สวัสดีค่ะเพื่อนๆพันทิป เร็วๆนี้เราได้ไปงานเลี้ยงรุ่นมา เลยได้อัพเดทชีวิตกับเพื่อนๆ เพื่อนๆบอกว่าชีวิตเราเหมือนละครมากๆ ถ้าไปทำละครน่าจะรุ่ง วันนี้เราเลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ชีวิตความรักในช่วงมหาลัยจนถึงวัยทำงานของเราให้กับเพื่อนๆชาวพันทิปฟัง เผื่อเป็นอุทาหรณ์การใช้ชีวิต เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่จะขอใช้นามสมมุติแล้วก็รายละเอียดเหตุการณ์อาจจะขอเปลี่ยนบ้างเล็กน้อยนะคะ กลัวโดนฟ้องเหมือนกัน5555 ไม่ขอบอกนะคะว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่ จะว่านานก็นาน แต่สำหรับเราเหมือนพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวานเลยค่ะ จำได้ดี จำได้ฝังใจไม่มีวันลืมเลย ถ้าใครคาดหวังว่าเนื้อเรื่องจะมีการตบตีแย่งชิงผู้ชายกัน ขอบอกเลยว่า มีค่ะ แย่งจริง แต่ไม่มีการตบกัน และถ้าใครคาดหวังว่าจะมีการนอกกายนอกใจ ขอบอกเลยว่า มีค่ะ มีจนเบื่อเลย รอติดตามได้เลยค่ะ เข้มข้นแน่นอน ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะเจอเหมือนกันค่ะ
ปล1.พฤติกรรมเป็นสิ่งเฉพาะบุคคลนะคะ ไม่เหมารวมมหาลัย คณะ อาชีพ
ปล2.ถ้าผิดพลาดยังไง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เล่นไม่ค่อยเป็น ให้ลูกช่วยสอน แหะๆ
เรามีชื่อเล่นว่า ปิ่น ตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นปีที่สองมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ใบ้ให้ว่าเป็นมหาลัยที่ผู้ชายหล่อ ขาวตี๋ ดูคุณชายมากๆ (ในสายตาเรา) และ ณ ที่แห่งนี้เองนี่แหละค่ะที่ทำให้เราได้เจอกับความรักที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดในชีวิต (เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าอย่าดูคนที่ภายนอก คนที่ภายนอกดูดีทุกอย่าง แต่จิตใจต่ำมีเยอะแยะไปค่ะ)
เราเป็นคนตั้งใจเรียนมาก แทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรักเลย จนกระทั่งงานกีฬาประจำปีของมหาวิทยาลัย เราและเพื่อนอีกคนได้รับหน้าที่ให้อยู่โต๊ะลงทะเบียนเข้าสนามกีฬา เราอาสาทำกะแรก ให้เพื่อนไปกินข้าวรอก่อน แล้วค่อยมาเปลี่ยนกับเรา พิธีเปิดจะเริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม ดังนั้นช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็นจะเป็นพวกสตาฟงาน นักกีฬา ลีดเดอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆมาลงทะเบียน เพื่อเข้าสนามไปเตรียมตัวก่อน แล้วพอช่วงหกโมงเย็นค่อยให้นักศึกษามาลงทะเบียนเข้างานไปจับจองที่นั่งบนอัศจรรย์
พรึ่บ
ขณะที่เรานั่งเหม่อๆอยู่ บัตรนักศึกษาใบหนึ่งก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าของเรา เราเลยเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษเช็ครายชื่อ ก่อนจะพบกับชายหนุ่มร่างสูง น่าจะสูงราวๆร้อยแปดสิบเลยทีเดียว (มารู้ตอนหลังว่าไม่ใช่ร้อยแปดสิบค่ะ แต่ร้อยแปดสิบห้าต่างหาก โห) ผิวขาว ใส่แว่น หน้าตี๋ๆหน่อย ลุคคุณชายๆตามสไตล์เด็กมหาลัยนี้
“เป็นสตาฟเหรอคะ”
เราถามออกไป เพราะชุดที่เขาใส่อยู่คือชุดนิสิต
“ไม่ใช่ครับ เป็นนักกีฬา”
เขาตอบกลับมายิ้มๆ โห ใจละลายเลยค่ะ หล่อมาก สาบานว่าเคยเจอคนหล่อมาเยอะ แต่คนนี้หล่อมากๆ
“งั้นรบกวนลงชื่อ นามสกุล รหัสนิสิต คณะให้หน่อยค่ะ”
‘นาย อาทิตย์ ………. รหัสนิสิต ………. คณะแพทยศาสตร์ ’
ชื่อเก๋ซะด้วย เราแอบคิดในใจ ไม่กล้ามองหน้าเขาเยอะ กลัวจะหลุดทำหน้าแปลกๆออกไป (วันนั้นไม่ได้แต่งหน้าค่ะ เลยไม่มีความมั่นใจสุดๆ)
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
“คะ อ๋อ ใช่ค่ะๆ”
ความหล่อของเขาทำให้สมาธิเรากระเจิงไปคนละทิศคนละทางเลย จนเกือบตอบคำถามเขาไม่ถูกเลยค่ะ เขาพงกหัวขอบคุณเราเล็กน้อย แล้วก็เดินหายตัวเข้าไปในสนามกีฬา ตอนนั้นในใจเราคืออยากให้เพื่อนรีบกลับมาเปลี่ยนกะกับเราเร็วๆ อยากเข้าไปดูเขาเล่นกีฬา ดีที่เพื่อนเรากลับมาหนึ่งทุ่มพอดีเป๊ะๆ เราเลยรีบขอตัวเข้าไปดูความเรียบร้อยในสนามกีฬา (จริงๆคือหาข้ออ้างมาส่องเขาเนี่ยแหละ)
“ยัยปิ่น มานั่งนี่เร็ว”
เสียงของ ขิม เพื่อนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันกับเราดังขึ้น ขิมนั่งอยู่บนอัศจรรย์กับแก๊งค์หนุ่มหน้าสวยประจำคณะ เราเลยรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนๆ กะจะไปเม้าถึงความหล่อของนักกีฬาคนที่เราเจอตอนลงทะเบียน แต่พอเดินไปถึงขิมก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เดี๋ยวแกรอดูเดือนคณะวิศวะนะ หล่อมากก ได้ข่าวว่ากำลังจะได้เล่นละครด้วยแหละ”
ขิมชี้ไปที่ชายหนุ่มร่างสูง ซึ่งถือป้ายประจำคณะ ขบวนพาเหรดเปิดงานจะนำโดยคณะวิศวะ คณะที่ได้ชื่อว่ามีผู้ชายมากที่สุดและหล่อที่สุดในมหาลัย ดังนั้นคนที่คัดมาเดินขบวนพาเหรดไม่ว่าจะเป็นคนถือป้ายคณะ ลีดเดอร์ ดรัมเมเยอร์ ล้วนเป็นคนที่หน้าตาดีถึงดีมาก
เป็นจริงอย่างที่เพื่อนเราพูด เดือนคนนั้นหล่อมากจริงๆ (แต่ก็ยังน้อยกว่านักกีฬาคนนั้นนะ อิอิ)และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่าเดือนคนที่ว่านั้นก็ได้เล่นละครเป็นพระรองช่องน้อยสีจริงๆ แต่หลังจากมีผลงานได้แค่สองสามเรื่อง กระแสก็ค่อยๆเงียบไป วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้แหละ มาไวไปไว
“สู้เดือนคณะแพทย์ได้หรือเปล่ายะ ได้ข่าวว่าหล่อมากก”
เพี่อนชายใจหญิงพูดขึ้น
“นั่นไงแกๆๆ ว้ายย หล่อมากก”
เพื่อนเราชี้ไปที่คนถือป้ายคณะแพทย์
“ยัยปิ่น แกว่าใครหล่อกว่ากัน”
ขิม หันมาถาม เราเป็นคนสายตาสั้นมาก ยอมรับว่าตอนนั้นมองไม่ออกจริงๆค่ะ ทุกคนหน้าเหมือนๆกันไปหมดเลย จนเราสะดุดสายตาเข้ากับคฑากรคนหนึ่ง นั่นมันนักกีฬาคนที่เราเจอตอนลงทะเบียนนิ ไหนบอกว่าเป็นนักกีฬา แต่ไหงมาเป็นเดินควงไม้เป็นคฑากรไปได้
“สรุปยังไง คนไหนหล่อ”
เพื่อนหันมาถามซ้ำ
“คฑากรคนหน้าสุด”
เราตอบออกไปตามตรง
“แกหมายถึงน้องอาทิตย์เหรอ ว้ายย ตาถึงง น้องเขาดังตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
“แกรู้จักเหรอ”
เราถามออกไปด้วยความอยากรู้ เก็บอาการไม่อยู่จริงๆค่ะ
“รู้จักสิ ฉันเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องเขา เขาเด็กกว่าเราปีนึง ตอนนี้อยู่ปีหนึ่ง เฟรชชี่ใสๆอ่ะแก”
“ฉันเจอเขาตอนลงทะเบียน ไม่กล้าสบตาเลยแก หล่อมากกก ยิ้มทีนี่ใจละลาย”
พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองรู้จัก เราก็เริ่มเพ้อถึงน้องเขาทันที
“แต่เสียใจด้วยนะ น้องเขามีแฟนแล้ว”
ยัยขิมดับฝันเราทันที พอได้ยินปุ๊บ หัวใจนี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยค่ะ เสียใจสุดๆ รักแรกพบเกิดและจบไม่ถึงชั่วโมง ฮือๆ ตอนนั้นเพลง ใจเอย กำลังดัง จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านไป เรานี่นอนน้ำตาไหลฟังเพลงนี้ทั้งคืนเลยค่ะ อินสุดๆ คนมันกำลังเสียใจ แอบชอบครั้งแรกก็อกหักอย่างแรงเลย เห้อ
แต่สรุปแล้วน้องเขาไม่ได้โกหกเรานะคะ เพราะหลังจากเดินพาเหรดเสร็จน้องเขาก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อบาสเกตบอลสีเขียวเข้ม สกีนข้างหลังว่า Arthit เบอร์ 11 (ทีมให้เลือกเบอร์ได้เอง เขาเลยเลือกเป็นวันที่วันเกิดตัวเอง) เราก็แอบๆเชียร์อยู่ค่ะ เชียร์ไปน้ำตาตกในไป ปีนั้นคณะแพทย์จบที่รางวัลรองชนะเลิศ แพ้คณะวิศวะไปอย่างเฉียดฉิว เพราะเขายิงลูกโทษไม่เข้า ไม่แน่ใจว่าเขาร้องไห้หรือเปล่า แต่ดูซึมไปเลยค่ะ เราเห็นแล้วเศร้าแทนเลย
หลังจากจบงานกีฬาประจำปีไป เราก็ไม่ได้เจอน้องอาทิตย์อีกเลยค่ะ มีนึกถึงบ้าง แต่ก็ไม่ได้อะไร เพราะน้องเขามีแฟนแล้ว ก็ต้องตัดใจไปตามระเบียบ จนกระทั่งจบเทอมแรก เพื่อนๆในคลาสชวนกันไปสังสรรค์ ปกติเราไม่ใช่คนชอบเที่ยวเท่าไหร่ แต่ในชีวิตก็อยากลองไปสักครั้งเหมือนกัน
จะเรียกว่าร้านเหล้าก็อาจจะไม่ถูกนัก คือเป็นร้านอาหารแถวมหาลัยนี่แหละค่ะ แต่ร้านจะเปิดไฟสลัวๆ มีเพลงเปิดจากแผ่น อาหารเป็นอาหารตามสั่งทั่วๆไป แต่สิ่งที่ทำให้มีนักศึกษานั่งกันเต็มร้านคือเหล้าค่ะ ปกติร้านอาหารรอบมหาลัยจะไม่ให้ขายเหล้า แต่ร้านนี้เขาแอบๆขาย คนเลยมากินกันเยอะ และสาเหตุที่ไปร้านนี้เพราะยัยขิมจะไปเฝ้าแฟน หลังจากจบงานกีฬาสีไป ขิมก็ได้ไปรู้จักกับหนุ่มนักบอลประจำคณะวิศวะ หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ประมาณสองเดือนกว่า ทั้งสองคนก็ตกลงปลงใจกัน เพื่อนๆนี่อิจฉาตาร้อนกันใหญ่ เพราะคณะเรามันคอนแวนต์มากๆ แทบไม่มีผู้ชายในคณะเลย แถมเรียนหนักอีก ไม่มีเวลาไปหาแฟนเลยค่ะ ดังนั้นเรื่องของยัยขิมกับหนุ่มวิศวะเลยเป็นประเด็นให้คนในคณะอิจฉาเล่นไปพักนึงเลย เรามาถึงกันค่อนข้างเร็ว ร้านเลยยังโล่งอยู่ เราจึงเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ถัดจากลำโพงออกมาหน่อย เดี๋ยวเสียงดังเกินจะคุยกันไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มผู้ชายหน้าตาดีกลุ่มใหญ่ประมาณสิบถึงสิบห้าคนก็เดินเข้ามาในร้าน
“ขอแนะนำนะจ้ะ นี่ ภพ แฟนฉันเอง”
ยัยขิมรีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนแฟนหนุ่มมาแนะนำตัวให้พวกเรารู้จัก
“สวัสดีครับ”
ภพพงกหัวทักทายทุกคน เขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี ขาว ตี๋ แต่ไม่สูงเท่าไหร่ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะเพื่อนเราสูงแค่ร้อยห้าสิบกว่าๆเท่านั้นเอง พอยืนข้างกันปุ๊บก็ดูเข้ากันดีค่ะ
“เดี๋ยวไว้ภพมานะ”
ภพหันไปบอกขิมก่อนจะขอตัวกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งตอนนี้นั่งประจำโต๊ะกันแล้ว
“จ้า พาเพื่อนหล่อๆมาด้วยนะ เพื่อนขิมโสดทุกคน”
ขิมพูดขำๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานภพก็กลับมาจริงๆ พร้อมกับหนุ่มหน้ามนอีกคน ซึ่งมองเราตาเป็นประกาย
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ขอดูก่อนว่าเพื่อนๆอยากฟังหรือเปล่า555
เล่าประสบการณ์ความรักในรั้วมหาวิทยาลัยชื่อดัง (อุทาหรณ์การใช้ชีวิต)
ปล1.พฤติกรรมเป็นสิ่งเฉพาะบุคคลนะคะ ไม่เหมารวมมหาลัย คณะ อาชีพ
ปล2.ถ้าผิดพลาดยังไง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ เล่นไม่ค่อยเป็น ให้ลูกช่วยสอน แหะๆ
เรามีชื่อเล่นว่า ปิ่น ตอนนั้นเราเรียนอยู่ชั้นปีที่สองมหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ใบ้ให้ว่าเป็นมหาลัยที่ผู้ชายหล่อ ขาวตี๋ ดูคุณชายมากๆ (ในสายตาเรา) และ ณ ที่แห่งนี้เองนี่แหละค่ะที่ทำให้เราได้เจอกับความรักที่ดีที่สุดและเลวร้ายที่สุดในชีวิต (เป็นอุทาหรณ์สอนใจว่าอย่าดูคนที่ภายนอก คนที่ภายนอกดูดีทุกอย่าง แต่จิตใจต่ำมีเยอะแยะไปค่ะ)
เราเป็นคนตั้งใจเรียนมาก แทบไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรักเลย จนกระทั่งงานกีฬาประจำปีของมหาวิทยาลัย เราและเพื่อนอีกคนได้รับหน้าที่ให้อยู่โต๊ะลงทะเบียนเข้าสนามกีฬา เราอาสาทำกะแรก ให้เพื่อนไปกินข้าวรอก่อน แล้วค่อยมาเปลี่ยนกับเรา พิธีเปิดจะเริ่มประมาณหนึ่งทุ่ม ดังนั้นช่วงสี่ถึงห้าโมงเย็นจะเป็นพวกสตาฟงาน นักกีฬา ลีดเดอร์ ผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆมาลงทะเบียน เพื่อเข้าสนามไปเตรียมตัวก่อน แล้วพอช่วงหกโมงเย็นค่อยให้นักศึกษามาลงทะเบียนเข้างานไปจับจองที่นั่งบนอัศจรรย์
พรึ่บ
ขณะที่เรานั่งเหม่อๆอยู่ บัตรนักศึกษาใบหนึ่งก็ถูกเลื่อนมาตรงหน้าของเรา เราเลยเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษเช็ครายชื่อ ก่อนจะพบกับชายหนุ่มร่างสูง น่าจะสูงราวๆร้อยแปดสิบเลยทีเดียว (มารู้ตอนหลังว่าไม่ใช่ร้อยแปดสิบค่ะ แต่ร้อยแปดสิบห้าต่างหาก โห) ผิวขาว ใส่แว่น หน้าตี๋ๆหน่อย ลุคคุณชายๆตามสไตล์เด็กมหาลัยนี้
“เป็นสตาฟเหรอคะ”
เราถามออกไป เพราะชุดที่เขาใส่อยู่คือชุดนิสิต
“ไม่ใช่ครับ เป็นนักกีฬา”
เขาตอบกลับมายิ้มๆ โห ใจละลายเลยค่ะ หล่อมาก สาบานว่าเคยเจอคนหล่อมาเยอะ แต่คนนี้หล่อมากๆ
“งั้นรบกวนลงชื่อ นามสกุล รหัสนิสิต คณะให้หน่อยค่ะ”
‘นาย อาทิตย์ ………. รหัสนิสิต ………. คณะแพทยศาสตร์ ’
ชื่อเก๋ซะด้วย เราแอบคิดในใจ ไม่กล้ามองหน้าเขาเยอะ กลัวจะหลุดทำหน้าแปลกๆออกไป (วันนั้นไม่ได้แต่งหน้าค่ะ เลยไม่มีความมั่นใจสุดๆ)
“เรียบร้อยแล้วใช่มั้ยครับ”
“คะ อ๋อ ใช่ค่ะๆ”
ความหล่อของเขาทำให้สมาธิเรากระเจิงไปคนละทิศคนละทางเลย จนเกือบตอบคำถามเขาไม่ถูกเลยค่ะ เขาพงกหัวขอบคุณเราเล็กน้อย แล้วก็เดินหายตัวเข้าไปในสนามกีฬา ตอนนั้นในใจเราคืออยากให้เพื่อนรีบกลับมาเปลี่ยนกะกับเราเร็วๆ อยากเข้าไปดูเขาเล่นกีฬา ดีที่เพื่อนเรากลับมาหนึ่งทุ่มพอดีเป๊ะๆ เราเลยรีบขอตัวเข้าไปดูความเรียบร้อยในสนามกีฬา (จริงๆคือหาข้ออ้างมาส่องเขาเนี่ยแหละ)
“ยัยปิ่น มานั่งนี่เร็ว”
เสียงของ ขิม เพื่อนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันกับเราดังขึ้น ขิมนั่งอยู่บนอัศจรรย์กับแก๊งค์หนุ่มหน้าสวยประจำคณะ เราเลยรีบวิ่งเข้าไปหาเพื่อนๆ กะจะไปเม้าถึงความหล่อของนักกีฬาคนที่เราเจอตอนลงทะเบียน แต่พอเดินไปถึงขิมก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“เดี๋ยวแกรอดูเดือนคณะวิศวะนะ หล่อมากก ได้ข่าวว่ากำลังจะได้เล่นละครด้วยแหละ”
ขิมชี้ไปที่ชายหนุ่มร่างสูง ซึ่งถือป้ายประจำคณะ ขบวนพาเหรดเปิดงานจะนำโดยคณะวิศวะ คณะที่ได้ชื่อว่ามีผู้ชายมากที่สุดและหล่อที่สุดในมหาลัย ดังนั้นคนที่คัดมาเดินขบวนพาเหรดไม่ว่าจะเป็นคนถือป้ายคณะ ลีดเดอร์ ดรัมเมเยอร์ ล้วนเป็นคนที่หน้าตาดีถึงดีมาก
เป็นจริงอย่างที่เพื่อนเราพูด เดือนคนนั้นหล่อมากจริงๆ (แต่ก็ยังน้อยกว่านักกีฬาคนนั้นนะ อิอิ)และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ข่าวว่าเดือนคนที่ว่านั้นก็ได้เล่นละครเป็นพระรองช่องน้อยสีจริงๆ แต่หลังจากมีผลงานได้แค่สองสามเรื่อง กระแสก็ค่อยๆเงียบไป วงการบันเทิงก็เป็นแบบนี้แหละ มาไวไปไว
“สู้เดือนคณะแพทย์ได้หรือเปล่ายะ ได้ข่าวว่าหล่อมากก”
เพี่อนชายใจหญิงพูดขึ้น
“นั่นไงแกๆๆ ว้ายย หล่อมากก”
เพื่อนเราชี้ไปที่คนถือป้ายคณะแพทย์
“ยัยปิ่น แกว่าใครหล่อกว่ากัน”
ขิม หันมาถาม เราเป็นคนสายตาสั้นมาก ยอมรับว่าตอนนั้นมองไม่ออกจริงๆค่ะ ทุกคนหน้าเหมือนๆกันไปหมดเลย จนเราสะดุดสายตาเข้ากับคฑากรคนหนึ่ง นั่นมันนักกีฬาคนที่เราเจอตอนลงทะเบียนนิ ไหนบอกว่าเป็นนักกีฬา แต่ไหงมาเป็นเดินควงไม้เป็นคฑากรไปได้
“สรุปยังไง คนไหนหล่อ”
เพื่อนหันมาถามซ้ำ
“คฑากรคนหน้าสุด”
เราตอบออกไปตามตรง
“แกหมายถึงน้องอาทิตย์เหรอ ว้ายย ตาถึงง น้องเขาดังตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
“แกรู้จักเหรอ”
เราถามออกไปด้วยความอยากรู้ เก็บอาการไม่อยู่จริงๆค่ะ
“รู้จักสิ ฉันเรียนโรงเรียนเดียวกับน้องเขา เขาเด็กกว่าเราปีนึง ตอนนี้อยู่ปีหนึ่ง เฟรชชี่ใสๆอ่ะแก”
“ฉันเจอเขาตอนลงทะเบียน ไม่กล้าสบตาเลยแก หล่อมากกก ยิ้มทีนี่ใจละลาย”
พอรู้ว่าเพื่อนตัวเองรู้จัก เราก็เริ่มเพ้อถึงน้องเขาทันที
“แต่เสียใจด้วยนะ น้องเขามีแฟนแล้ว”
ยัยขิมดับฝันเราทันที พอได้ยินปุ๊บ หัวใจนี่แตกออกเป็นเสี่ยงๆเลยค่ะ เสียใจสุดๆ รักแรกพบเกิดและจบไม่ถึงชั่วโมง ฮือๆ ตอนนั้นเพลง ใจเอย กำลังดัง จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านไป เรานี่นอนน้ำตาไหลฟังเพลงนี้ทั้งคืนเลยค่ะ อินสุดๆ คนมันกำลังเสียใจ แอบชอบครั้งแรกก็อกหักอย่างแรงเลย เห้อ
แต่สรุปแล้วน้องเขาไม่ได้โกหกเรานะคะ เพราะหลังจากเดินพาเหรดเสร็จน้องเขาก็ไปเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อบาสเกตบอลสีเขียวเข้ม สกีนข้างหลังว่า Arthit เบอร์ 11 (ทีมให้เลือกเบอร์ได้เอง เขาเลยเลือกเป็นวันที่วันเกิดตัวเอง) เราก็แอบๆเชียร์อยู่ค่ะ เชียร์ไปน้ำตาตกในไป ปีนั้นคณะแพทย์จบที่รางวัลรองชนะเลิศ แพ้คณะวิศวะไปอย่างเฉียดฉิว เพราะเขายิงลูกโทษไม่เข้า ไม่แน่ใจว่าเขาร้องไห้หรือเปล่า แต่ดูซึมไปเลยค่ะ เราเห็นแล้วเศร้าแทนเลย
หลังจากจบงานกีฬาประจำปีไป เราก็ไม่ได้เจอน้องอาทิตย์อีกเลยค่ะ มีนึกถึงบ้าง แต่ก็ไม่ได้อะไร เพราะน้องเขามีแฟนแล้ว ก็ต้องตัดใจไปตามระเบียบ จนกระทั่งจบเทอมแรก เพื่อนๆในคลาสชวนกันไปสังสรรค์ ปกติเราไม่ใช่คนชอบเที่ยวเท่าไหร่ แต่ในชีวิตก็อยากลองไปสักครั้งเหมือนกัน
จะเรียกว่าร้านเหล้าก็อาจจะไม่ถูกนัก คือเป็นร้านอาหารแถวมหาลัยนี่แหละค่ะ แต่ร้านจะเปิดไฟสลัวๆ มีเพลงเปิดจากแผ่น อาหารเป็นอาหารตามสั่งทั่วๆไป แต่สิ่งที่ทำให้มีนักศึกษานั่งกันเต็มร้านคือเหล้าค่ะ ปกติร้านอาหารรอบมหาลัยจะไม่ให้ขายเหล้า แต่ร้านนี้เขาแอบๆขาย คนเลยมากินกันเยอะ และสาเหตุที่ไปร้านนี้เพราะยัยขิมจะไปเฝ้าแฟน หลังจากจบงานกีฬาสีไป ขิมก็ได้ไปรู้จักกับหนุ่มนักบอลประจำคณะวิศวะ หลังจากคุยกันได้ไม่นาน ประมาณสองเดือนกว่า ทั้งสองคนก็ตกลงปลงใจกัน เพื่อนๆนี่อิจฉาตาร้อนกันใหญ่ เพราะคณะเรามันคอนแวนต์มากๆ แทบไม่มีผู้ชายในคณะเลย แถมเรียนหนักอีก ไม่มีเวลาไปหาแฟนเลยค่ะ ดังนั้นเรื่องของยัยขิมกับหนุ่มวิศวะเลยเป็นประเด็นให้คนในคณะอิจฉาเล่นไปพักนึงเลย เรามาถึงกันค่อนข้างเร็ว ร้านเลยยังโล่งอยู่ เราจึงเลือกนั่งโต๊ะที่อยู่ถัดจากลำโพงออกมาหน่อย เดี๋ยวเสียงดังเกินจะคุยกันไม่รู้เรื่อง หลังจากนั้นไม่นานกลุ่มผู้ชายหน้าตาดีกลุ่มใหญ่ประมาณสิบถึงสิบห้าคนก็เดินเข้ามาในร้าน
“ขอแนะนำนะจ้ะ นี่ ภพ แฟนฉันเอง”
ยัยขิมรีบวิ่งเข้าไปคว้าแขนแฟนหนุ่มมาแนะนำตัวให้พวกเรารู้จัก
“สวัสดีครับ”
ภพพงกหัวทักทายทุกคน เขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี ขาว ตี๋ แต่ไม่สูงเท่าไหร่ แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ เพราะเพื่อนเราสูงแค่ร้อยห้าสิบกว่าๆเท่านั้นเอง พอยืนข้างกันปุ๊บก็ดูเข้ากันดีค่ะ
“เดี๋ยวไว้ภพมานะ”
ภพหันไปบอกขิมก่อนจะขอตัวกลับไปหากลุ่มเพื่อนๆ ซึ่งตอนนี้นั่งประจำโต๊ะกันแล้ว
“จ้า พาเพื่อนหล่อๆมาด้วยนะ เพื่อนขิมโสดทุกคน”
ขิมพูดขำๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานภพก็กลับมาจริงๆ พร้อมกับหนุ่มหน้ามนอีกคน ซึ่งมองเราตาเป็นประกาย
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ขอดูก่อนว่าเพื่อนๆอยากฟังหรือเปล่า555