30 กรกฎาคม วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใสและอบอุ่น ผมแหงนหน้ามองฟ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เมฆบดบังทัศนียภาพการมองเห็นของผม สายลมหวีดหวิวพัดผ่านชวนให้รู้สึกเหงา เมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อนผมได้รับข่าวร้ายจากครูที่ปรึกษา เธอบอกกับพวกเราที่อยู่ในห้องเรียนว่า มีเพื่อนเราคนหนึ่งเสียชีวิต คำพูดของครูที่ปรึกษาทำเอาผมและเพื่อนๆในห้องเรียนต่างพากันตกอกตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เธอยังแจ้งอีกว่าในอีกหนึ่งอาทิตย์ให้หลังจะมีการจัดงานศพของเธอ ให้เรานักเรียนทุกคนไปร่วมงาน แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจที่สุดคือชื่อที่ครูที่ปรึกษาพูดถัดมา เพราะเธอเป็นเพื่อนสนิทของผมและเป็นหญิงสาวที่ผมมีความรู้สึกดีๆให้
หลังจากเลิกเรียนผมเดินครุ่นคิดถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ ผมพยายามเค้นสมองนึกถึงเหตุการณ์ของวันก่อนๆหน้าว่ามีเหตุการณ์อะไรแปลกๆรอบตัวเธอบ้าง แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกอยู่ดี ผมจึงได้ข้อสรุปว่าจะลองไปที่บ้านของเธอและถามคนในครอบครัวเธอดู
ผมกดออดเป็นสัญญาณบอกคนในบ้านว่ามีแขกกำลังยืนรออยู่ที่หน้าบ้านพวกเขา มีชายคนหนึ่งเดินออกมาตามเสียงเรียก เขาเป็นชายอายุวัยกลางคนอายุราว 30 ปลายๆเห็นจะได้ เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวและทับด้วยเสื้อยีนสีฟ้าอ่อนหน้าตาดูภูมิฐานและสะอาดสะอ้าน ผมคาดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่เธอเคยกล่าวถึง ผมบอกกับเขาไปว่า ผมเป็นเพื่อนของลูกสาวคุณและอยากถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ แต่ผิดคาดที่เขาดูจะให้ความร่วมมือกับผมเป็นอย่างดี ภาพในหัวที่ผมจินตนาการเอาไว้สำหรับคุณพ่อที่เสียลูกสาวไป เขาควรจะดูเศร้าหมองและไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นแท้ๆ
ผมเดินเข้าไปในห้องของเธอและสำรวจของที่อยู่ภายในห้อง แท้ที่จริงแล้วผมไม่อยากจะเสียมารยาทดูของ ของเด็กผู้หญิงหรอกนะ สายตาของผมไปสะดุดเข้ากับสมุดเล่มหนึ่งที่อยู่ในลิ้นชักของโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ มันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างหนา ผมเปิดดูเนื้อหาในสมุดพลิกไปพลิกมา สมุดเล่มนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่าไดอารี่กัน เธอเขียนบันทึกเรื่องราวของแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอและมีบางวันที่เธอไม่ได้เขียนมัน
‘ 14 กรกฎาคม มีผู้ชายคนหนึ่งมาสารภาพกับฉัน เขามาขอคบฉันหลังเลิกเรียน ฉันเห็นเพื่อนๆของเขาแอบอยู่หลังประตูและลุ้นตามไปด้วย ตอบตามตรงลุคเขาเหมือนนักเลงๆที่ชอบมีเรื่องทะเลาะตบตี แต่รูปร่างและใบหน้าของเขาก็น่ามองอยู่เหมือนกัน ’
‘ 15 กรกฎาคม ฉันตอบตกลงที่จะคบกับเขา เขาดูเขินอายและไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบของฉัน ใบหน้าที่เขินอายของเขาดูขัดกับลุคนักเลงของเขาสุดๆ จนฉันเกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ’
ผมอ่านไดอารี่จนมาถึงวันที่ 15 กรกฎาคม และเนื้อความในไดอารี่ก็ขาดช่วงไปผมพลิกไปอีกหน้าของไดอารี่ และดูเหมือนเธอจะกลับมาเขียนมันใหม่อีกครั้ง แต่เธอเว้นช่วงไปหลายวันพอสมควร
‘ 20 กรกฎาคม ฉันเริ่มไม่ไหวกับอารมณ์ที่หงุดหงิดของ ‘ มัน ’ แล้ว มันทั้งทุบตีฉันและบอกให้ฉันอย่าเสนอหน้าไปกับผู้ชายคนอื่นอีก มันบอกว่าฉันเป็นของมันคนเดียวเท่านั้น '
‘ 21 กรกฎาคม อารมณ์ที่รุนแรงของมันและการทำร้ายร่างกายฉันเริ่มรุนแรงขึ้นกว่าครั้งๆก่อนๆ ตอนนี้ฉันไม่กล้าใส่เสื้อแขนสั้นไปโรงเรียน กลัวเพื่อนๆจะเห็นแล้วพากันตกใจ ’
‘ 22 กรกฎาคม ความหึงหวงของมันเริ่มหมดความอดทน มันใช้พละกำลังที่เป็นผู้ชายของมันจับข้อมือทั้งสองข้างของฉันตรึงเอาไว้ มันเผยให้เห็นรอยสักคิวปิดของมันที่ข้อมือขวาขณะข่มขืนฉัน ฉันพึ่งสังเกตด้วยซ้ำว่ามันสักเอาไว้ ความหวาดกลัวก่อขึ้นในใจฉันอย่างรวดเร็วฉันขยะแขยงในตัวของมันจนฉันไม่กล้าที่จะมองหน้ามันโดยตรง ’
‘ 23 กรกฎาคม ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว ฉันอยากจะหนีมันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปให้ไกลจนมันไม่สามารถที่จะตามฉันมาได้ ฉันไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับการกระทำของฉันต่อจากนี้ สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉันคือ ฉันจะทำยังให้หนีไปจากมันได้สักที ไปในที่ๆมันจะไม่มีวันตามฉันมาได้อีก… ’
เนื้อความในไดอารี่ของเธอเขียนไว้และจบเพียงเท่านี้ ผมพยายามเปิดเช็คหน้าอื่นๆในสมุดดูแล้ว แต่เหมือนว่านั่นจะเป็นวันที่เธอเขียนไดอารี่ครั้งสุดท้าย ผมได้ข้อสรุปที่ผมตามหาจากการอ่านไดอารี่ของเธอ ผมคิดเอาเองว่าเธอน่าจะปลิดชีวิตตนเองในวันที่ 23 และวันต่อมาครูที่ปรึกษาจึงนำข่าวนี้มาแจ้งกับพวกเรา
หนึ่งอาทิตย์ต่อมางานศพของเธอจัดขึ้นที่วัดใกล้ๆกับโรงเรียนของพวกเรา วันนี้ผมแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์สีดำให้เกียรติแก่ผู้ตาย ผมเดินเขามาในพิธีศพเห็นเหล่าญาติๆ และผู้คนที่ผมไม่รู้จักอีกหลายคนกำลังร้องห่มร้องไห้เสียใจ ผมไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเธอ
5 นาทีถัดมาเหล่าเพื่อนๆและครูที่ปรึกษาของผมต่างทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นหรือเพื่อนต่างห้องต่างร่วมไว้ทุกข์แก่เธอ สายตาของผมไปสะดุดตาไอหมอนี่ขึ้นมา มันเดินมากับกลุ่มเพื่อนสนิทของมันด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง ผมขยะแขยงต่อการแสดงออกสีหน้าของมันจริงๆ ที่ยังเสแสร้งทำเป็นเศร้าทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป ความโกรธในใจของผมตอนนี้มันพร้อมที่จะปะทะเข้าใส่ทุกคนในตอนนี้ ผมเดินปรี่มุ่งตรงไปยังไอหมอนั่นและกระชากคอเสื้อและง้างหมัดลอยขึ้นฟ้าชกเข้าไปที่ใบหน้าของมัน ผู้คนในงานต่างพากันตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ผมสบถด่าใส่หน้ามันไม่ยั้งโดยที่ไม่สนใจเสียงผู้คนรอบข้าง ในระหว่างที่ผมกำลังจะง้างหมัดสุดแรงเกิดลงไปที่หน้าของมัน ก็มีชายคนหนึ่งยั้งมือของผมไว้ เขาบอกพวกเราสองคนว่า “ อย่าทะเลาะกันในงานศพ ของลูกสาวฉันเลยนะ ” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบและชวนขนลุก ผมมองไปยังอีกฝ่ายเขาใส่เสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเสื้อยีนสีฟ้าที่คุ้นตา แต่คราวนี้ปกแขนเสื้อยาวของเขาถูกดึงลงจนผมเห็นรอยสักรูปคิวปิดที่ข้อมือขวา…
เรื่องสั้น Her ไดอารี่
หลังจากเลิกเรียนผมเดินครุ่นคิดถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ ผมพยายามเค้นสมองนึกถึงเหตุการณ์ของวันก่อนๆหน้าว่ามีเหตุการณ์อะไรแปลกๆรอบตัวเธอบ้าง แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกอยู่ดี ผมจึงได้ข้อสรุปว่าจะลองไปที่บ้านของเธอและถามคนในครอบครัวเธอดู
ผมกดออดเป็นสัญญาณบอกคนในบ้านว่ามีแขกกำลังยืนรออยู่ที่หน้าบ้านพวกเขา มีชายคนหนึ่งเดินออกมาตามเสียงเรียก เขาเป็นชายอายุวัยกลางคนอายุราว 30 ปลายๆเห็นจะได้ เขาสวมเสื้อกล้ามสีขาวและทับด้วยเสื้อยีนสีฟ้าอ่อนหน้าตาดูภูมิฐานและสะอาดสะอ้าน ผมคาดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่เธอเคยกล่าวถึง ผมบอกกับเขาไปว่า ผมเป็นเพื่อนของลูกสาวคุณและอยากถามถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเธอ แต่ผิดคาดที่เขาดูจะให้ความร่วมมือกับผมเป็นอย่างดี ภาพในหัวที่ผมจินตนาการเอาไว้สำหรับคุณพ่อที่เสียลูกสาวไป เขาควรจะดูเศร้าหมองและไม่อยากพูดถึงเรื่องนั้นแท้ๆ
ผมเดินเข้าไปในห้องของเธอและสำรวจของที่อยู่ภายในห้อง แท้ที่จริงแล้วผมไม่อยากจะเสียมารยาทดูของ ของเด็กผู้หญิงหรอกนะ สายตาของผมไปสะดุดเข้ากับสมุดเล่มหนึ่งที่อยู่ในลิ้นชักของโต๊ะอ่านหนังสือของเธอ มันเป็นหนังสือที่ค่อนข้างหนา ผมเปิดดูเนื้อหาในสมุดพลิกไปพลิกมา สมุดเล่มนี้น่าจะเป็นสิ่งที่เขาเรียกว่าไดอารี่กัน เธอเขียนบันทึกเรื่องราวของแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอและมีบางวันที่เธอไม่ได้เขียนมัน
‘ 14 กรกฎาคม มีผู้ชายคนหนึ่งมาสารภาพกับฉัน เขามาขอคบฉันหลังเลิกเรียน ฉันเห็นเพื่อนๆของเขาแอบอยู่หลังประตูและลุ้นตามไปด้วย ตอบตามตรงลุคเขาเหมือนนักเลงๆที่ชอบมีเรื่องทะเลาะตบตี แต่รูปร่างและใบหน้าของเขาก็น่ามองอยู่เหมือนกัน ’
‘ 15 กรกฎาคม ฉันตอบตกลงที่จะคบกับเขา เขาดูเขินอายและไม่อยากจะเชื่อกับคำตอบของฉัน ใบหน้าที่เขินอายของเขาดูขัดกับลุคนักเลงของเขาสุดๆ จนฉันเกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ ’
ผมอ่านไดอารี่จนมาถึงวันที่ 15 กรกฎาคม และเนื้อความในไดอารี่ก็ขาดช่วงไปผมพลิกไปอีกหน้าของไดอารี่ และดูเหมือนเธอจะกลับมาเขียนมันใหม่อีกครั้ง แต่เธอเว้นช่วงไปหลายวันพอสมควร
‘ 20 กรกฎาคม ฉันเริ่มไม่ไหวกับอารมณ์ที่หงุดหงิดของ ‘ มัน ’ แล้ว มันทั้งทุบตีฉันและบอกให้ฉันอย่าเสนอหน้าไปกับผู้ชายคนอื่นอีก มันบอกว่าฉันเป็นของมันคนเดียวเท่านั้น '
‘ 21 กรกฎาคม อารมณ์ที่รุนแรงของมันและการทำร้ายร่างกายฉันเริ่มรุนแรงขึ้นกว่าครั้งๆก่อนๆ ตอนนี้ฉันไม่กล้าใส่เสื้อแขนสั้นไปโรงเรียน กลัวเพื่อนๆจะเห็นแล้วพากันตกใจ ’
‘ 22 กรกฎาคม ความหึงหวงของมันเริ่มหมดความอดทน มันใช้พละกำลังที่เป็นผู้ชายของมันจับข้อมือทั้งสองข้างของฉันตรึงเอาไว้ มันเผยให้เห็นรอยสักคิวปิดของมันที่ข้อมือขวาขณะข่มขืนฉัน ฉันพึ่งสังเกตด้วยซ้ำว่ามันสักเอาไว้ ความหวาดกลัวก่อขึ้นในใจฉันอย่างรวดเร็วฉันขยะแขยงในตัวของมันจนฉันไม่กล้าที่จะมองหน้ามันโดยตรง ’
‘ 23 กรกฎาคม ฉันไม่สนอะไรอีกแล้ว ฉันอยากจะหนีมันไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปให้ไกลจนมันไม่สามารถที่จะตามฉันมาได้ ฉันไม่สนว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับการกระทำของฉันต่อจากนี้ สิ่งเดียวที่วนเวียนอยู่ในหัวของฉันคือ ฉันจะทำยังให้หนีไปจากมันได้สักที ไปในที่ๆมันจะไม่มีวันตามฉันมาได้อีก… ’
เนื้อความในไดอารี่ของเธอเขียนไว้และจบเพียงเท่านี้ ผมพยายามเปิดเช็คหน้าอื่นๆในสมุดดูแล้ว แต่เหมือนว่านั่นจะเป็นวันที่เธอเขียนไดอารี่ครั้งสุดท้าย ผมได้ข้อสรุปที่ผมตามหาจากการอ่านไดอารี่ของเธอ ผมคิดเอาเองว่าเธอน่าจะปลิดชีวิตตนเองในวันที่ 23 และวันต่อมาครูที่ปรึกษาจึงนำข่าวนี้มาแจ้งกับพวกเรา
หนึ่งอาทิตย์ต่อมางานศพของเธอจัดขึ้นที่วัดใกล้ๆกับโรงเรียนของพวกเรา วันนี้ผมแต่งกายด้วยชุดไว้ทุกข์สีดำให้เกียรติแก่ผู้ตาย ผมเดินเขามาในพิธีศพเห็นเหล่าญาติๆ และผู้คนที่ผมไม่รู้จักอีกหลายคนกำลังร้องห่มร้องไห้เสียใจ ผมไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเกี่ยวข้องยังไงกับเธอ
5 นาทีถัดมาเหล่าเพื่อนๆและครูที่ปรึกษาของผมต่างทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นหรือเพื่อนต่างห้องต่างร่วมไว้ทุกข์แก่เธอ สายตาของผมไปสะดุดตาไอหมอนี่ขึ้นมา มันเดินมากับกลุ่มเพื่อนสนิทของมันด้วยใบหน้าที่ดูเศร้าหมอง ผมขยะแขยงต่อการแสดงออกสีหน้าของมันจริงๆ ที่ยังเสแสร้งทำเป็นเศร้าทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรลงไป ความโกรธในใจของผมตอนนี้มันพร้อมที่จะปะทะเข้าใส่ทุกคนในตอนนี้ ผมเดินปรี่มุ่งตรงไปยังไอหมอนั่นและกระชากคอเสื้อและง้างหมัดลอยขึ้นฟ้าชกเข้าไปที่ใบหน้าของมัน ผู้คนในงานต่างพากันตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า ผมสบถด่าใส่หน้ามันไม่ยั้งโดยที่ไม่สนใจเสียงผู้คนรอบข้าง ในระหว่างที่ผมกำลังจะง้างหมัดสุดแรงเกิดลงไปที่หน้าของมัน ก็มีชายคนหนึ่งยั้งมือของผมไว้ เขาบอกพวกเราสองคนว่า “ อย่าทะเลาะกันในงานศพ ของลูกสาวฉันเลยนะ ” ด้วยน้ำเสียงราบเรียบและชวนขนลุก ผมมองไปยังอีกฝ่ายเขาใส่เสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเสื้อยีนสีฟ้าที่คุ้นตา แต่คราวนี้ปกแขนเสื้อยาวของเขาถูกดึงลงจนผมเห็นรอยสักรูปคิวปิดที่ข้อมือขวา…