https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/24
ตอนที่ ๒๔
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ.๒๕๓๖
ส. เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจคำว่า ทาน หรือการให้จริงๆ เราจะเป็นผู้ที่ให้ โดยไม่หวังอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้จะดีกว่าเราท่องสังคหวัตถุ ๔ เพื่อหวังว่า เราจะทำแล้วเป็นกุศล แล้วเราจะได้กุศล และเราจะได้รับผลของกุศล ถ้าอย่างงั้นการศึกษาธรรมก็ไม่มีประโยชน์ บอกได้เลยว่า เป็นการเพิ่มกิเลส เพราะว่าต้องการผลของการศึกษาธรรมที่เป็น ลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง หรือแม้แต่คำชมเชยว่าเก่ง จำได้ตั้ง ๔ ข้อ อะไรอย่างนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคิดว่า เราต้องมีจุดประสงค์ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าเราจะท่อง กับการที่เราจะเข้าใจ และการที่จะเห็นประโยชน์ อย่าง ๔ ข้อวันนี้ ถ้าทุกคนซาบซึ้ง ไม่ต้องท่อง นึกได้เอง อย่าง ทาน การให้แสนที่จะธรรมดาในชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกประเทศในโลก มีชีวิตอยู่ด้วยการสงเคราะห์กัน ด้วยการให้ จะให้อะไรก็แล้ว แต่อย่างที่ได้กล่าวถึง แม้แต่ให้ความรู้ ความสามารถที่เรามี ที่จะแบ่งปันที่คนอื่นเขา ถึงจะไม่ใช่วัตถุทาน ขณะนั้น จิตใจของเราก็สามารถที่จะสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเรา แล้วก็ให้เป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นด้วย อย่างนี้ต้องท่องไหม เรื่องทานนี้ก็ไม่ต้องท่อง ถ้าเข้าใจจริงๆ ปิยวาจา เห็นชัดเลยว่า คำพูดที่ให้กำลังใจคน หรือว่าให้เขาเกิดความสบายใจ และก็เราเคยเป็นคนที่อาจจะใช้คำที่ไม่น่าฟัง พอพูดไปแล้ว นึกขึ้นมาได้ ถ้าเมื่อกี้เราไม่พูดอย่างนั้น แต่พูดอีกอย่างหนึ่งก็จะดี ต่อไปแล้วก็มีการระมัดระวังที่จะมี ปิยะวาจา ไม่ต้องท่องอีกเหมือนกัน เเล้วก็ อัตถจริยา ชื่อเป็นภาษาบาลีก็ไม่ต้องเป็นของภาษาบาลี เพราะถ้าจำได้ก็ดี อัตถ คือผลหรือประโยชน์ จริยา คือการกระทำ เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แม้นิด แม้หน่อย หยิบของตกให้ ช่วยถือของหนัก หรือว่าใครถามทางไปไหนก็บอก พาเขาไปส่งที่ๆ เขาต้องการจะไป อะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ นี่เราก็ทำกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ต้องท่องอีก และ สมานัตตตา การที่มีตนเสมอจริงๆ อย่างที่กล่าวถึงในตอนต้น ก็ประพฤติ ปฏิบัติ อบรมไป ก็ไม่ต้องท่อง แต่ถ้าจะมารวบรวมว่า นี่เป็น สังคหวัตถุ หมวด ๔ ถ้าใครพูดถึงเราก็รู้ เพราะเรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ อย่างนี้ก็คงไม่ต้องท่อง
ถ. ขอความกรุณาอาจารย์ คือว่าคนที่มีอุเบกขาจะขัดกับข้อที่มี อัตถจริยาหรือเปล่า
ส. ธรรมนี้ต้องเข้าใจว่า กุศลคือกุศล เพราะฉะนั้นในเรื่องของพรหมวิหาร๔ ก็ต้องเป็นเรื่องของกุศล ไม่ใช่อกุศล และ สังคหวัตถุ ก็ต้องเป็นกุศล เวลาที่เราช่วยใคร อย่างสมมติว่า หมอกับนางพยาบาล มีคนไข้หนัก คนไข้หนักเราช่วยแน่นอน แต่ว่าคนที่ช่วยใจหวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว ทั้งๆ ที่กำลังช่วย ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องของกรรม ก็จะมีความทุกข์ร้อน หรือว่าสงสาร หรือบางทีก็อาจจะถึงกับน้ำตาไหล ในอากัปกริยาที่เขากำลังเป็นทุกข์อย่างมากๆ ก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย ในขณะนั้นก็กำลังช่วย แต่อีกคนหนึ่ง ช่วยด้วยความรู้ความเข้าใจว่า ทั้งที่เขาใช้ความสามารถเต็มที่ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะเหตุว่า ถ้าจะถึงคราวที่กรรมจะให้ผล คือจะตายจุติจิตจะเกิด มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อต่อไปอีกสักขณะหนึ่งไม่ได้ เสี้ยววินาทีหนึ่งก็ไม่ได้ เมื่อกรรมจะให้ผล ใช้คำที่ถูกต้องที่สุดคือ ถึงแก่กรรม เพราะฉะนั้นผู้นั้นทำดีที่สุด ด้วยความไม่หวั่นไหวเลย ถึงเขาจะตายไปกับมือก็ได้ช่วยเขาเต็มที่แล้ว นั่นคืออุเบกขา ไม่ใช่ว่าวางเฉย
ถ. ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าเราสามารถจะแสดงอัตถจริยาได้ก่อน
ส. แน่นอน พร้อมกันก็ได้ คือในขณะที่เมตตาจิตเกิดขึ้น ทั้งกาย ทั้งวาจา เป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงคนอื่นด้วยความเป็นมิตร แต่ว่าในขณะที่เป็นมิตรนั้นก็แสดงกาย วาจา ที่เป็นมิตรด้วย เพราะฉะนั้นทั้ง๔นั้น แสดงได้ แล้วแต่ว่าจะด้วย เมตตา หรือกรุณา หรือมุทิตา หรืออุเบกขา
ถ. ขออนุญาตย้อนกลับไปจากที่พูดว่า ขณะนี้ ธรรมเขาก็ทำกิจของเขาอยู่ แต่การที่จะอบรม ก็คือว่าเราจะอบรมให้รู้ในสภาพธรรมที่กำลังเกิดอยู่ จะถูกไหม
ส. ถูก
ถ.
ที่จะอบรมธรรมที่อยู่นี้ ก็สรุปได้ว่าจะมีอยู่ด้วยกัน ๔ ทางคือ กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้จะได้ไหม
ส. นั่นชื่อ คือ
ผู้มีพระภาคทรงแสดงหมวดของ มหาสติปัฎฐาน ๔ ตามการยึดถือ คือ กายนี้เรายึดถือแน่ๆ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ใครแตะต้องก็ไม่ได้ เป็นของเรา นั่นคือ การยึดถือกายว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อจะรู้ความจริงของกาย และสำหรับเวทนา เราก็มีความติดยึดมัน เพราะทุกคนต้องการความสุข ไม่ว่าจะทำงานเหน็ดเหนื่อยสักเท่าไหร่ก็เพื่อสุขเวทนา จะไปซื้อของที่ไหน กลับเข้ามาในบ้านก็เพื่อสุขเวทนาอีก หรือว่า จะไปเที่ยวที่ไหนยังไงก็เพื่อสุขเวทนาทั้งนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเวทนาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะเห็นความไม่ใช่ตัวตน ความไม่เที่ยงเวทนา แล้วก็จิต และธรรม ก็รวมอยู่ เพียงแต่ว่าทรงแยกตามการยึดถือเท่านั้นเอง แต่ก็คือสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ. มีผู้สนทนาธรรมถามขึ้นว่า การปฏิบัติธรรมจะต้องดูอะไรก่อน คือถ้าถามอย่างนี้แล้ว ถ้าศึกษาตามที่ท่านอาจารย์สอน จะต้องผิดแน่ เพราะสภาพธรรมอะไรจะเกิดก่อนก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องมานั่งดูกายกันอยู่
ส. ไม่มีกฎเกณฑ์เพราะเป็นอนัตตาจริงๆ
ถ. คือที่เห็นที่ทำๆ กันอยู่ ก็คงจะเป็นเพราะว่า ดิฉันคิดเอาเองว่า เอากาย คือศึกษาธรรมไม่ละเอียด หรือว่ามีความเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยมุ่งว่า กายนี้แหละต้องก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วมันอะไรเกิดก่อนอะไรก็ได้
ส. คือ ธรรมนี้เป็นเรื่องจริง เเล้วเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เช่นขณะนี้เราคิด แล้วใครจะห้ามความคิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าสติระลึกสภาพที่กำลังคิด ผิดหรือถูก ผิดไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า คิดกำลังเป็นของจริง เพราะฉะนั้นจะไปมีกฏเกณฑ์อะไรไม่ได้ แล้วการปฏิบัติธรรมเพื่อรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา เมื่อศึกษาเป็นความจริงอย่างไร ก็ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้แจ้งความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่ผิดจากความจริง เพราะว่าตามการศึกษา รูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้านี้ คือ ผงดิน ต้องมีธาตุทั้ง๔ ประชุมรวมกัน ถ้าไม่มีการประชุมรวมกัน ก็ล่องลอยเป็นฝุ่นเล็กๆ ซึ่งไม่มีการนั่ง การนอน การยืน การเดิน ในรูปเล็กๆ นั่น แล้วเราจะมายึดถือรูป ซึ่งประชุมร่วมกันได้อย่างไร ก็ไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของรูปแต่ละรูปตามความเป็นจริง
ถ. เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ สวรรค์ที่มี ๖ ชั้น ไม่ทราบมีจริงหรือเปล่า
ส. แล้วใครเป็นคนบอก
ถ. ไปเจอในที่บทสวดมนต์
ส.
ใครเป็นคนบอกว่ามีสวรรค์๖ชั้น
ถ. ก็คงจะเป็นตำรา
ส. ในไตรปิฏก
ในพระไตรปิฏกใครบอก
ถ. ก็คงจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส.
แน่นอน ถ้าในพระไตรปิฎกก็ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ในบทสวด ตกลงมีใช่ไหม
ส.
ในพระไตรปิฏกมี และผู้ที่ตรัสไว้ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พาไปดูไม่ได้ แต่ไปเองได้ด้วยกรรม
ถ. ตกลงมีทุกอย่างที่ในบทสวดมนต์
ส.
ถ้าคิดถึงเหตุว่า เหตุมี ผลจะมีไหม กรรมมีทั้งปราณีตและไม่ประณีต เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ยังเห็นผลของกรรม คนเรานี่เกิดมาต่างกัน รูปร่างก็ไม่เหมือนกัน ฐานะก็ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอ ความรู้ วงศาคณาญาติ ทุกอย่างไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องแล้วแต่เหตุ คือ กรรมที่ประณีตและไม่ประณีต วิถีชีวิตก็ยังต่างกันอีก ตอนเด็กอาจจะสบาย ตอนโตอาจจะลำบาก ไม่มีใครรู้ได้ว่า กรรมไหนจะให้ผลเวลาไหน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกรรมที่ประณีตกว่าการเกิดในมนุษย์ ก็เกิดในภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ได้ ต้องคิดถึงเหตุว่า เหตุมีไหม ถ้าเหตุมีผลก็มีได้ แต่ถ้าเหตุไม่พอ จะให้ผลอย่างนั้นเกิดก็ไม่ได้ อย่างทำกุศลแล้วจะให้ไปเกิดเป็นพรหมนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต้องเป็นผลของจิตที่สงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิที่ไม่เสื่อม
ถ. เรื่องของสวรรค์ คือผมเชื่อตามที่พระไตรปิฏก หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ประทานไว้ในพระไตรปิฏก สวรรค์ คือเทพ คือผู้ที่อยู่ในภูมิของเทพทั้ง ๖ ชั้นนั้น ในเหตุและผล มันก็ควรจะมีเทพที่ไม่ใชที่เรามองเห็น ในภาพจินตนาการของศิลปะประเพณีไทย ไปไหนก็ต้องเหาะ รำ ใส่ชฎา เทพของแขกก็คงจะมี หรือว่าเทพของฝรั่งในอเมริกาก็คงจะมีเทพของเขาเหมือนกัน
ส. ถ้าพวกเราไปเกิดเป็นเทวดา เราคงไม่อยากรำ คงไม่อยากใส่ชฎา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง
เราจะเกิดในภูมิที่ไม่เดือดร้อนทางกาย แล้วทุกอย่างก็น่ารื่นรมย์ เพราะเหตุว่าเป็นช่วงของชีวิตที่เสวยผลของบุญ ไม่มีเรื่องลำบาก เหมือนอย่างในมนุษย์ เราต้องหุงข้าว เราต้องอาบน้ำ เราต้องทำอะไรสารพัดอย่าง เทวดาก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน ก็สบายหลายอย่าง
ถ. นั่นก็แสดงว่า เทพ จะมีอะไรที่พิเศษกว่ากับคนธรรมดา
ส. ใครจะเขียนยังไงก็ได้ ใครจะชอบยังไงก็ได้ แม้แต่มนุษย์เรานี้ ก็ยังมีอัธยาศัยแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น เมื่อตายไปแล้ว เกิดเป็นเทวดาด้วยผลของกุศลกรรมนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยของเราจะเอาทิ้งไปที่อื่น เราก็ยังมีอัธยาศัยต่างๆ กัน
มีศาลาสุธรรมาทุกชั้นสำหรับฟังธรรม สำหรับผู้ที่สนใจในธรรม แต่ผู้ที่ไม่สนใจ ก็ไปเพลิดเพลินในสวนนันทวัน
ใครเป็นคนบอกว่ามีสวรรค์ 6 ชั้น?
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/24
ตอนที่ ๒๔
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ.๒๕๓๖
ส. เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจคำว่า ทาน หรือการให้จริงๆ เราจะเป็นผู้ที่ให้ โดยไม่หวังอะไรทั้งสิ้น อย่างนี้จะดีกว่าเราท่องสังคหวัตถุ ๔ เพื่อหวังว่า เราจะทำแล้วเป็นกุศล แล้วเราจะได้กุศล และเราจะได้รับผลของกุศล ถ้าอย่างงั้นการศึกษาธรรมก็ไม่มีประโยชน์ บอกได้เลยว่า เป็นการเพิ่มกิเลส เพราะว่าต้องการผลของการศึกษาธรรมที่เป็น ลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง หรือแม้แต่คำชมเชยว่าเก่ง จำได้ตั้ง ๔ ข้อ อะไรอย่างนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นคิดว่า เราต้องมีจุดประสงค์ไม่ว่าจะทำอะไร ถ้าเราจะท่อง กับการที่เราจะเข้าใจ และการที่จะเห็นประโยชน์ อย่าง ๔ ข้อวันนี้ ถ้าทุกคนซาบซึ้ง ไม่ต้องท่อง นึกได้เอง อย่าง ทาน การให้แสนที่จะธรรมดาในชีวิตประจำวันของทุกคน ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกประเทศในโลก มีชีวิตอยู่ด้วยการสงเคราะห์กัน ด้วยการให้ จะให้อะไรก็แล้ว แต่อย่างที่ได้กล่าวถึง แม้แต่ให้ความรู้ ความสามารถที่เรามี ที่จะแบ่งปันที่คนอื่นเขา ถึงจะไม่ใช่วัตถุทาน ขณะนั้น จิตใจของเราก็สามารถที่จะสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเรา แล้วก็ให้เป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นด้วย อย่างนี้ต้องท่องไหม เรื่องทานนี้ก็ไม่ต้องท่อง ถ้าเข้าใจจริงๆ ปิยวาจา เห็นชัดเลยว่า คำพูดที่ให้กำลังใจคน หรือว่าให้เขาเกิดความสบายใจ และก็เราเคยเป็นคนที่อาจจะใช้คำที่ไม่น่าฟัง พอพูดไปแล้ว นึกขึ้นมาได้ ถ้าเมื่อกี้เราไม่พูดอย่างนั้น แต่พูดอีกอย่างหนึ่งก็จะดี ต่อไปแล้วก็มีการระมัดระวังที่จะมี ปิยะวาจา ไม่ต้องท่องอีกเหมือนกัน เเล้วก็ อัตถจริยา ชื่อเป็นภาษาบาลีก็ไม่ต้องเป็นของภาษาบาลี เพราะถ้าจำได้ก็ดี อัตถ คือผลหรือประโยชน์ จริยา คือการกระทำ เพราะฉะนั้น การกระทำใดๆ ที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น แม้นิด แม้หน่อย หยิบของตกให้ ช่วยถือของหนัก หรือว่าใครถามทางไปไหนก็บอก พาเขาไปส่งที่ๆ เขาต้องการจะไป อะไรก็ได้ที่เป็นประโยชน์ นี่เราก็ทำกันอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็ไม่ต้องท่องอีก และ สมานัตตตา การที่มีตนเสมอจริงๆ อย่างที่กล่าวถึงในตอนต้น ก็ประพฤติ ปฏิบัติ อบรมไป ก็ไม่ต้องท่อง แต่ถ้าจะมารวบรวมว่า นี่เป็น สังคหวัตถุ หมวด ๔ ถ้าใครพูดถึงเราก็รู้ เพราะเรากำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ อย่างนี้ก็คงไม่ต้องท่อง
ถ. ขอความกรุณาอาจารย์ คือว่าคนที่มีอุเบกขาจะขัดกับข้อที่มี อัตถจริยาหรือเปล่า
ส. ธรรมนี้ต้องเข้าใจว่า กุศลคือกุศล เพราะฉะนั้นในเรื่องของพรหมวิหาร๔ ก็ต้องเป็นเรื่องของกุศล ไม่ใช่อกุศล และ สังคหวัตถุ ก็ต้องเป็นกุศล เวลาที่เราช่วยใคร อย่างสมมติว่า หมอกับนางพยาบาล มีคนไข้หนัก คนไข้หนักเราช่วยแน่นอน แต่ว่าคนที่ช่วยใจหวั่นไหวหรือไม่หวั่นไหว ทั้งๆ ที่กำลังช่วย ถ้าคนที่ไม่รู้เรื่องของกรรม ก็จะมีความทุกข์ร้อน หรือว่าสงสาร หรือบางทีก็อาจจะถึงกับน้ำตาไหล ในอากัปกริยาที่เขากำลังเป็นทุกข์อย่างมากๆ ก็พลอยเป็นทุกข์ไปด้วย ในขณะนั้นก็กำลังช่วย แต่อีกคนหนึ่ง ช่วยด้วยความรู้ความเข้าใจว่า ทั้งที่เขาใช้ความสามารถเต็มที่ แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เพราะเหตุว่า ถ้าจะถึงคราวที่กรรมจะให้ผล คือจะตายจุติจิตจะเกิด มีเงินเท่าไหร่ก็ซื้อต่อไปอีกสักขณะหนึ่งไม่ได้ เสี้ยววินาทีหนึ่งก็ไม่ได้ เมื่อกรรมจะให้ผล ใช้คำที่ถูกต้องที่สุดคือ ถึงแก่กรรม เพราะฉะนั้นผู้นั้นทำดีที่สุด ด้วยความไม่หวั่นไหวเลย ถึงเขาจะตายไปกับมือก็ได้ช่วยเขาเต็มที่แล้ว นั่นคืออุเบกขา ไม่ใช่ว่าวางเฉย
ถ. ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าเราสามารถจะแสดงอัตถจริยาได้ก่อน
ส. แน่นอน พร้อมกันก็ได้ คือในขณะที่เมตตาจิตเกิดขึ้น ทั้งกาย ทั้งวาจา เป็นไปได้ ไม่จำเป็นต้องคิดถึงคนอื่นด้วยความเป็นมิตร แต่ว่าในขณะที่เป็นมิตรนั้นก็แสดงกาย วาจา ที่เป็นมิตรด้วย เพราะฉะนั้นทั้ง๔นั้น แสดงได้ แล้วแต่ว่าจะด้วย เมตตา หรือกรุณา หรือมุทิตา หรืออุเบกขา
ถ. ขออนุญาตย้อนกลับไปจากที่พูดว่า ขณะนี้ ธรรมเขาก็ทำกิจของเขาอยู่ แต่การที่จะอบรม ก็คือว่าเราจะอบรมให้รู้ในสภาพธรรมที่กำลังเกิดอยู่ จะถูกไหม
ส. ถูก
ถ. ที่จะอบรมธรรมที่อยู่นี้ ก็สรุปได้ว่าจะมีอยู่ด้วยกัน ๔ ทางคือ กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างนี้จะได้ไหม
ส. นั่นชื่อ คือ ผู้มีพระภาคทรงแสดงหมวดของ มหาสติปัฎฐาน ๔ ตามการยึดถือ คือ กายนี้เรายึดถือแน่ๆ ตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้า ใครแตะต้องก็ไม่ได้ เป็นของเรา นั่นคือ การยึดถือกายว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้น ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อจะรู้ความจริงของกาย และสำหรับเวทนา เราก็มีความติดยึดมัน เพราะทุกคนต้องการความสุข ไม่ว่าจะทำงานเหน็ดเหนื่อยสักเท่าไหร่ก็เพื่อสุขเวทนา จะไปซื้อของที่ไหน กลับเข้ามาในบ้านก็เพื่อสุขเวทนาอีก หรือว่า จะไปเที่ยวที่ไหนยังไงก็เพื่อสุขเวทนาทั้งนั้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเวทนาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะเห็นความไม่ใช่ตัวตน ความไม่เที่ยงเวทนา แล้วก็จิต และธรรม ก็รวมอยู่ เพียงแต่ว่าทรงแยกตามการยึดถือเท่านั้นเอง แต่ก็คือสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ถ. มีผู้สนทนาธรรมถามขึ้นว่า การปฏิบัติธรรมจะต้องดูอะไรก่อน คือถ้าถามอย่างนี้แล้ว ถ้าศึกษาตามที่ท่านอาจารย์สอน จะต้องผิดแน่ เพราะสภาพธรรมอะไรจะเกิดก่อนก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องมานั่งดูกายกันอยู่
ส. ไม่มีกฎเกณฑ์เพราะเป็นอนัตตาจริงๆ
ถ. คือที่เห็นที่ทำๆ กันอยู่ ก็คงจะเป็นเพราะว่า ดิฉันคิดเอาเองว่า เอากาย คือศึกษาธรรมไม่ละเอียด หรือว่ามีความเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง ก็เลยมุ่งว่า กายนี้แหละต้องก่อน ซึ่งจริงๆ แล้วมันอะไรเกิดก่อนอะไรก็ได้
ส. คือ ธรรมนี้เป็นเรื่องจริง เเล้วเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้นความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น เช่นขณะนี้เราคิด แล้วใครจะห้ามความคิดได้ เพราะฉะนั้นถ้าสติระลึกสภาพที่กำลังคิด ผิดหรือถูก ผิดไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า คิดกำลังเป็นของจริง เพราะฉะนั้นจะไปมีกฏเกณฑ์อะไรไม่ได้ แล้วการปฏิบัติธรรมเพื่อรู้แจ้งสภาพธรรมตรงตามที่ได้ศึกษา เมื่อศึกษาเป็นความจริงอย่างไร ก็ต้องอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้แจ้งความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่ผิดจากความจริง เพราะว่าตามการศึกษา รูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้านี้ คือ ผงดิน ต้องมีธาตุทั้ง๔ ประชุมรวมกัน ถ้าไม่มีการประชุมรวมกัน ก็ล่องลอยเป็นฝุ่นเล็กๆ ซึ่งไม่มีการนั่ง การนอน การยืน การเดิน ในรูปเล็กๆ นั่น แล้วเราจะมายึดถือรูป ซึ่งประชุมร่วมกันได้อย่างไร ก็ไม่ทำให้เข้าใจลักษณะของรูปแต่ละรูปตามความเป็นจริง
ถ. เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ สวรรค์ที่มี ๖ ชั้น ไม่ทราบมีจริงหรือเปล่า
ส. แล้วใครเป็นคนบอก
ถ. ไปเจอในที่บทสวดมนต์
ส. ใครเป็นคนบอกว่ามีสวรรค์๖ชั้น
ถ. ก็คงจะเป็นตำรา
ส. ในไตรปิฏก ในพระไตรปิฏกใครบอก
ถ. ก็คงจะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ส. แน่นอน ถ้าในพระไตรปิฎกก็ต้องเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ในบทสวด ตกลงมีใช่ไหม
ส. ในพระไตรปิฏกมี และผู้ที่ตรัสไว้ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พาไปดูไม่ได้ แต่ไปเองได้ด้วยกรรม
ถ. ตกลงมีทุกอย่างที่ในบทสวดมนต์
ส. ถ้าคิดถึงเหตุว่า เหตุมี ผลจะมีไหม กรรมมีทั้งปราณีตและไม่ประณีต เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็ยังเห็นผลของกรรม คนเรานี่เกิดมาต่างกัน รูปร่างก็ไม่เหมือนกัน ฐานะก็ไม่เหมือนกัน นิสัยใจคอ ความรู้ วงศาคณาญาติ ทุกอย่างไม่เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องแล้วแต่เหตุ คือ กรรมที่ประณีตและไม่ประณีต วิถีชีวิตก็ยังต่างกันอีก ตอนเด็กอาจจะสบาย ตอนโตอาจจะลำบาก ไม่มีใครรู้ได้ว่า กรรมไหนจะให้ผลเวลาไหน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกรรมที่ประณีตกว่าการเกิดในมนุษย์ ก็เกิดในภูมิที่สูงกว่ามนุษย์ได้ ต้องคิดถึงเหตุว่า เหตุมีไหม ถ้าเหตุมีผลก็มีได้ แต่ถ้าเหตุไม่พอ จะให้ผลอย่างนั้นเกิดก็ไม่ได้ อย่างทำกุศลแล้วจะให้ไปเกิดเป็นพรหมนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าต้องเป็นผลของจิตที่สงบถึงขั้นอัปปนาสมาธิที่ไม่เสื่อม
ถ. เรื่องของสวรรค์ คือผมเชื่อตามที่พระไตรปิฏก หรือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ประทานไว้ในพระไตรปิฏก สวรรค์ คือเทพ คือผู้ที่อยู่ในภูมิของเทพทั้ง ๖ ชั้นนั้น ในเหตุและผล มันก็ควรจะมีเทพที่ไม่ใชที่เรามองเห็น ในภาพจินตนาการของศิลปะประเพณีไทย ไปไหนก็ต้องเหาะ รำ ใส่ชฎา เทพของแขกก็คงจะมี หรือว่าเทพของฝรั่งในอเมริกาก็คงจะมีเทพของเขาเหมือนกัน
ส. ถ้าพวกเราไปเกิดเป็นเทวดา เราคงไม่อยากรำ คงไม่อยากใส่ชฎา เพราะฉะนั้น ไม่ต้องเป็นห่วง เราจะเกิดในภูมิที่ไม่เดือดร้อนทางกาย แล้วทุกอย่างก็น่ารื่นรมย์ เพราะเหตุว่าเป็นช่วงของชีวิตที่เสวยผลของบุญ ไม่มีเรื่องลำบาก เหมือนอย่างในมนุษย์ เราต้องหุงข้าว เราต้องอาบน้ำ เราต้องทำอะไรสารพัดอย่าง เทวดาก็ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องแปรงฟัน ก็สบายหลายอย่าง
ถ. นั่นก็แสดงว่า เทพ จะมีอะไรที่พิเศษกว่ากับคนธรรมดา
ส. ใครจะเขียนยังไงก็ได้ ใครจะชอบยังไงก็ได้ แม้แต่มนุษย์เรานี้ ก็ยังมีอัธยาศัยแตกต่างกัน เพราะฉะนั้น เมื่อตายไปแล้ว เกิดเป็นเทวดาด้วยผลของกุศลกรรมนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าอุปนิสัยของเราจะเอาทิ้งไปที่อื่น เราก็ยังมีอัธยาศัยต่างๆ กัน มีศาลาสุธรรมาทุกชั้นสำหรับฟังธรรม สำหรับผู้ที่สนใจในธรรม แต่ผู้ที่ไม่สนใจ ก็ไปเพลิดเพลินในสวนนันทวัน