อาจจะยาวหน่อยนะครับ
สาเหตุจากพ่อของผมเสียชีวิตปีที่แล้ว เม.ย.65 และไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้...
ปัญหาที่ตามมาคือ เกิดการเรียกร้องสิทธิเกิดขึ้น(จากครอบครัวที่สองของพ่อ ซึ่งแยกทางกันไปมีคนใหม่ 10 ปีแล้ว)ฝ่าย นั้นเรียกร้องสิทธิให้ลูกของเขา โดยที่ทางผมไม่สามารถเรียกร้อง โต้แย้ง หรือทำอะไรได้เลย นอกจากยอมให้เรื่องจบไวๆ #จากคำแนะนำของทนาย??
โดยไม่สนใจว่าระหว่างวันงานศพหรือที่ผ่านมาผมต้องเจอเหตุการณ์บั่นทอนจิตใจขนาดไหนบ้าง (เงินมันมีอำนาจ สามารถชี้ผิดเป็นถูกได้นะครับ)
...เรื่องมันเริ่มหลังจากงานศพเสร็จสิ้น ผมก็ปรึกษาทนายเรื่องผู้จัดการมรดก โดยเปลี่ยนทนายมาตลอด 1 ปี รวม 2 คน
ทนายคนแรก(ได้มาจากการแนะนำของน้าชาย) ดำเนินจัดการให้ ขึ้นศาลผ่านเว็บไซต์ จนมีคำสั่งศาล(คดีสิ้นสุด)โดยทนายได้บอกแค่ว่า "ไม่ต้องสนใจลูกนอกสมรส มีแค่ผมกับแม่เป็นทายาทแค่สองคน"

ผมเป็นลูกคนเดียว) โดยไม่มีคำแนะนำหรือคำอธิบายใดๆจากทนายเลย ว่าควรทำ 123 บลาๆ จนพอได้คำสั่งศาลแล้วก็ไม่ตามเรื่องให้ ปล่อยให้ผมเดินเรื่องคนเดียว พอผมโทรหาเพื่อขอคำปรึกษา จะได้รับคำตอบว่าไม่ว่างเสมอ(ขณะนั้นผมเองเข้าใจผิดมาตลอด ด้วยความเชื่อใจทนาย+ไม่รู้ ผมจึงไม่ได้รีบร้อนจัดการมรดกให้ทายาทซึ่งมีแค่ผมกับแม่) แต่พอเวลาผ่านไปผมรู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นแบบนี้ มาถึงจุดนี้ผมรู้สึกว่าผมพลาดมากๆ จึงปรึกษาแม่ให้เปลี่ยนทนายดู เพื่อที่จะจัดการให้เสร็จเรื่อง
(ระหว่างหาทนายคนใหม่ ผมได้รับหมายศาลจากการฟ้องของครอบครัวที่สองของพ่อ จึงต้องเร่งหาทนายให้ทันวันขึ้นศาล)
ทนายคนที่สอง .. (ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนของแม่) ซึ่งผมตะหงิดใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะ รับเงินจากแม่ไปแล้ว (มารู้ทีหลังคือ เพื่อนแม่เข้ามาเพราะผลประโยชน์)
..พอทนายเขารับเรื่องและรับรู้เรื่องราวที่ผ่านมา ทนายคนนี้ก็ดำเนินการใหม่ทั้งหมด เดินเรื่องให้ทุกอย่าง(ผิดจากทนายคนแรกโดยสิ้นเชิง)
จนมาถึงวันขึ้นศาล...เพื่อผลประโยชน์ ฝ่ายนั้นโกหกศาลแบบหน้าด้านๆหลายเรื่อง(ขนาดสาบานตนแล้วแท้ๆ) รวมถึงทนายฝ่ายนั้น ยังเอาทะเบียนสมรสซ้ำซ้อนมาโต้แย้งด้วย ผมเองยังฟังแล้วอึ้งเป็นพักๆ ทนายฝ่ายผมก็ไม่โต้แย้งใดๆ ได้แต่ดูละครที่แสดงต่อหน้าศาล...
สุดท้าย..กลายเป็นว่าศาลตัดสินให้ ผมและเมียที่สองของพ่อเป็นผู้จัดการมรดกร่วม (เหตุผลคือ บุตรของเขาเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง จึงให้มารดาจัดการแทนบุตรได้) ผมนิงงเลย??ขนาดโกหกต่อหน้าศาลแบบนั้น(พูดกลับไปกลับมา,พูดไม่ตรงกันกับพยาน,โกหกเพื่อหวังผลประโยชน์)
แต่คือคำสั่งศาลไง ก็ได้แต่ยอมไปอีก ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย เช่น คู่กรณีไปพังประตูบ้านเพื่อเข้าไปขนของ,ไปฉีกใบบันทึกของสน.ที่ผมแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ กันฝ่ายนั้นบุกรุก ซึ่งผมเองก็แจ้งให้ทนายทราบ แต่...คำตอบคือ "เรื่องมันผ่านมาแล้ว ปล่อยๆไปบ้าง" ผมนิน้ำตาตกในเลย เพราะต้องยอมตลอด
เรื่องก็เดินต่อไปจนมาถึงประชุมทายาทเพื่อแย่งทรัพย์สิน กลายเป็นว่า ฝ่ายนั้นจะขอแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของพ่อ โดยเรียกร้องเป็นเงินสด รวมแล้วล้านกว่า น้ำตาตกในอีกรอบ
(เพราะจำเป็นต้องถอนปิดบัญชีเงินฝากของลูกผม) โดยเงินต้องเข้าบัญชีเมียคนที่สองของพ่อทั้งหมด!! (ซึ่งผมไม่แปลกใจเลย)
#จนกระทั่งมาถึงการโอนบ้านและที่ดินของพ่อ(ที่ที่เขาเคยอยู่) ซึ่งเป็นคนละจังหวัดที่ผมอยู่ ...มาเป็นชื่อผม เป็นกรรมสิทธิ์ของผม แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งเข้าบ้านก็ไม่ได้!! เหตุผลคือ ฝ่ายนั้นไปตกลงกับทนายฝ่ายผมว่าจะขอขนย้ายของส่วนตัวภายใน 1 เดือน!!! โดยถือกุญแจบ้านไว้ ซึ่งมันย้อนแย้งอย่างมาก เพราะในบ้านไม่มีของส่วนตัวของพวกนั้นแล้ว ทั้งแม่ทั้งลูกก็ย้ายชื่อออกมาจากทะเบียนบ้าน รวมทั้งของใช้ทั้งหมดก็ไม่มีแล้ว ผมเองก็ทักท้วงไปหลายครั้งนะ เนื่องจากไม่โอเคที่ฝ่ายนั้นกระทำอะไรก็ได้ตามใจไม่ผิด?? แต่ทนายฝั่งผมได้แต่บอกว่า "เรื่องใกล้จบแล้ว อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่" มาคิดๆดู ทนายฝั่งผมได้ประโยชน์จากฝ่ายนั้นรึปล่าว มันก็ได้แต่คิดแหล่ะครับ ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรมไป
ขณะนี้ เรื่องยังไม่เสร็จสิ้น ผมต้องรอให้ฝ่ายนั้นขนของในบ้านได้อย่างสบายใจ โดยที่ฝ่ายผมไม่สามารถทักท้วง โต้แย้ง หรือทำอะไรได้เลย นอกจากยอมทำใจ(จากคำพูดของทนาย) เรื่องที่เกิดขึ้นมันบั่นทอนจิตใจครอบครัวผมเป็นอย่างมาก เลยได้แต่หาที่ระบายและขอให้เป็นเคสตัวอย่างนะครับ อย่าพลาดและโง่แบบผม
ผมเองได้แค่หวังว่า ขอให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดี และขอให้หลังจากนี้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาบ้าง ...
ผมขออภัยถ้าที่ผมพิมพ์ไปอาจจะวกวนหน่อย (สภาวะจิตใจผมไม่นิ่งเลยครับ มันรู้สึกแย่มาก เพราะหลังจากเสียพ่อ ยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก) และขอขอบพระคุณถ้าอ่านมาถึงตรงนี้นะครับ อย่างน้อยก็ได้รับรู้ว่า เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นจริง ...ขอบคุณครับ
ps : อภัยถ้าผมแท็กผิดห้องครับ
เพราะความโง่ของตัวเอง..จนโดนปล้นในทางกฏหมาย..แบบนี้ไม่ต้องหาความยุติธรรมจากไหนหรอก (ขอให้เรื่องนี้เป็นอานิสงส์ละกันครับ)
สาเหตุจากพ่อของผมเสียชีวิตปีที่แล้ว เม.ย.65 และไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้...
ปัญหาที่ตามมาคือ เกิดการเรียกร้องสิทธิเกิดขึ้น(จากครอบครัวที่สองของพ่อ ซึ่งแยกทางกันไปมีคนใหม่ 10 ปีแล้ว)ฝ่าย นั้นเรียกร้องสิทธิให้ลูกของเขา โดยที่ทางผมไม่สามารถเรียกร้อง โต้แย้ง หรือทำอะไรได้เลย นอกจากยอมให้เรื่องจบไวๆ #จากคำแนะนำของทนาย??
โดยไม่สนใจว่าระหว่างวันงานศพหรือที่ผ่านมาผมต้องเจอเหตุการณ์บั่นทอนจิตใจขนาดไหนบ้าง (เงินมันมีอำนาจ สามารถชี้ผิดเป็นถูกได้นะครับ)
...เรื่องมันเริ่มหลังจากงานศพเสร็จสิ้น ผมก็ปรึกษาทนายเรื่องผู้จัดการมรดก โดยเปลี่ยนทนายมาตลอด 1 ปี รวม 2 คน
ทนายคนแรก(ได้มาจากการแนะนำของน้าชาย) ดำเนินจัดการให้ ขึ้นศาลผ่านเว็บไซต์ จนมีคำสั่งศาล(คดีสิ้นสุด)โดยทนายได้บอกแค่ว่า "ไม่ต้องสนใจลูกนอกสมรส มีแค่ผมกับแม่เป็นทายาทแค่สองคน"
(ระหว่างหาทนายคนใหม่ ผมได้รับหมายศาลจากการฟ้องของครอบครัวที่สองของพ่อ จึงต้องเร่งหาทนายให้ทันวันขึ้นศาล)
ทนายคนที่สอง .. (ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนของแม่) ซึ่งผมตะหงิดใจตั้งแต่แรกแล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะ รับเงินจากแม่ไปแล้ว (มารู้ทีหลังคือ เพื่อนแม่เข้ามาเพราะผลประโยชน์)
..พอทนายเขารับเรื่องและรับรู้เรื่องราวที่ผ่านมา ทนายคนนี้ก็ดำเนินการใหม่ทั้งหมด เดินเรื่องให้ทุกอย่าง(ผิดจากทนายคนแรกโดยสิ้นเชิง)
จนมาถึงวันขึ้นศาล...เพื่อผลประโยชน์ ฝ่ายนั้นโกหกศาลแบบหน้าด้านๆหลายเรื่อง(ขนาดสาบานตนแล้วแท้ๆ) รวมถึงทนายฝ่ายนั้น ยังเอาทะเบียนสมรสซ้ำซ้อนมาโต้แย้งด้วย ผมเองยังฟังแล้วอึ้งเป็นพักๆ ทนายฝ่ายผมก็ไม่โต้แย้งใดๆ ได้แต่ดูละครที่แสดงต่อหน้าศาล...
สุดท้าย..กลายเป็นว่าศาลตัดสินให้ ผมและเมียที่สองของพ่อเป็นผู้จัดการมรดกร่วม (เหตุผลคือ บุตรของเขาเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง จึงให้มารดาจัดการแทนบุตรได้) ผมนิงงเลย??ขนาดโกหกต่อหน้าศาลแบบนั้น(พูดกลับไปกลับมา,พูดไม่ตรงกันกับพยาน,โกหกเพื่อหวังผลประโยชน์)
แต่คือคำสั่งศาลไง ก็ได้แต่ยอมไปอีก ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย เช่น คู่กรณีไปพังประตูบ้านเพื่อเข้าไปขนของ,ไปฉีกใบบันทึกของสน.ที่ผมแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้ กันฝ่ายนั้นบุกรุก ซึ่งผมเองก็แจ้งให้ทนายทราบ แต่...คำตอบคือ "เรื่องมันผ่านมาแล้ว ปล่อยๆไปบ้าง" ผมนิน้ำตาตกในเลย เพราะต้องยอมตลอด
เรื่องก็เดินต่อไปจนมาถึงประชุมทายาทเพื่อแย่งทรัพย์สิน กลายเป็นว่า ฝ่ายนั้นจะขอแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของพ่อ โดยเรียกร้องเป็นเงินสด รวมแล้วล้านกว่า น้ำตาตกในอีกรอบ
(เพราะจำเป็นต้องถอนปิดบัญชีเงินฝากของลูกผม) โดยเงินต้องเข้าบัญชีเมียคนที่สองของพ่อทั้งหมด!! (ซึ่งผมไม่แปลกใจเลย)
#จนกระทั่งมาถึงการโอนบ้านและที่ดินของพ่อ(ที่ที่เขาเคยอยู่) ซึ่งเป็นคนละจังหวัดที่ผมอยู่ ...มาเป็นชื่อผม เป็นกรรมสิทธิ์ของผม แต่ผมกลับทำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งเข้าบ้านก็ไม่ได้!! เหตุผลคือ ฝ่ายนั้นไปตกลงกับทนายฝ่ายผมว่าจะขอขนย้ายของส่วนตัวภายใน 1 เดือน!!! โดยถือกุญแจบ้านไว้ ซึ่งมันย้อนแย้งอย่างมาก เพราะในบ้านไม่มีของส่วนตัวของพวกนั้นแล้ว ทั้งแม่ทั้งลูกก็ย้ายชื่อออกมาจากทะเบียนบ้าน รวมทั้งของใช้ทั้งหมดก็ไม่มีแล้ว ผมเองก็ทักท้วงไปหลายครั้งนะ เนื่องจากไม่โอเคที่ฝ่ายนั้นกระทำอะไรก็ได้ตามใจไม่ผิด?? แต่ทนายฝั่งผมได้แต่บอกว่า "เรื่องใกล้จบแล้ว อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่" มาคิดๆดู ทนายฝั่งผมได้ประโยชน์จากฝ่ายนั้นรึปล่าว มันก็ได้แต่คิดแหล่ะครับ ทำได้แค่ก้มหน้ารับชะตากรรมไป
ขณะนี้ เรื่องยังไม่เสร็จสิ้น ผมต้องรอให้ฝ่ายนั้นขนของในบ้านได้อย่างสบายใจ โดยที่ฝ่ายผมไม่สามารถทักท้วง โต้แย้ง หรือทำอะไรได้เลย นอกจากยอมทำใจ(จากคำพูดของทนาย) เรื่องที่เกิดขึ้นมันบั่นทอนจิตใจครอบครัวผมเป็นอย่างมาก เลยได้แต่หาที่ระบายและขอให้เป็นเคสตัวอย่างนะครับ อย่าพลาดและโง่แบบผม
ผมเองได้แค่หวังว่า ขอให้เรื่องนี้ผ่านไปด้วยดี และขอให้หลังจากนี้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาบ้าง ...
ผมขออภัยถ้าที่ผมพิมพ์ไปอาจจะวกวนหน่อย (สภาวะจิตใจผมไม่นิ่งเลยครับ มันรู้สึกแย่มาก เพราะหลังจากเสียพ่อ ยังมาเจอเรื่องแบบนี้อีก) และขอขอบพระคุณถ้าอ่านมาถึงตรงนี้นะครับ อย่างน้อยก็ได้รับรู้ว่า เรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นจริง ...ขอบคุณครับ
ps : อภัยถ้าผมแท็กผิดห้องครับ