เรื่องสั้น นางเเบก



เรื่อง        นางแบก

เรื่องโดย  นัฐพันธ์
................................................................................................................................................................................
แขอุไร  หรือแขก เหม่อมองออกไปที่ด้านนอกรถเมล์ หญิงสาวครุ่นคิดถึงอะไรหลายๆอย่างที่ประเดประดังเข้ามา เสมือนคลื่นที่ถาโถมใส่อย่างบ้าคลั่ง แขกอิดโรยเกินกว่าจะบอกใครได้ว่า เหนื่อย เพราะเมื่อมองไปด้านหลังของชีวิตแล้ว เธอจะบอกว่าท้อไม่ได้ ไหนจะพ่อแม่ ไหนจะพี่น้อง ไหนจะญาติ พันพัว พัวพันกันไปหมด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต ล้วนเกิดแต่ครอบครัวด้วยกันทั้งสิ้น แขกเบื่อที่จะพยายามรั้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ แต่ไหนเลยจะทอดทิ้งคนทั้งหมดไม่ได้ ความกตัญญู งั้นหรือ ที่รั้งให้เธอยึดถือปฏิบัติเอาไว้ เฉกเช่นคุณงามความดีที่มีไว้เชิดหน้าชูตา และบอกใครๆได้ว่า ฉันนี้แหละคนดี บางครั้ง แขกเองก็เหนื่อย เหนื่อยที่จะแบกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้เพียงลำพังคนเดียวเสียแล้ว 

มีครั้งหนึ่ง ที่แขกเดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สายลมพัดหวิวเข้ามาจนผมปรกลงมาที่หน้า มันเป็นลมแห่งความสิ้นหวัง เห็นแสงอาทิตย์เจือจางลงไป กำลังคล้อยตกลงจากฟากฟ้า เมื่อมองจากสะพาน เหมือนว่าดวงอาทิตย์ที่เคยฉายแสงยิ่งใหญ่ กำลังมอดม้วยตกต่ำลงมา แม่น้ำกำลังกลืนกินพระอาทิตย์ก่อนที่จะดับแสงลงไป มือของแขกเกาะราวระเบียงกั้นของสะพานเอาไว้แน่น เท้าเหยียบขึ้นไปบนราวเหล็กกั้น กำลังจะดิ่งพสุธาลงห้วงมหานทีเบื้องหน้า ด้วยความหมดสิ้นแห่งความหวัง  เมื่อกี้แสงอาทิตย์ยังฉายแสงสว่าง ต่อเมื่อมันดับสิ้นแสงลง  ชีวิตของแขกก็เหมือนมอดม้วยมรณังลงไปด้วย   
กิเลศ ตัญหา ความโลภ ความอยากมีอยากได้ หรือแม้แต่ความกตัญญูมากเกินขอบเขตความจำเป็น กำลังทำให้ชีวิตของแขกจมดิ่งลงไป หากแขกดิ่งพสุธาลงห้วงมหานทีลงไป คงจบสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างเสียแล้ว ไม่ต้องมานั่งเป็นนางแบกหลังแอ่นเช่นนี้หรอก แต่ไหนเลยจะทำลายชีวิตที่เกิดมาเพียงสามสิบปีลงไปได้ มันเหมือนมีเสียงใครกระซิบมาว่า 

“อย่าเลย อย่าทำ มันบาป” คำว่าบาปงั้นหรือ ? อยากจะหัวเราะให้คำนิยามว่าบาป ที่คนไทยใช้กันพร่ำเพื่อ เอาไว้เตือนไม่ให้ทำชั่ว แต่ไฉน ยังมีคนทำผิดอยู่ร่ำไป ชีวิตของแขก เกิดมาครั้งหนึ่งเคยทำผิด ทำชั่วอยู่ก็มาก แต่เมื่อคิดว่า หักลบกลบหนี้ กับสิ่งที่ทำดีมตลอด เจ้าหล่อนก็คิดว่า มันมีความดีอยู่มากกว่าความชั่ว แต่ชีวิตจริง ความดี ความชั่วมันถัวเฉลี่ยกันไม่ได้ เพราะมันคือชีวิต ไม่ใช่นิยาย ที่นิยามเอาไว้เป็นกุศโลบายเท่านั้น

                แขกรู้สึกเหมือนมีมือของใครมาแตะที่ไหล่ หญิงสาวหลุดจาดภวังค์ สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะหันมามองมือที่สัมผัสเธอเมื่อครู่ 

                “รถหมดระยะแล้วค่ะ” เสียงของกระเป๋ารถเมล์ เอ่ยขึ้น แขกมองโดยรอบ คนถยอยลงไปกันหมดแล้ว เจ้าหล่อนคงคิดอะไรเพลินไป จนทำให้เธอนั่งรถเลยป้ายมาจนถึงสุดสาย เมื่อเหลือบมองนาฬิกา หากย้อนกลับไปก็คงไม่ทันเข้างานเสียแล้ว คงสายอีกตามเคย แต่จะทำอย่างไรได้ เธอจึงต้องลงจากรถ แล้วโบกวินมอเตอร์ไซค์ให้ไปส่งที่ทำงาน แม้จะไปสาย ก็ยังดีกว่าไม่ไปเลยไม่ใช่หรือ หญิงสาวคิดเช่นนั้น แต่เมื่อเหลือบมองเงินในกระเป๋เท่ากับวันนี้ เธอจะต้องเสียค่ารถเพิ่มงั้นนะสิ พ่นลมออกมาแรงๆ แต่จำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้น ก็ต้องลางาน

                “ขาด ลา มาสาย เขาคิดอยู่ในการคำนวนโบนัส นะจ๊ะ” เสียงของ พิศมัย หรือไหม เพื่อนในที่ทำงานเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่า แขกเดินเข้ามาที่สำนักงานสายกว่าปกติ 

                “ปกติก็ไม่เคยมาสายนี่”  ไหมเอ่ยถาม ในขณะที่ แขกกำลังสาะระวนกับเอกสารที่กองตรงหน้า

                “ยื่นแบบ ภาษีหรือยังล่ะ” แขก เอ่ยเรื่องงาน เจ้าหล่อนคงไม่อยากตอบเรื่องมาสาย”

                “ยื่นแล้ว วันนี้วันสุดท้าย ลูกค้าเธอเขาไม่ส่งเอกสารมาก่อนหรือไง” ไหมเอ่ยถาม เพราะหล่อนเก็บเอกสารภาษียื่นแบบเสร็จตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็นแล้ว เหลือบมองกองเอกสารที่เพิ่งส่งมาของแขก แล้วร้องอู้หู มัน พะเนินเทินทึกมากมาย

                “ลูกค้าเธอเขาส่งมาช้าทุกเดือนหรือแขก” 

แขกหันมาพยักหน้า เซงๆกับเอกสาร ที่เตือนที่ย้ำกับลูกค้าว่า ให้ส่งมาก่อน ซักสองสามวัน จะได้มีเวลาเครียร์งาน ไม่ใช่ส่งมาวันที่จะต้องยื่นแบบภาษี ทำแบบนี้ แขกต้องใช้เวลาทั้งวันนั่งทำ และอาจจะเลยเวลาทำงานปกติไปจนถึงค่ำมืดดึกดื่นก็เป็นได้ 

                “ลูกค้าบางคนก็แปลกนะ จะส่งเอกสารมาให้เราเร็วซักหน่อยก็ไม่ได้ ส่งมาแบบนี้ เราจะทำทันได้อย่างไร คนนะไม่ใช่เครื่องจักร ที่จะทำทั้งวันทั้งคืนได้” พิศมัยเอ่ยอย่างเหลืออด เจ้าหล่อนเคยเจอลูกค้าประเภทที่ ขอเอกสารไปแล้วไม่ยอมเอามาให้ จะเอามาให้ใกล้วันสุดท้าย เธอเลยดัดนิสัย ทำเป็นไม่ได้รับเอกสาร ทำให้ยื่นแบบภาษีไม่ทัน ลูกค้าจึงโดนค่าปรับ หลังจากนั้นมา ลูกค้ารายนั้นก็ไม่ส่งเอกสารช้าอีกเลย เป็นการดัดนิสัยให้ตรงต่อเวลา พูถึงเรื่องการทำงานตรงต่อมาเวลา คนไทยนี้ นิสัยแบบนี้จริงๆนะ เช้าชามเย็นชาม กว่าจะทะไรได้ ต้องรอให้จวนเจียนใกล้งาจะสุกเสียห่อน ถึงจะรีบลงมือทำ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ยอมทำ จะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ขอให้ได้เฉื่อย ให้ได้ช้าๆไว้ก่อน ไม่รีบไม่เร่งอะไรทั้งสิ้น ถ้าไม่ถึงเดทไลน์ขึ้นมา

                แขกไม่ได้สนใจเรื่องที่เพื่อนพูดมากเท่ากับ ในสมองของเธอ กำลังคิดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตตัวเอง  พิศมัย เลยหันไปจัดการกับงานของตัวเองบ้าง แขกมีสีหน้านิ่งเฉยต่อเรื่องราวของคนอื่นเสียแล้ว เพราะเรื่องของตัวเองก็ลำบากเต็มประดามี การที่ต้องรับฟังเรื่องราวคนอื่นตอนนี้ มาเติมเต็มสมองเปรียบเสมือนเมมโมรี่ที่กำลังจุเต็มพิกัด รอวันจะระเบิดออกมาเป็นจุล เสียงโทรศัพท์มือถือ ดังตัดสัญญาณความคิดที่กำลังฟุ้งเฟ้อเอาไว้ แขกหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย

                “แขก ที่บ้านไฟตัด แกโอนเงินมาจ่ายหน่อยสิ”  เสียงปลายสายคือแม่ เอ่ยอย่างเดือดเนื้อร้อนใจ จนทำให้คนฟังสะดุ้ง จากงานที่พะเนินกองตรงหน้า

                “ได้ยินที่แม่พูดหรือเปล่า” เหมือนแม่จะโมโหที่เธอไม่โต้ตอบ ใจหนึ่งของแขก อยากจะกดวางสายแล้วปิดเครื่องเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่เธอทำได้แต่พูดว่า “ค่ะ” ทั้งที่จริงแล้ว เธอไม่อยากโอนเงินให้แม่ไปจ่ายค่าไฟเลย เพราะอะไรหรือ เพราะว่า เมื่อต้นเดือน เธอก็เคลียร์ค่าใช้จ่ายที่บ้านกับแม่ไปหมดแล้ว 

แม่บอกเธออย่างดิบดีว่า “ เดี๋ยวซักวันที่สิบ แม่จะไปจ่ายค่าไฟ แกไม่ต้องกลัวหรอก เงินน่ะไม่ไปไหนเสียหรอกแขก”   แม่พูดอย่างนี้กับแขกเสมอ และแม่ก็เอาเงินไปใช้อย่างอื่น แขกไม่รู้จะพูดอย่างไร ทุกวันนี้ แขกเหมือนแบกอะไรเอาไว้ จนหลังแทบแอ่น ถ้ามันหักลงมาได้ เธอคงกระดูกสันหลังหักเป็นสองท่อนไปนานแล้ว 

                ในขณะที่กำลังบังคับจิตใจของตนเอง แขกก็โอนเงิน จำนวนสองพันบาทไปให้แม่ เพื่อจ่ายค่าไฟ เจ้าหล่อนบอกกับตัวเองว่า ถ้าแม่ยังไม่เอาเงินไปจ่ายค่าไฟ เธอจะปล่อยเลยตามเลย เสียให้เข็ดกันทั้งบ้าน คิดแล้วก็แอบหัวเราะเหมือนนางมารร้ายภายในใจ แต่จิตใต้สำนึกของเธอบอกออกมาว่า “ นังโง่ ถ้าไฟตัด แกก็ต้องเดือดร้อน เพราะแกอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้น” เพียงเท่านั้น เสียงหัวเราะของแขกก็หยุดลง พร้อมกับใบหน้าเรียบๆที่กำลังคีย์เอกสารเข้าคอมพิวเตอร์ตามเดิม

                หลังจากที่ลงจากรถเมล์ แขกแวะที่ตลาดนัดหน้าปากซอยบ้าน เจ้าหล่อนวนเวียนกับการซื้ออาหารกลับไปที่บ้าน  สมาชิกคงกำลังรอกินข้าวอยู่ เมื่อหันมองนาฬิกา บอกเวลา 19.00น หญิงสาวก็รีบสาระวนที่จะซื้อของให้เสร็จอาหารสมัยนี้ ราคาแพงกว่าเมื่อก่อนมาก  แกงถุงหนึ่ง ราคาตั้งสี่สิบห้าสิบบาท ไข่ไก่ผักสดก็ขึ้นราคาเอ้า ราคาเอาเป็นว่าเล่น แก๊สหุงต้มก็พลอยจะขึ้นราคาอีกเดือนหน้า แขกได้แต่อุทานออกมา เมื่อเห็นราคาข้าวของที่ขึ้นราคา เมื่อเดินวนหลายรอบ ได้เพียงแกงส้มมาหนึ่งถุง เจ้าหล่อนคำนวนเงินในใจว่า จะประหยัดได้อย่างไรบ้าง ก็นึกเสียได้ว่า ริมรั้วบ้าน ที่เป็นบ้านร้าง มีชะอมขึ้นอยู่ริมรั้ว แขกกะว่าจะไปเก็บมาทำชะอมไข่ทอด กินกับแกงส้ม เดี๋ยวจะลองวนหาปลาทอดซักจาน ราคาน่าจะสามสิบห้าบาท  ไปกินด้วย กับข้าวสามอย่างก็น่าจะเพียงพอ พ่อแม่ แขก และน้องอีกคน  คิดได้ดังนั้น แขกก็รีบจัดแจงทำตามที่ตัวเองคิดเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้าซอยบ้านตัวเอง โดยที่ไม่ได้นั่งวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างแต่อย่างใด เธอต้องประหยัด อะไรที่ตัดรายจ่ายได้ เธอก็จะทำ 

                กลับมาถึงบ้าน แม่นั่งดูทีวีอยู่ เมื่อเห็นแขกเดินเข้ามาในบ้าน ก็เดินไปแหวกถุงกับข้าว มองดูว่า ลูกสาวซื้ออะไรมาบ้าง เมื่อเห็นว่า มีเพียงแกงส้มกับปลาทอดจานละไม่กี่บาท แม่ก็เบ้ปาก แล้วหันมาทางแขก ก่อนจะพูดว่า

                “หน้าจะเป็นแกงส้มอยู่แล้ว แขก แกไม่คิดจะรังสรรค์เมนูใหม่ๆบ้างหรือไง” แม่ดูหงุดหงิดเมื่อเห็นอาหารที่เธอซื้อมา แต่แขกได้แต่ทำหน้าเรียบๆ แม่เคยบอกกับแขกว่า “หน้าแก มันเหมือนคนเบื่อโลก เหมือนพวกซังกะตายกับชีวิต ทำไมไม่รู้จักทำหน้าสดชื่น มีความสุขบ้าง” แขกก็อยากจะทำหน้าตามีความสุขอยู่หรอก แต่เมื่อกลับมาบ้าน  ความสุขนั้นก็หายไป

                “เดี๋ยวหนูออกไปเด็ดชะอม มาทอดกับไข่ให้กินจ้ะแม่” แขกกำลังเดินออกไปหน้าบ้าน เสียงของแม่พูดขึ้นก่อนว่า
                “แกไม่รู้หรอว่า ชะอมริมรั้วบ้านนั้น เจ้าของบ้านเขาตัดไปแล้ว” เสียงที่แม่พูดทำให้หญิงสาวชาไปทั้งตัว หันหลังเดินกลับ เข้าครัวไป เสียงแม่บ่นลอยๆดังแว่วมาตามลมว่า “เบื่อจริง ไม่กงไม่กินแล้ว” แล้วแม่ก็เดินออกจากบ้านไป

                สองทุ่มครึ่ง แขกอาบน้ำอาบท่า ขึ้นมาบนห้องนอน  คิดเรื่องเมื่อหัวค่ำ กับข้าวของเธอเป็นหมัน ไม่มีใครกิน แม่หลังจากบ่นเรื่องกับข้าวก็เดินออกไปซื้อบะหมี่เกี๊ยวปากซอยกิน  พ่อไม่กินข้าว แกบอกไม่อยากกิน น้องชายกลับมาบ้านดึก เมื่อกลับมา เขาไม่ได้แวะมาดูอาหารตั้งบนโต๊ะเลยแม้แต่น้อยคงกินมาจากข้างนอกแล้ว 

                แขกพนมมือไหว้พระสวดมนต์ อันเป็นปกตินิสัยของตัวเองอย่างช้าๆเนิบๆ บ้านเก่าหลังนี้ อยู่มานานเป็นสิบปี โดยน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ แต่เมื่อสองปีก่อน ช่วงโควิด แม่เอามันไปจำนองเอาไว้ ด้วยเหตุผลที่ว่า

                “โควิด แม่ขาดรายได้ ออกไปขายของไม่ได้ บ้านเราต้องใช้จ่ายเงิน”  แขกได้แต่ ตอบคำว่า “ค่ะ” เพียงเท่านั้น ในสมองไม่รู้จะคิด จะเอ่ยออะไรออกไป
                ได้แต่เพียงคิดเท่านั้น เพราะจะไปแก้ไขสถานการณ์อะไรก็ไม่ได้แล้ว  หญิงสาวสลัดความคิดทั้งหลายทั้งมวลออกไปจากระบบสมอง มือหนุนศีรษะ สมองทำงานอยู่ตลอดเวลากับเรื่องราวต่างที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมไปถึงอนาคต ในขณะที่แขกกำลังจะหลับตาลง เสียงโทรศัทพ์มือถือปลุกให้ลุกขึ้นจากเตียงนอน เจ้าหล่อนคว้ามันมาถือ หน้าจอบอกชื่อ น้องสาว แขกไม่รีรอ รีบกดรับสาย 

                “พี่แขก หลับหรือยัง”  เสียงของ แข น้องสาวของแขกพูดขึ้น แขกนึกได้ทันทีในมโนสำนึกว่า ต้องมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ ไม่อย่างนั้น น้องสาวตัวดี คงไม่โทรมาหาในยามดึกดื่นค่ำมืดแบบนี้

                “ว่าอย่างไรละแข”  แขกเอ่ยออกไป แม้ในใจอยากจะพูดขึ้นว่า “แกมีเรื่องเดือดร้อนอะไรอีกละ” แต่แขหยุดคำพูดนั้นเอาไว้ก่อน ขืนพูโออกไป คงได้กินแหนงแคลนใจกันเสียเปล่าๆ

                “พี่แขก พอจะมีเงินให้ฉันยืมซักสามพันมั้ย เจ้าตัวเล็กมันไม่สบาย ร้องโยใหญ่เลย ไอ้พ่อมันก็ยังไม่กลับจากวิ่งรถเลยพี่ ฉันว่าจะพาเจ้าตัวเล็กไปหาหมอก่อน...” แขพูดอะไรอีกหลายต่อหลายคำ แต่ดูเหมือนว่าแขกจะรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เธอไม่รู้จะพูดอะไรออกไป จะปฎิเสธ  ก็เหมือนทอดทิ้งน้องสาวกับหลานที่เพิ่งเกิด แขกจึทำได้เพียง ตอบไปว่า “เดี่ยวพี่โอนเงินไปให้” เพียงเท่านั้นก็วางสายลง

                สวิตช์ไฟ ปิดลงพร้อมกับความมืดที่ปกคลุมห้องนอนสี่เหลี่ยมแคบๆของบ้านไม้เก่าซ่อมซ่อ แขกฝืนหลับตาลงช้าๆ ภาวนาว่า ขอให้ฝันดีในราตรีสวัสดิ์เช่นนี้ เพราะโลกแห่งความฝันมันสวยงามจะจินตนาการเช่นใด้ก็ได้ ซึ่งแตกต่างกับโลกแห่งความจริง ที่มันโหดร้าย เกินกว่าจะคาดเดา

                เสียงไก่ขันแต่เช้า บ่งบอกเวล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่