว่า ห้องเปิดโล่ง ที่มีอากาศถ่ายเท อากาศไหลเปลี่ยนผ่านตลอดเวลา
ดังนั้น ในแง่นี้ ห้องแอร์อาจไม่ดีต่อสุขภาพเด็กจริง ตามที่ ท่าน สก. อภิปราย แต่ในช่วงสามสี่ปีที่ผ่านมา
ในบ้านเรามีปัญหาเรื่องฝุ่น PM 2.5 ตามชื่อโครงการคือ ห้องแอร์ปลอดฝุ่น แสดงว่าเป้าหมายจะเป็นเรื่องนี้
ก็ต้องบอกว่า ห้องแอร์ ห้องปิด
แม้จะกันฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้ทั้งหมด แต่จะลดปริมาณของฝุ่นลงได้จริงครับ (ถ้าเพิ่มเครื่องฟอกอากาศเข้าไปด้วยจะดีมาก)
การปลูกต้นไม้ ไม่ได้ช่วยอะไรในเรื่องนี้นะครับ การติดแอร์ ทำห้องปลอดฝุ่นสำหรับเด็กเล็ก มีเหตุมีผล สมควรอย่างยิ่ง เพราะเรารู้ มีข้อมูลรองรับมากพอแล้วว่า PM 2.5 นั้นมีผลกระทบระยะยาว กับระบบทางเดินหายใจไปจนถึงสมองเลย
ระยะยาว ไม่ได้แปลว่า ไม่ต้องรีบแก้ แต่ระยะยาวแปลว่า มันยังไม่เห็นผลเสียชัดๆ วันนี้ แต่มีแน่ในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นควรแก้ไข สำหรับผมคุ้มแน่ คนที่บอกว่า ไม่คุ้มนี่เอาอะไรมาเป็นตัววัด
บ้านคนพูดติดแอร์ไหม แล้วมันคุ้มไหม?
อย่างไรก็ดี ก็ต้องมีกลยุทธ์ในการใช้ ไม่ใช่เปิดแอร์ตลอด ในฤดูฝน ช่วงที่มีการแพร่ระบาด ของไข้หวัด RSV ไข้หวัดใหญ่ ก็คือช่วงนี้ PM 2.5 ก็น้อยพอดี แบบนี้ไม่ต้องเปิดก็ได้ หรือเปิดเฉพาะช่วงที่อากาศร้อนมาก
เที่ยงถึงบ่าย ก็ว่ากันไป เพื่อความประหยัด ของหลวง ทุกคนเข้าใจได้ว่าต้องประหยัด แต่ช่วงที่ ค่า PM สูง ฤดูแล้ง แบบนั้นก็เปิดไปเลยปลูกต้นไม้ เอาต้นไม้มาแขวนไม่ช่วยนะครับอันนี้ต้องเข้าใจด้วย
สุดท้าย กรุณา เลิกทัศนคติที่ว่า อะไรที่ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน เป็นภาระ เสียที
ไม่กี่วันก่อน กทม.เพิ่งแถลงว่าจัดเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้นอยู่เลยภาษีนั่นก็เก็บจากประชาชนทั้งนั้น
https://twitter.com/MatichonOnline/status/1699709036592304385
ผู้เชี่ยวชาญพลังงานชี้ "เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ไม่ช่วยแก้ราคาน้ำมันแพง
https://www.thansettakij.com/sustainable/energy/575448
ผู้เชี่ยวชาญพลังงานชี้ "เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ไม่ช่วยแก้ราคาน้ำมันแพง หลัง รมว. พลังงานประกาศนโยบาย ระบุชัดเจน ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และ 10 นำเข้าน้ำมันได้อย่างเสรีเป็นเรื่องปกติ
"เปิดเสรีนำเข้าน้ำมัน" ประะเด็นที่กำลังได้รับความสนใจ และมีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง หลังจากที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประกาศออกมา โดยมุ่งหวังให้เป็นหนึ่งแนวทางในการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง
ซึ่งจากคำพูดของนายพีระพันธุ์ ก็คือ มองว่าควรจะให้โอกาสเสรีในการหาน้ำมันสำเร็จรูป ที่ไม่ใช่การนำน้ำมันดิบเข้ามากลั่นจนทำให้มีต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ควบคุมลำบาก แต่หากเป็นการนำน้ำมันสำเร็จรูปที่ไม่ต้องมีค่าการกลั่น หรือค่าใช้จ่ายอื่น เพราะราคาทุกอย่างคำนวณจบแล้ว หากผู้ใดที่สามารถนำพลังงานราคาถูกเข้ามาได้ ก็ควรเปิดโอกาสให้ทำได้ โดยภาครัฐควรจะเป็นผู้กำกับดูแลให้การจัดหาพลังงานเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็ว ไม่ใช่วางกฎกติกาจนทำไม่ได้
อย่างไรก็ดี ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ปัจจุบันผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง 2543 สามารถนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปได้อยู่แล้ว ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องสำรองน้ำมันต่างหากด้วย มีคลังรองรับเพื่อความมั่นคง ถือเป็นต้นทุนอีกทางหนึ่ง
ประเด็นดังกล่าวนี้ได้รับคำยืนยันชัดเจนจากทั้งแหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน และผู้ประกอบการธุรกิจน้ำมัน
ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น "ฐานเศรษฐกิจ" จึงถือโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "ศ.ดร.พรายพล คุ้มทรัพย์" นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน เกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันดังกล่าว โดยได้รับคำตอบว่า
ตามปกติการนำเข้าน้ำมันก็เป็นอย่างเสรีอยู่แล้ว ไม่มีช้อห้าม ไม่มีเงื่อนไข และไม่มีโควต้าจำกัด สำหรับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 และมาตรา 10 (รายย่อย) ไม่มีโควต้า
ส่วนการที่จะต้องมีการสำรองน้ำมันก็ถือว่าเป็เนรื่องที่ปกติ
"ตนก็ยังงงอยู่ว่าการเปิดเสรีนำเข้าน้ำมันจะช่วยแก้ปัญหาน้ำมันแพงได้อย่างไร เพราะปัจจุบันก็เปิดให้นำเข้าเสรีอยู่แล้วมทุกสเปคน้ำมัน ไม่ต้องขออนุญาติ เพียงแต่จะต้องแจ้งให้หน่วยงานที่รับผิดชอบทราบเท่านั้น เพื่อทำเป็นสถิติ"
สำหรับตนมองว่าเวลานี้ไม่รู้เลยว่าฝ่ายใดที่กำลังเข้าใจผิด เพราะผู้ค้าน้ำมันเองก็เข้าใจเรื่องการนำเข้าน้ำมันแบบนั้น
อย่างไรก็ดี หากถามว่าผู้ใดที่จะได้ประโยชน์ หรือเสียประโยชน์จากมาตรการดังกล่าว คงตอบยากเพราะก็ปฏิบัติกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด
ยกเว้นก๊าซหุงต้มที่ต้องมีการขออนุญาติ ซึ่งควบคุมมานาน เนื่องจากมีการชดเชยข้ามแหล่ง เพราะมาจากหลายแหล่ง เช่น โรงแยกก๊าซ โรงกลั่นของ ปตท. หรือนำเข้าก็ได้ ซึ่งต้องนำมาบริหารจัดการเรื่องเงินชดเชย หรือเงินอุดหนุน ซึ่งปัจจุบันอุดหนุนอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะมาจากแหล่งที่แตกต่างกัน ต้นทุนจึงไม่เท่ากัน