สตรีทฟู้ดยังเหงา เหตุคนใช้จ่ายน้อย ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ลดต้นทุนธุรกิจ
https://www.matichon.co.th/economy/news_4151745
สตรีทฟู้ดยังเหงา เหตุคนใช้จ่ายน้อย ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ลดต้นทุนธุรกิจเป็นหลัก
นางสาว
ประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด (ครัวชมทะเล) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารในขณะนี้ถือว่ายังพอไปได้ แม้ไม่ถึงกับเริ่มกลับมาฟื้นตัวเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หรือปี 2562 แม้บรรยากาศในด้านการเมืองจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งการได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นนาย
เศรษฐา ทวีสิน รวมถึงรัฐบาลใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะได้เห็นเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นปัจจัยที่ส่งแรงให้เกิดการออกมาจับจ่ายใช้สอยหรือใช้บริการร้านอาหารนอกบ้านมากนัก เพราะภาพรัฐบาลใหม่ยังคงไม่ชัดเจนแบบเป็นรูปธรรมมากนัก
นางสาว
ประภัสสร กล่าวว่า ในฐานะของเอกชนธุรกิจร้านอาหาร ก็อยากเสนอส่งตรงถึงนายกฯ ให้ช่วยแก้ไขในเรื่องต้นทุนการทำธุรกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นเทียบกับต้นปี 2566 กว่า 40% แล้ว ภายใต้ร้านอาหารขนาด 100 ที่นั่ง เคยจ่ายค่าไฟอยู่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันต้องจ่ายที่ 30,000 บาทต่อเดือนแล้ว ซึ่งทั้งค่าไฟและน้ำมัน ก็เป็นต้นทุนที่ดันให้เกิดการปรับขึ้นราคาสินค้าเกือบทุกรายการ ซึ่งในธุรกิจร้านอาหารก็ต้องยอมรับว่า ต้นทางของธุรกิจเป็นค่าไฟ น้ำมัน วัตถุดิบและค่าแรง รวมถึงบางร้านก็เจอต้นทุนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินที่กู้ยืมมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ มีภาระในการผ่อนจ่ายที่สูงขึ้น จึงไม่อยากให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการอยู่ในขั้นเพิ่งลืมตาเท่านั้น ยังไม่สามารถอ้าปากได้เลยด้วยซ้ำ
นางสาว
ประภัสสร กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ชัดเจนแล้วว่าจะเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่นนั้น นโยบายหลักอย่างการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อคน มองว่าเป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยหากมองในภาพของประชาชนก็จะมีเม็ดเงินใช้จับจ่ายได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกันจะต้องมีการตอบสนองผ่านการปรับขึ้นราคารับเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมา เป็นไปตามกลไกตลาดปกติ ทำให้ระยะยาวคงไม่ได้ยั่งยืนมากเท่าที่ควร เปรียบเป็นการรักษาอาการระยะสั้น เหมือนใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์มากกว่า
“
นโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยให้ไว้ตอนหาเสียงนั้น ยังต้องดูเทียบกับภาพความจริงในปัจจุบัน เพราะบางนโยบายก็อาจทำได้จริง แต่บางเรื่องก็ยังต้องรอเวลาก่อน ไม่สามารถทำได้ทันทีเหมือนที่คิดไว้ เพราะต้องดูทั้งงบประมาณ ช่วงเวลาที่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้มีความคุ้มค่ากันหรือไม่ ทำให้ตอนนี้ยังมองไม่เห็นภาพว่าจะไปในทิศทางใดต่อ โดยเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่แล้ว ก็อยากให้ทำแบบจริงจัง อะไรดีก็อยากให้สานต่อ หรือมีนโยบายอะไรที่ลงไปสู่กลุ่มรากหญ้าและภาคธุรกิจแบบชัดเจนมากขึ้น” นางสาว
ประภัสสร กล่าว
ไอติม ทวงสัญญาหาเสียง หวังเศรษฐา-เพื่อไทย รับรองกม. ผลักดันยกเลิกเกณฑ์ทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4151592
ไอติม หวังเศรษฐา จับมือก้าวไกล ร่วมทำตามหาเสียง รับรองกม.ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง
[ การตัดสินใจเรื่องแรกๆของนายกฯเศรษฐา : นายกฯจะรับรองให้ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เข้าสู่การพิจารณาในสภาฯหรือไม่ ] โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมเข้าใจดีว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย คุณเศรษฐาคงมีหลายประเด็นเร่งด่วนที่ต้องพิจารณาและตัดสินใจ แต่หนึ่งในเรื่องแรกๆที่รอการตัดสินใจของคุณเศรษฐา คือการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกฎหมายต่างๆที่ถูกเสนอโดย ส.ส. และภาคประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ ส.ส. หรือภาคประชาชน มีการเสนอกฎหมายสู่สภาผู้แทนราษฎร กฎหมายทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป
(i) ร่างกฎหมายที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน – จะถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลย
(ii) ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน – จะต้องส่งให้นายกฯ ตัดสินใจว่าจะให้การรับรองหรือไม่ / หากให้การรับรอง จึงจะถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
การที่นายกฯตัดสินใจ “รับรอง” ร่างกฎหมายฉบับใด ไม่ได้หมายความว่านายกฯจะต้องเห็นชอบกับเนื้อหาของร่างดังกล่าว แต่หมายถึงเพียงการให้โอกาสร่างดังกล่าวถูกถกเถียงและพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร – แน่นอนว่าในระบบรัฐสภาที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กัน หากนายกฯและ ครม. ไม่เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับใด ส.ส. ของพรรคจากขั้วรัฐบาล (ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก) ก็สามารถโหวตไม่เห็นชอบและปัดตกร่างกฎหมายดังกล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
แม้จากสภาชุดที่แล้ว นายกฯประยุทธ์ ตัดสินใจ “ไม่รับรอง” ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่ถูกเสนอจากฝ่ายค้านสูงถึง 41% (19 จาก 46 ร่าง จากข้อูมลที่รวบรวมโดย 101PUB) แต่ผมหวังว่าในสภาชุดนี้ นายกฯเศรษฐาจะเห็นถึงความสำคัญของการนำประเด็นต่างๆมาถกกันในสภาผู้แทนราษฎร และตัดสินใจ “รับรอง” ให้กฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้ถูกบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร โดยที่หากนายกฯและรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างใด ส.ส. รัฐบาลก็สามารถอภิปรายถึงเหตุผลและโหวตไม่เห็นชอบในชั้นสภาผู้แทนราษฎรได้
ความคาดหวังของผมตรงนี้ยิ่งสูงเป็นพิเศษ สำหรับร่างกฎหมายที่มีหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับนโยบายที่คุณเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยเคยรณรงค์ช่วงเลือกตั้ง ดังเช่น ร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) ที่พรรคก้าวไกลยื่นเข้าสู่กระบวนการของสภาเมื่อวันที่ 18 ก.ค. และตอนนี้ได้ถูกสำนักประธานสภาฯวินิจฉัยว่าเป็นร่างการเงิน ซึ่งจะนับเป็นร่างกฎหมายแรกๆที่กำลังรอให้นายกฯเศรษฐามาตัดสินใจว่าจะ “รับรอง” ให้ร่างดังกล่าวเข้าสู่การประชุมสภาฯหรือไม่
โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) มีดังนี้
1. ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร (ในยามปกติ)
– ในยามปกติ: คัดเลือกบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการจากบุคคลที่สนใจสมัครรับราชการทหารด้วยตนเองเท่านั้น โดยเปิดให้บุคคลทุกเพศสามารถสมัครเป็นทหารกองประจำการได้ (มาตรา 8-9)
– เปิดให้คณะรัฐมนตรีตราพระราชกฤษฎีกาเรียกและตรวจเลือกคนเข้ากองประจำการ เฉพาะในยามที่มีเหตุปรากฎว่าประเทศอาจเผชิญสงครามในระยะเวลาอันใกล้ (มาตรา 10)
2. ยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร
– ห้ามนำทหารไปทำงานรับใช้ส่วนตัว (พลทหารรับใช้) หรือกระทำการใดที่ละเมิดต่อร่างกายหรือจิตใจ (มาตรา 13)
– กำหนดให้หลักสูตรฝึกวิชาทหารต้องส่งเสริมความรู้ด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทหาร (มาตรา 12)
– สนับสนุนให้มีการทบทวนรายได้ สวัสดิการ และ สิทธิประโยชน์ของพลทหารให้เหมาะสมขึ้น (มาตรา 11)
– ปรับระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่พลทหารให้มีความยืดหยุ่นขึ้น โดยคำนึงถึงความก้าวหน้าทางอาชีพ (มาตรา 9)
3. ออกแบบขั้นตอนธุรการให้ทันสมัยขึ้น
– กำหนดให้รายละเอียดและขั้นตอนธุรการต่าง ๆ (เช่น การขึ้นบัญชีทหารกองเกิน การรับสมัครทหารกองประจำการ การปลดทหารกองประจำการ) ถูกออกแบบในระดับกฎกระทรวง เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าแม้ ณ วันนี้ คุณเศรษฐากับพรรคก้าวไกล อาจไม่ได้อยู่ในขั้วทางการเมืองเดียวกันในฐานะรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่เราจะร่วมมือกันในการใช้กลไกสภาเพื่อเดินหน้ายกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารโดยเร็ว และสร้างสังคมที่ประชาชนมีเสรีภาพและประเทศมีความมั่นคงควบคู่กัน
https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid027webnptNtLwcbsgVfZEjmccoQEFnVr9rXfKQMetVKfJEQwngML4r45YbdydeyVrKl
อปท.จี้กระจายอำนาจ ทวงรัฐบาล จัดงบท้องถิ่นเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/region/news_4151789
อปท.จี้กระจายอำนาจ ทวงรัฐบาล จัดงบท้องถิ่นเพิ่ม
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม กรณี 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย (อบต.) สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย (อบจ.) และสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย จะส่งตัวแทนเข้าพบรัฐบาลชุดใหม่ เสนอข้อเรียกร้องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทั้งเรื่องภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นสนองตอบความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
นาย
บุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายก อบจ.ตรัง กล่าวว่า เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว หากอปท.ร่วมมือกันเรียกร้องจะเป็นพลังชัดเจน อปท.กังวลเรื่องงบประมาณปี 2567 ว่าจะถูกลดงบประมาณไปใช้ในนโยบายเงินเงินดิจิทัล 10,000 บาท ต้องใช้เงินสูงถึง 6 แสนล้านบาท หากรัฐบาลใหม่เกิดโยกงบของท้องถิ่นไป จะส่งผลกระทบอย่างมากในการดูแลประชาชน ขณะที่จ.ตรั ยังมีปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมปีละ 2 ครั้ง ปัญหาภัยจากคลื่นลม สินค้าเกษตรยางและปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะท้องถิ่นขนาดเล็กหลังจากจ่ายงบประมาณที่จำเป็น เช่น ค่าน้ำมัน เงินเดือน ค่าไฟฟ้า จะเหลือเงินไม่พอพัฒนาด้านอื่นๆ
“
ส่วนเรื่องกระแสว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คิดว่าเป็นเรื่องดีเพราะนายอนุทินรู้ปัญหาระดับล่างดี เป็นนักการเมืองที่รู้ความต้องการของพื้นที่ และนายเนวิน ชิดชอบ ถือว่าเป็นครูใหญ่ของพรรคภูมิไทย ย่อมรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีเช่นเดียวกัน” นาย
บุ่นเล้ง กล่าว
นายธ
รรมฤทธิ์ เขาบาท นายก อบต.บ่อหิน จ.ตรัง กล่าวว่า อบต.เป็นองค์กรใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นมีจำนวนมาก แม้มีพ.ร.บ.กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นหรือกระทรวงมหาดไทย ยังยึดติดอยู่กับกรอบแนวทางการพัฒนาเดิม จะเห็นว่างบประมาณที่กฎหมายกำหนดต้องจัดสรรให้กับท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 35% แต่ปัจจุบันได้รับจริงแค่ 27-28% เท่านั้น ถูกใช้จ่ายไปกับโครงการนมโรงเรียน อาหารกลางวัน เบี้ยผู้สูงอายุ ก็เป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว
“
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นยังมองว่ากรอบการพัฒนาต้องขึ้นอยู่กับส่วนกลาง มีการกำหนดหมวดไว้ชัดเจน เช่น ด้านกีฬา ด้านการศึกษา ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านนวัตกรรม ท้องถิ่นไหนส่งโครงการเข้าไปตรงกรอบโครงการที่กรมกำหนด ก็จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ในความเป็นจริงควรให้ความเป็นอิสระต่อท้องถิ่น เพราะปัญหาของแต่ละท้องถิ่นจำเป็นเร่งด่วนแตกต่างกันไป อยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยด้วย” นาย
ธรรมฤทธิ์ กล่าว
นาย
บุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย และนายกองค์การบริหารส่วน จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า อยากฝากรัฐบาลใหม่เรื่องการกระจายอำนาจให้กับอปท. ถือเป็นเรื่องหลักเพื่อพัฒนาการท้องถิ่น รวมถึงด้านงบประมาณเพื่อพัฒนาได้ตรงเป้าหมายความของประชาชนต่อไป
“
ต้องยอมรับว่าท้องถิ่นมีอยู่ประมาณ 7,000 แห่ง เหมือนรากหญ้าหรือต้นธารของทุกเรื่องในการปกครองประเทศ เพราะอยู่กับปัญหา อยู่กับพื้นที่ คนท้องถิ่นเอาจริงเอาจัง มีความโปร่งใส และมีความจริงใจทำงานให้สำเร็จ อยากฝากกับรัฐบาลใหม่ไว้ประมาณนี้คือเรื่องการกระจายอำนาจและเรื่องงบประมาณ” นาย
บุญชู กล่าว
JJNY : สตรีทฟู้ดยังเหงา เหตุคนใช้จ่ายน้อย│ไอติม ทวงสัญญาหาเสียง│อปท.จี้กระจายอำนาจ│คาดรัสเซียตั้งเจ้าหน้าที่คุมแวกเนอร์
https://www.matichon.co.th/economy/news_4151745
สตรีทฟู้ดยังเหงา เหตุคนใช้จ่ายน้อย ฝากการบ้านรัฐบาลใหม่ลดต้นทุนธุรกิจเป็นหลัก
นางสาวประภัสสร รังสิโรจน์ นายกสมาคมร้านอาหารไทยและสตรีทฟู้ด (ครัวชมทะเล) เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านอาหารในขณะนี้ถือว่ายังพอไปได้ แม้ไม่ถึงกับเริ่มกลับมาฟื้นตัวเทียบเท่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 หรือปี 2562 แม้บรรยากาศในด้านการเมืองจะเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งการได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เป็นนายเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงรัฐบาลใหม่ที่มีแนวโน้มว่าจะได้เห็นเร็วๆ นี้ แต่ก็ยังไม่ได้เป็นปัจจัยที่ส่งแรงให้เกิดการออกมาจับจ่ายใช้สอยหรือใช้บริการร้านอาหารนอกบ้านมากนัก เพราะภาพรัฐบาลใหม่ยังคงไม่ชัดเจนแบบเป็นรูปธรรมมากนัก
นางสาวประภัสสร กล่าวว่า ในฐานะของเอกชนธุรกิจร้านอาหาร ก็อยากเสนอส่งตรงถึงนายกฯ ให้ช่วยแก้ไขในเรื่องต้นทุนการทำธุรกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน ที่เพิ่มขึ้นเทียบกับต้นปี 2566 กว่า 40% แล้ว ภายใต้ร้านอาหารขนาด 100 ที่นั่ง เคยจ่ายค่าไฟอยู่ประมาณ 20,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันต้องจ่ายที่ 30,000 บาทต่อเดือนแล้ว ซึ่งทั้งค่าไฟและน้ำมัน ก็เป็นต้นทุนที่ดันให้เกิดการปรับขึ้นราคาสินค้าเกือบทุกรายการ ซึ่งในธุรกิจร้านอาหารก็ต้องยอมรับว่า ต้นทางของธุรกิจเป็นค่าไฟ น้ำมัน วัตถุดิบและค่าแรง รวมถึงบางร้านก็เจอต้นทุนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เงินที่กู้ยืมมาเริ่มต้นธุรกิจใหม่ มีภาระในการผ่อนจ่ายที่สูงขึ้น จึงไม่อยากให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก เพราะตอนนี้ผู้ประกอบการอยู่ในขั้นเพิ่งลืมตาเท่านั้น ยังไม่สามารถอ้าปากได้เลยด้วยซ้ำ
นางสาวประภัสสร กล่าวว่า นโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ชัดเจนแล้วว่าจะเป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่นนั้น นโยบายหลักอย่างการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทต่อคน มองว่าเป็นเรื่องที่มีทั้งข้อดีและข้อเสีย โดยหากมองในภาพของประชาชนก็จะมีเม็ดเงินใช้จับจ่ายได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกันจะต้องมีการตอบสนองผ่านการปรับขึ้นราคารับเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมา เป็นไปตามกลไกตลาดปกติ ทำให้ระยะยาวคงไม่ได้ยั่งยืนมากเท่าที่ควร เปรียบเป็นการรักษาอาการระยะสั้น เหมือนใช้ยาจำพวกสเตียรอยด์มากกว่า
“นโยบายหลักที่พรรคเพื่อไทยให้ไว้ตอนหาเสียงนั้น ยังต้องดูเทียบกับภาพความจริงในปัจจุบัน เพราะบางนโยบายก็อาจทำได้จริง แต่บางเรื่องก็ยังต้องรอเวลาก่อน ไม่สามารถทำได้ทันทีเหมือนที่คิดไว้ เพราะต้องดูทั้งงบประมาณ ช่วงเวลาที่เหมาะสม ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้มีความคุ้มค่ากันหรือไม่ ทำให้ตอนนี้ยังมองไม่เห็นภาพว่าจะไปในทิศทางใดต่อ โดยเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่แล้ว ก็อยากให้ทำแบบจริงจัง อะไรดีก็อยากให้สานต่อ หรือมีนโยบายอะไรที่ลงไปสู่กลุ่มรากหญ้าและภาคธุรกิจแบบชัดเจนมากขึ้น” นางสาวประภัสสร กล่าว
ไอติม ทวงสัญญาหาเสียง หวังเศรษฐา-เพื่อไทย รับรองกม. ผลักดันยกเลิกเกณฑ์ทหาร
https://www.matichon.co.th/politics/news_4151592
ไอติม หวังเศรษฐา จับมือก้าวไกล ร่วมทำตามหาเสียง รับรองกม.ยกเลิกเกณฑ์ทหาร
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้โพสต์ข้อเขียน เรื่อง [ การตัดสินใจเรื่องแรกๆของนายกฯเศรษฐา : นายกฯจะรับรองให้ ร่าง พ.ร.บ. ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร เข้าสู่การพิจารณาในสภาฯหรือไม่ ] โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมเข้าใจดีว่า ในฐานะนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย คุณเศรษฐาคงมีหลายประเด็นเร่งด่วนที่ต้องพิจารณาและตัดสินใจ แต่หนึ่งในเรื่องแรกๆที่รอการตัดสินใจของคุณเศรษฐา คือการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกฎหมายต่างๆที่ถูกเสนอโดย ส.ส. และภาคประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน
ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 เมื่อ ส.ส. หรือภาคประชาชน มีการเสนอกฎหมายสู่สภาผู้แทนราษฎร กฎหมายทั้งหมดจะถูกแบ่งเป็น 2 ประเภทเพื่อดำเนินการตามขั้นตอนที่แตกต่างกันออกไป
(i) ร่างกฎหมายที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน – จะถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเลย
(ii) ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงิน – จะต้องส่งให้นายกฯ ตัดสินใจว่าจะให้การรับรองหรือไม่ / หากให้การรับรอง จึงจะถูกบรรจุเข้าระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
การที่นายกฯตัดสินใจ “รับรอง” ร่างกฎหมายฉบับใด ไม่ได้หมายความว่านายกฯจะต้องเห็นชอบกับเนื้อหาของร่างดังกล่าว แต่หมายถึงเพียงการให้โอกาสร่างดังกล่าวถูกถกเถียงและพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร – แน่นอนว่าในระบบรัฐสภาที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติมีความสัมพันธ์กัน หากนายกฯและ ครม. ไม่เห็นชอบร่างกฎหมายฉบับใด ส.ส. ของพรรคจากขั้วรัฐบาล (ซึ่งเป็นเสียงข้างมาก) ก็สามารถโหวตไม่เห็นชอบและปัดตกร่างกฎหมายดังกล่าวในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
แม้จากสภาชุดที่แล้ว นายกฯประยุทธ์ ตัดสินใจ “ไม่รับรอง” ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงินที่ถูกเสนอจากฝ่ายค้านสูงถึง 41% (19 จาก 46 ร่าง จากข้อูมลที่รวบรวมโดย 101PUB) แต่ผมหวังว่าในสภาชุดนี้ นายกฯเศรษฐาจะเห็นถึงความสำคัญของการนำประเด็นต่างๆมาถกกันในสภาผู้แทนราษฎร และตัดสินใจ “รับรอง” ให้กฎหมายเกี่ยวกับการเงินได้ถูกบรรจุเข้าวาระการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร โดยที่หากนายกฯและรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับร่างใด ส.ส. รัฐบาลก็สามารถอภิปรายถึงเหตุผลและโหวตไม่เห็นชอบในชั้นสภาผู้แทนราษฎรได้
ความคาดหวังของผมตรงนี้ยิ่งสูงเป็นพิเศษ สำหรับร่างกฎหมายที่มีหลักการและเหตุผลที่สอดคล้องกับนโยบายที่คุณเศรษฐา และพรรคเพื่อไทยเคยรณรงค์ช่วงเลือกตั้ง ดังเช่น ร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) ที่พรรคก้าวไกลยื่นเข้าสู่กระบวนการของสภาเมื่อวันที่ 18 ก.ค. และตอนนี้ได้ถูกสำนักประธานสภาฯวินิจฉัยว่าเป็นร่างการเงิน ซึ่งจะนับเป็นร่างกฎหมายแรกๆที่กำลังรอให้นายกฯเศรษฐามาตัดสินใจว่าจะ “รับรอง” ให้ร่างดังกล่าวเข้าสู่การประชุมสภาฯหรือไม่
โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. รับราชการทหาร (ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร) มีดังนี้
1. ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหาร (ในยามปกติ)
– ในยามปกติ: คัดเลือกบุคคลเข้าเป็นทหารกองประจำการจากบุคคลที่สนใจสมัครรับราชการทหารด้วยตนเองเท่านั้น โดยเปิดให้บุคคลทุกเพศสามารถสมัครเป็นทหารกองประจำการได้ (มาตรา 8-9)
– เปิดให้คณะรัฐมนตรีตราพระราชกฤษฎีกาเรียกและตรวจเลือกคนเข้ากองประจำการ เฉพาะในยามที่มีเหตุปรากฎว่าประเทศอาจเผชิญสงครามในระยะเวลาอันใกล้ (มาตรา 10)
2. ยกระดับคุณภาพชีวิตพลทหาร
– ห้ามนำทหารไปทำงานรับใช้ส่วนตัว (พลทหารรับใช้) หรือกระทำการใดที่ละเมิดต่อร่างกายหรือจิตใจ (มาตรา 13)
– กำหนดให้หลักสูตรฝึกวิชาทหารต้องส่งเสริมความรู้ด้านประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทหาร (มาตรา 12)
– สนับสนุนให้มีการทบทวนรายได้ สวัสดิการ และ สิทธิประโยชน์ของพลทหารให้เหมาะสมขึ้น (มาตรา 11)
– ปรับระยะเวลาในการปฏิบัติหน้าที่พลทหารให้มีความยืดหยุ่นขึ้น โดยคำนึงถึงความก้าวหน้าทางอาชีพ (มาตรา 9)
3. ออกแบบขั้นตอนธุรการให้ทันสมัยขึ้น
– กำหนดให้รายละเอียดและขั้นตอนธุรการต่าง ๆ (เช่น การขึ้นบัญชีทหารกองเกิน การรับสมัครทหารกองประจำการ การปลดทหารกองประจำการ) ถูกออกแบบในระดับกฎกระทรวง เพื่อให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง
ผมหวังเป็นอย่างยิ่งครับ ว่าแม้ ณ วันนี้ คุณเศรษฐากับพรรคก้าวไกล อาจไม่ได้อยู่ในขั้วทางการเมืองเดียวกันในฐานะรัฐบาลกับฝ่ายค้าน แต่เราจะร่วมมือกันในการใช้กลไกสภาเพื่อเดินหน้ายกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารโดยเร็ว และสร้างสังคมที่ประชาชนมีเสรีภาพและประเทศมีความมั่นคงควบคู่กัน
https://www.facebook.com/paritw/posts/pfbid027webnptNtLwcbsgVfZEjmccoQEFnVr9rXfKQMetVKfJEQwngML4r45YbdydeyVrKl
อปท.จี้กระจายอำนาจ ทวงรัฐบาล จัดงบท้องถิ่นเพิ่ม
https://www.matichon.co.th/region/news_4151789
อปท.จี้กระจายอำนาจ ทวงรัฐบาล จัดงบท้องถิ่นเพิ่ม
เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม กรณี 3 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ได้แก่ สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย (อบต.) สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย (อบจ.) และสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย จะส่งตัวแทนเข้าพบรัฐบาลชุดใหม่ เสนอข้อเรียกร้องการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ทั้งเรื่องภารกิจและงบประมาณ เพื่อให้ท้องถิ่นสนองตอบความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
นายบุ่นเล้ง โล่สถาพรพิพิธ นายก อบจ.ตรัง กล่าวว่า เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวดังกล่าว หากอปท.ร่วมมือกันเรียกร้องจะเป็นพลังชัดเจน อปท.กังวลเรื่องงบประมาณปี 2567 ว่าจะถูกลดงบประมาณไปใช้ในนโยบายเงินเงินดิจิทัล 10,000 บาท ต้องใช้เงินสูงถึง 6 แสนล้านบาท หากรัฐบาลใหม่เกิดโยกงบของท้องถิ่นไป จะส่งผลกระทบอย่างมากในการดูแลประชาชน ขณะที่จ.ตรั ยังมีปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมปีละ 2 ครั้ง ปัญหาภัยจากคลื่นลม สินค้าเกษตรยางและปาล์มน้ำมันราคาตกต่ำ ประชาชนก็อยู่ไม่ได้ โดยเฉพาะท้องถิ่นขนาดเล็กหลังจากจ่ายงบประมาณที่จำเป็น เช่น ค่าน้ำมัน เงินเดือน ค่าไฟฟ้า จะเหลือเงินไม่พอพัฒนาด้านอื่นๆ
“ส่วนเรื่องกระแสว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คิดว่าเป็นเรื่องดีเพราะนายอนุทินรู้ปัญหาระดับล่างดี เป็นนักการเมืองที่รู้ความต้องการของพื้นที่ และนายเนวิน ชิดชอบ ถือว่าเป็นครูใหญ่ของพรรคภูมิไทย ย่อมรู้ปัญหาของท้องถิ่นดีเช่นเดียวกัน” นายบุ่นเล้ง กล่าว
นายธรรมฤทธิ์ เขาบาท นายก อบต.บ่อหิน จ.ตรัง กล่าวว่า อบต.เป็นองค์กรใกล้ชิดประชาชนมากที่สุด ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในท้องถิ่นมีจำนวนมาก แม้มีพ.ร.บ.กระจายอำนาจให้ท้องถิ่น แต่ในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นหรือกระทรวงมหาดไทย ยังยึดติดอยู่กับกรอบแนวทางการพัฒนาเดิม จะเห็นว่างบประมาณที่กฎหมายกำหนดต้องจัดสรรให้กับท้องถิ่นไม่น้อยกว่า 35% แต่ปัจจุบันได้รับจริงแค่ 27-28% เท่านั้น ถูกใช้จ่ายไปกับโครงการนมโรงเรียน อาหารกลางวัน เบี้ยผู้สูงอายุ ก็เป็นสัดส่วนประมาณ 40% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีแล้ว
“กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นยังมองว่ากรอบการพัฒนาต้องขึ้นอยู่กับส่วนกลาง มีการกำหนดหมวดไว้ชัดเจน เช่น ด้านกีฬา ด้านการศึกษา ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านนวัตกรรม ท้องถิ่นไหนส่งโครงการเข้าไปตรงกรอบโครงการที่กรมกำหนด ก็จะได้รับการสนับสนุนงบประมาณ ในความเป็นจริงควรให้ความเป็นอิสระต่อท้องถิ่น เพราะปัญหาของแต่ละท้องถิ่นจำเป็นเร่งด่วนแตกต่างกันไป อยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทยด้วย” นายธรรมฤทธิ์ กล่าว
นายบุญชู จันทร์สุวรรณ นายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย และนายกองค์การบริหารส่วน จังหวัดสุพรรณบุรี กล่าวว่า อยากฝากรัฐบาลใหม่เรื่องการกระจายอำนาจให้กับอปท. ถือเป็นเรื่องหลักเพื่อพัฒนาการท้องถิ่น รวมถึงด้านงบประมาณเพื่อพัฒนาได้ตรงเป้าหมายความของประชาชนต่อไป
“ต้องยอมรับว่าท้องถิ่นมีอยู่ประมาณ 7,000 แห่ง เหมือนรากหญ้าหรือต้นธารของทุกเรื่องในการปกครองประเทศ เพราะอยู่กับปัญหา อยู่กับพื้นที่ คนท้องถิ่นเอาจริงเอาจัง มีความโปร่งใส และมีความจริงใจทำงานให้สำเร็จ อยากฝากกับรัฐบาลใหม่ไว้ประมาณนี้คือเรื่องการกระจายอำนาจและเรื่องงบประมาณ” นายบุญชู กล่าว