กระทู้นี้เกี่ยวกับหลักการและหลักปฏิบัติที่ระบุไว้ในศาสนาอิสลามเท่านั้น นั้นคือ "อัลกุรอาน" โดยที่จะไม่รวม ขนบธรรมเนียมประเพณี ของชาว อรับหรือการปฏิบัติของมุสลิมในส่วนต่างๆของโลก เข้ามารวมอยู่ในกระทู้นี้ เพราะว่า วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของอรับ หรือของมุสลิมแต่ละท้องถิ่น อาจจะไม่ได้มาจากอัลกุรอานโดยตรง อาจจะมาจากวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ที่ถ่ายถอดมาจากบรรพบุรุษก่อนที่จะเข้ารับศาสนาอิสลาม หรือที่อยู่ระหว่างหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงจากความเชื่อความศรัทธาแต่ก่อนเก่ามาสู่ศาสนาอิสลาม
สิทธิมนุษยชนในศาสนาอิสลาม มีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่าพระเจ้าและพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้ให้กฎหมายและเป็นแหล่งสิทธิมนุษยชนทั้งหมด เนื่องจากต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีผู้ปกครอง รัฐบาล การชุมนุม หรือผู้มีอำนาจใดสามารถจำกัดหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนที่พระเจ้าประทานให้ไม่ว่าในทางใด และไม่สามารถยอมจำนนสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ใดได้
ศาสนาอิสลามได้วางสิทธิขั้นพื้นฐานสากลสำหรับมนุษยชาติโดยรวม ไว้โดยให้ สิทธิในการมีชีวิต, ความมั่นคง, เสรีภาพ และความยุติธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของของมนุษย์ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม อัลกุรอานระบุว่ามนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากท่านนบีอาดัมและเป็นพี่น้องของกันและกัน ดังนั้นความเสมอภาคจะต้องเสมอเหมือนกัน ในอัลกุรอานมีการเน้นถึงความเสมอภาคและความยุติธรรม ตลอดทั้งเนื้อหาและยังรวมถึงสิทธิของศัตรูด้วย
อัลกุรอานส่วนใหญ่กำหนดขอบเขตที่ มุสลิมถูกห้ามไม่ให้ละเมิด ภายในขอบเขตเหล่านี้ อัลกุรอานปฏิบัติต่อมนุษย์ โดยพิจารณาความมีคุณค่าเท่าเทียมกันและกอปรด้วยสิทธิบางประการโดยอาศัยความเป็นมนุษย์ ดังนั้นสิทธิมนุษยชน ที่มอบให้มนุษย์ในอัลกุรอาน ได้แก่:
1. สิทธิในการมีชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างสันติ เช่นเดียวกับสิทธิในการเป็นเจ้าของ การปกป้อง และมีทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักนิติศาสตร์.
เศรษฐกิจอิสลาม
2. อัลกุรอานยังประกอบด้วยสิทธิสำหรับชนกลุ่มน้อยและสตรี, เด็ก และเด็กกำพร้า เช่นเดียวกับกฎระเบียบของการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ระหว่างกัน
3. สิทธิในการเลิกนับถือศาสนาอิสลาม
4. สิทธิของเชลยศึกโดยกำหนดขอบเขตที่ควรรปฏิบัติต่อเชลยศึก
...................................
คำอธิบายโดยสังเขป:
1. สิทธิในการมีชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างสันติ เช่นเดียวกับสิทธิในการเป็นเจ้าของ การปกป้อง และมีทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักนิติศาสตร์เศรษฐกิจอิสลาม
หลักการชี้นำในหลักชีวจริยธรรมของอิสลามคือ “ผู้ใดสังหารบุคลเพียงคนเดียว (เว้นแต่เป็นการฆ่าคนตายเพื่อป้องกันชีวิคคนและครอบครัว หรือผู้ที่ก่อความเสียหายในแผ่นดิน) ก็ประหนึ่งว่าเขาฆ่ามนุษย์ทุกคน และผู้ใดช่วยทำให้บุคคลมีชีวิตอยู่ได้ ก็เหมือนกับว่าเขาได้ช่วยชีวิตมนุษย์ทุกคน” (กุรอาน: 5:32)
อัลกุรอานห้ามการปลิดชีพโดยปราศจากกระบวนการทางกฎหมายที่เหมาะสม และยังกำหนดให้ มุสลิมต้องจัดหาการเลี้ยงชีพให้กับผู้ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ อัลกุรอานประทานสิทธิในการมีชีวิต แม้กระทั่งกับศัตรูของตนในระหว่างสงคราม เนื่องจากชาวมุสลิมถูกห้ามไม่ให้ใช้กำลัง ยกเว้นในการป้องกันตัวเองเท่านั้น
การทำแท้งก็คือการทำลายชีวิตมนุษย์เช่นกันถือว่าเป็นการฆาตกรรม ด้วยเหตุนี้อัลกุรอานจึงมีบัญญัติในการป้องกัน การผิดประเวณี และการทำซินาไว้ด้วยโทษที่รุนแรงทั้งทางด้านจิตวิญญาณและทางโลก ในกรณีที่ไม่ต้องการทารกเนื่องจากเหตุสุดวิสัย การยกทารกให้ผู้อื่นอุปการระไม่มีข้อห้ามหรือผิดหลักการของศาสนาอิสลาม
หลักการและสถาบันซะกาต (การทำสาธารณกุศล) เป็นการช่วยให้ชีวิตมีความ้สมอภาคกันในความเป็นอยู่อย่างเพียงพอตามฐานะเศรษฐกิจ
2. อัลกุรอานยังประกอบด้วยสิทธิสำหรับชนกลุ่มน้อยและสตรี,เด็กและเด็กกำพร้า เช่นเดียวกับกฎระเบียบของการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ระหว่างกัน อัลกุรอานบทที่ 4. ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) เป็นการเริ่มต้น การกำหนดสิทธิของสตรีและเด็กกำพร้าไว้อย่างชัดเจน ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อและการสงคราม มีการจำกัดจำนวนของการครอบครองหญิงเป็นภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน โดยต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน และมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูสตรีเหล่านั้นได้ ถ้าไม่อาจพบเงื่อนไขได้ก็ให้มีเพียงคนเดียว ห้ามการครอบครองแย่งชิงสมบัติของเด็กกำพร้า ห้ามการข่มขืนเชลยศึกหญิง โดยไม่มีการนิกะห์ หรือแต่งงานเป็นสามีภรรยาเสียก่อน ห้ามการเอาภรรยาเชลยศึกเป็นภรรยา ในเรื่องห้ามการทำซินานี้มีอยู่ในหลายบทของอัลกุรอาน เพราะถือเป็นบาปอย่างแรง
3. สิทธิในการเลิกนับถือศาสนาอิสลาม อัลกุรอานระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ควรมีการบังคับในศาสนา” (2:257) และ “มันเป็นความจริงจากพระเจ้าของเจ้า; ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาก็ให้ผู้ไม่เชื่อก็ปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อ” (18:30) โองการเหล่านี้พิสูจน์ว่ามนุษย์มีอิสระที่จะเลือกศาสนาที่ทำให้เขามีความสุข และการปฏิเสธอิสลามไม่ใช่อาชญากรรม. ในข้อ 3 บทที่ 145 พระเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่หันหลังกลับจะไม่ทำอันตรายแก่อัลลอฮ์แม้แต่นิดเดียว” ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าการละทิ้งความเชื่อไม่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษ ในทำนองเดียวกัน บทที่ 2 อายะฮ์ที่ 109 กล่าวว่า “ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาเพื่อแลกกับความเชื่อ ย่อมหลงผิดไปจากทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”
การละทิ้งศาสนาอิสลามมีการลงโทษ ที่อธิบายไว้ในอัลกุรอาน คือ มันเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ คือเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจเท่านั้น : “บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วไม่เชื่อ แล้วศรัทธาอีกครั้ง ไม่เชื่อแล้วเพิ่มความไม่เชื่อ อัลลอฮ์จะไม่ให้อภัยพวกเขา และจะไม่ทรงนำทางพวกเขาไปสู่ วิธีการที่เหมาะสม. (4:138)”.
บัญญัติต่างๆที่อ้างอิงมานี้จึงไม่มีอะไรอื่นที่จำเป็นจะต้องอธิบายให้มากไปกว่านี้ว่า อิสลามให้สิทธิในการละทิ้งอิสลามโดยไมมีโทษประหารระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอิสลามไม่ว่ามุสลิมผู้ใดจะมีตำแหน่งทางศาสนาอย่างไรก็ตาม บัญญัติต่างๆที่กล่าวถึงมีผลบังับใช้กับมุสลิมทุกๆคนรวมทั้งท่านศาสนทูตมูฮัมมัดด้วย
4. สิทธิของเชลยศึกโดยกำหนดขอบเขตที่ควรรปฏิบัติต่อเชลยศึก:
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ มีการแสดงให้เห็นแล้วว่าอัลกุรอานสนับสนุนให้เชลยศึกได้รับการปกป้องจากอันตราย ให้ได้รับอาหาร และพวกเขาได้รับการปล่อยตัวโดยจ่ายค่าไถ่ หรือปล่อยไปโดยไม่มีค่าไถ่ หรือกล่าวโดยย่อได้ว่า "การลงโทษประหารชีวิตสำหรับเชลยศึกจะได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดและเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของรัฐเท่านั้น" นักวิชาการมุสลิมร่วมสมัยส่วนใหญ่ห้ามมิให้มีการฆ่านักโทษโดยสิ้นเชิง และถือว่านี่เป็นนโยบายที่มูฮัมหมัดปฏิบัติ
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสิทธิมนุษยชนที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานอย่างย่อๆเท่านั้น
สิทธิมนุษยชนในศาสนาอิสลาม
สิทธิมนุษยชนในศาสนาอิสลาม มีรากฐานมาจากความเชื่อที่ว่าพระเจ้าและพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นผู้ให้กฎหมายและเป็นแหล่งสิทธิมนุษยชนทั้งหมด เนื่องจากต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่มีผู้ปกครอง รัฐบาล การชุมนุม หรือผู้มีอำนาจใดสามารถจำกัดหรือละเมิดสิทธิมนุษยชนที่พระเจ้าประทานให้ไม่ว่าในทางใด และไม่สามารถยอมจำนนสิทธิมนุษยชนให้แก่ผู้ใดได้
ศาสนาอิสลามได้วางสิทธิขั้นพื้นฐานสากลสำหรับมนุษยชาติโดยรวม ไว้โดยให้ สิทธิในการมีชีวิต, ความมั่นคง, เสรีภาพ และความยุติธรรมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของของมนุษย์ ตามหลักการของศาสนาอิสลาม อัลกุรอานระบุว่ามนุษย์ทุกคนสืบเชื้อสายมาจากท่านนบีอาดัมและเป็นพี่น้องของกันและกัน ดังนั้นความเสมอภาคจะต้องเสมอเหมือนกัน ในอัลกุรอานมีการเน้นถึงความเสมอภาคและความยุติธรรม ตลอดทั้งเนื้อหาและยังรวมถึงสิทธิของศัตรูด้วย
อัลกุรอานส่วนใหญ่กำหนดขอบเขตที่ มุสลิมถูกห้ามไม่ให้ละเมิด ภายในขอบเขตเหล่านี้ อัลกุรอานปฏิบัติต่อมนุษย์ โดยพิจารณาความมีคุณค่าเท่าเทียมกันและกอปรด้วยสิทธิบางประการโดยอาศัยความเป็นมนุษย์ ดังนั้นสิทธิมนุษยชน ที่มอบให้มนุษย์ในอัลกุรอาน ได้แก่:
1. สิทธิในการมีชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างสันติ เช่นเดียวกับสิทธิในการเป็นเจ้าของ การปกป้อง และมีทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักนิติศาสตร์.
เศรษฐกิจอิสลาม
2. อัลกุรอานยังประกอบด้วยสิทธิสำหรับชนกลุ่มน้อยและสตรี, เด็ก และเด็กกำพร้า เช่นเดียวกับกฎระเบียบของการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ระหว่างกัน
3. สิทธิในการเลิกนับถือศาสนาอิสลาม
4. สิทธิของเชลยศึกโดยกำหนดขอบเขตที่ควรรปฏิบัติต่อเชลยศึก
...................................
คำอธิบายโดยสังเขป:
1. สิทธิในการมีชีวิตและการดำรงชีวิตอย่างสันติ เช่นเดียวกับสิทธิในการเป็นเจ้าของ การปกป้อง และมีทรัพย์สินที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักนิติศาสตร์เศรษฐกิจอิสลาม
หลักการชี้นำในหลักชีวจริยธรรมของอิสลามคือ “ผู้ใดสังหารบุคลเพียงคนเดียว (เว้นแต่เป็นการฆ่าคนตายเพื่อป้องกันชีวิคคนและครอบครัว หรือผู้ที่ก่อความเสียหายในแผ่นดิน) ก็ประหนึ่งว่าเขาฆ่ามนุษย์ทุกคน และผู้ใดช่วยทำให้บุคคลมีชีวิตอยู่ได้ ก็เหมือนกับว่าเขาได้ช่วยชีวิตมนุษย์ทุกคน” (กุรอาน: 5:32)
อัลกุรอานห้ามการปลิดชีพโดยปราศจากกระบวนการทางกฎหมายที่เหมาะสม และยังกำหนดให้ มุสลิมต้องจัดหาการเลี้ยงชีพให้กับผู้ที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้ อัลกุรอานประทานสิทธิในการมีชีวิต แม้กระทั่งกับศัตรูของตนในระหว่างสงคราม เนื่องจากชาวมุสลิมถูกห้ามไม่ให้ใช้กำลัง ยกเว้นในการป้องกันตัวเองเท่านั้น
การทำแท้งก็คือการทำลายชีวิตมนุษย์เช่นกันถือว่าเป็นการฆาตกรรม ด้วยเหตุนี้อัลกุรอานจึงมีบัญญัติในการป้องกัน การผิดประเวณี และการทำซินาไว้ด้วยโทษที่รุนแรงทั้งทางด้านจิตวิญญาณและทางโลก ในกรณีที่ไม่ต้องการทารกเนื่องจากเหตุสุดวิสัย การยกทารกให้ผู้อื่นอุปการระไม่มีข้อห้ามหรือผิดหลักการของศาสนาอิสลาม
หลักการและสถาบันซะกาต (การทำสาธารณกุศล) เป็นการช่วยให้ชีวิตมีความ้สมอภาคกันในความเป็นอยู่อย่างเพียงพอตามฐานะเศรษฐกิจ
2. อัลกุรอานยังประกอบด้วยสิทธิสำหรับชนกลุ่มน้อยและสตรี,เด็กและเด็กกำพร้า เช่นเดียวกับกฎระเบียบของการมีปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ระหว่างกัน อัลกุรอานบทที่ 4. ซูเราะฮฺอันนิสาอ์ (บท เหล่าสตรี) เป็นการเริ่มต้น การกำหนดสิทธิของสตรีและเด็กกำพร้าไว้อย่างชัดเจน ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อและการสงคราม มีการจำกัดจำนวนของการครอบครองหญิงเป็นภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน โดยต้องมีฐานะเท่าเทียมกัน และมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูสตรีเหล่านั้นได้ ถ้าไม่อาจพบเงื่อนไขได้ก็ให้มีเพียงคนเดียว ห้ามการครอบครองแย่งชิงสมบัติของเด็กกำพร้า ห้ามการข่มขืนเชลยศึกหญิง โดยไม่มีการนิกะห์ หรือแต่งงานเป็นสามีภรรยาเสียก่อน ห้ามการเอาภรรยาเชลยศึกเป็นภรรยา ในเรื่องห้ามการทำซินานี้มีอยู่ในหลายบทของอัลกุรอาน เพราะถือเป็นบาปอย่างแรง
3. สิทธิในการเลิกนับถือศาสนาอิสลาม อัลกุรอานระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่ควรมีการบังคับในศาสนา” (2:257) และ “มันเป็นความจริงจากพระเจ้าของเจ้า; ดังนั้นผู้ที่ศรัทธาก็ให้ผู้ไม่เชื่อก็ปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อ” (18:30) โองการเหล่านี้พิสูจน์ว่ามนุษย์มีอิสระที่จะเลือกศาสนาที่ทำให้เขามีความสุข และการปฏิเสธอิสลามไม่ใช่อาชญากรรม. ในข้อ 3 บทที่ 145 พระเจ้าตรัสว่า “ผู้ที่หันหลังกลับจะไม่ทำอันตรายแก่อัลลอฮ์แม้แต่นิดเดียว” ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่าการละทิ้งความเชื่อไม่จำเป็นต้องได้รับการลงโทษ ในทำนองเดียวกัน บทที่ 2 อายะฮ์ที่ 109 กล่าวว่า “ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาเพื่อแลกกับความเชื่อ ย่อมหลงผิดไปจากทางที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”
การละทิ้งศาสนาอิสลามมีการลงโทษ ที่อธิบายไว้ในอัลกุรอาน คือ มันเป็นสิทธิของอัลลอฮ์ คือเป็นสิทธิของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอำนาจเท่านั้น : “บรรดาผู้ที่ศรัทธาแล้วไม่เชื่อ แล้วศรัทธาอีกครั้ง ไม่เชื่อแล้วเพิ่มความไม่เชื่อ อัลลอฮ์จะไม่ให้อภัยพวกเขา และจะไม่ทรงนำทางพวกเขาไปสู่ วิธีการที่เหมาะสม. (4:138)”.
บัญญัติต่างๆที่อ้างอิงมานี้จึงไม่มีอะไรอื่นที่จำเป็นจะต้องอธิบายให้มากไปกว่านี้ว่า อิสลามให้สิทธิในการละทิ้งอิสลามโดยไมมีโทษประหารระบุไว้ในคัมภีร์ของศาสนาอิสลามไม่ว่ามุสลิมผู้ใดจะมีตำแหน่งทางศาสนาอย่างไรก็ตาม บัญญัติต่างๆที่กล่าวถึงมีผลบังับใช้กับมุสลิมทุกๆคนรวมทั้งท่านศาสนทูตมูฮัมมัดด้วย
4. สิทธิของเชลยศึกโดยกำหนดขอบเขตที่ควรรปฏิบัติต่อเชลยศึก:
จวบจนถึงปัจจุบันนี้ มีการแสดงให้เห็นแล้วว่าอัลกุรอานสนับสนุนให้เชลยศึกได้รับการปกป้องจากอันตราย ให้ได้รับอาหาร และพวกเขาได้รับการปล่อยตัวโดยจ่ายค่าไถ่ หรือปล่อยไปโดยไม่มีค่าไถ่ หรือกล่าวโดยย่อได้ว่า "การลงโทษประหารชีวิตสำหรับเชลยศึกจะได้รับอนุญาตเฉพาะในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งยวดและเพื่อผลประโยชน์สูงสุดของรัฐเท่านั้น" นักวิชาการมุสลิมร่วมสมัยส่วนใหญ่ห้ามมิให้มีการฆ่านักโทษโดยสิ้นเชิง และถือว่านี่เป็นนโยบายที่มูฮัมหมัดปฏิบัติ
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงสิทธิมนุษยชนที่กล่าวไว้ในอัลกุรอานอย่างย่อๆเท่านั้น