JJNY : ม็อบผู้สูงอายุค้านตัดเบี้ยยังชีพ│ณัฐชาขอสภาแก้ไขมติ│“เศรษฐา”เข้าพรรคพบทูตอิตาลี│เกาหลีเหนือเตรียมยิงจรวดข้ามทวีป

ม็อบผู้สูงอายุ นับร้อยบุกคลัง ค้านตัดเบี้ยยังชีพ ย้ำ เสียภาษีมาทั้งชีวิต
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7818693

กระทรวงการคลัง ปิดประตูรับ ม็อบสูงอายุ นับร้อย คัดค้านตัดเบี้ยยังชีพ ย้ำ เสียภาษีมาทั้งชีวิต แต่ถูกเลือกปฏิบัติ จี้ ยกเลิกระเบียบมหาดไทย
 
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 17 ส.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายสลัมสี่ภาค เครือข่ายประชาชนเพื่อรัฐสวัสดิการ และเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม หรือ We Fair กว่า 100 คน ได้รวมตัวที่บริเวณข้างกระทรวงการคลัง พร้อมออกแถลงการณ์ร่วมเครือข่ายประชาชน 53 องค์กร  1,468 รายชื่อ ปกป้องสวัสดิการประชาชน คัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ภายหลังจากที่กระทรวงมหาดไทย มีการกำหนดเกณฑ์จ่ายเบี้ยผู้สูงอายุที่ถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
 
น.ส.กรรณิการ์ ปู่จินะ ประธานเครือข่ายสลัม 4 ภาค ระบุในแถลงการณ์ว่า ขอคัดค้านการตัดเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยมีข้อเรียกร้องร่วมกัน 5 ข้อ คือ 
 
1.ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว และกลับไปใช้ระเบียบเดิม ไม่ต้องมีการพิสูจน์ความจน และตัดสิทธิ์การรับสวัสดิการซ้ำซ้อนไว้แล้ว 
 
2. คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเคราะห์หลักเกณฑ์ (กผส.) ต้องออกมาปกป้องสิทธิ์ของผู้สูงอายุทุกคน ไม่ตอบสนองต่อหลักเกณฑ์ใหม่
 
3. กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ต้องออกกฎหมายรองรับระบบบำนาญถ้วนหน้า ไม่ใช่ใช้หลักนโยบายการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามมติคณะรัฐมนตรี
 
4. กระทรวงการคลังควรตัดงบประมาณรายจ่ายที่ไม่จำเป็นและหารายได้ใหม่ ๆ เข้ารัฐเพื่อใช้จัดสวัสดิการให้ประชาชนแบบถ้วนหน้า เช่น ภาษีลาภลอย ภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น เป็นต้น 
 
และ 5. รัฐบาลใหม่ต้องผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้รัฐสวัสดิการเกิดขึ้น และต้องเป็นสิทธิ์แบบถ้วนหน้า โดยระบุในกฎหมายให้ชัดเจน
 
ด้าน นายจำนงค์ หนูพันธ์ ประธานขบวนการประชาชน เพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ พีมูฟ กล่าวในการชุมนุม ว่า ปัจจุบันงบประมาณกองทัพที่ใช้ปีละมหาศาล รัฐบาลไม่เคยแตะต้อง แต่คุณทำกับประชาชนคนแก่แบบนี้ สมาชิกวุฒิสภาจัดตั้งจากเหล่าทัพที่เป็นตัวปัญหาของประเทศ กลับได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 600-800 ได้เบี้ยบำนาญหลายหมื่นบาทต่อเดือน ทำไมถึงทำกับประชาชนแบบนี้
 
นายจำนงค์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เครือข่ายได้เคยมาเรียกร้องต่อกระทรวงการคลัง เมื่อวันที่ 9 ส.ค.ที่ผ่านมา และปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า เบี้ยสูงอายุ จะได้เหมือนเดิม แต่ต่อมาวันที่ 12 ส.ค. กลับมีการออกหลักเกณฑ์ดังกล่าว เป็นการให้เบี้ยแบบไม่ถ้วนหน้า จัดสรรให้แบบอนาถา รัฐบาลรักษาการ รีบชงเรื่องนี้ แบบหมกเม็ด ลักไก่ โดยประชาชนทุกคนกว่าจะอายุ 60 ปี ต้องผ่านการเสียภาษีให้รัฐตลอดทั้งทางตรง ทางอ้อม แต่ต้องมารับเบี้ยแบบคัดกรอง
 
ทำสิ่งที่ไม่เท่าเทียมและเพิ่มเหลื่อมล้ำมากขึ้น รัฐบาลรักษาการชิงออกระเบียบใหม่ วัดฐานความยากจน ใครเป็นคนวัด ใครกลั่นกรอง ที่ผ่านมาบัตรคนจน ก็ตกหล่นเยอะ เช่น พี่น้องไร้บ้าน พี่น้องชาติพันธุ์ เอาหลักเกณฑ์อะไรมาวัด การมาครั้งนี้ จึงขอเรียกให้ปลัดกระทรวงการคลังออกมาพูดความจริง อย่าหลอกลวง ตระบัดสัตย์กับคนแก่ เขารอมาทั้งชีวิต” นายจำนงค์ กล่าว
 
ต่อมาเวลา 10.30 น. ทางกลุ่มเครือข่ายผู้ชุมนุมเคลื่อนเข้ามาบริเวณประตู 4 โดยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกระทรวงการคลัง รีบเข้ามาคล้องโซ่ที่หน้าประตูใหญ่ พร้อมกับล็อกแม่กุญแจประตูเพื่อไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาได้ จนเกิดการยื้อหรือขย่มประตูกันอยู่ระยะหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ชุมนุมบางส่วนเกิดความไม่พอใจเป็นอันมาก พร้อมกับกล่าวโจมตีด้วยถ้อยคำรุนแรง
 
ด้าน นายนิติรัตน์ ทรัพย์สมบูรณ์ เครือข่ายรัฐสวัสดิการ We Fair ระบุว่า นอกจากมาที่กระทรวงการคลังแล้ว วันนี้จะเคลื่อนตัวไปที่กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่าง ๆ ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเข้ามาดูแลปัญหานี้ เนื่องจากเป็นสิทธิที่ทุกคนควรได้รับอย่างเท่าเทียม วันนี้ระบบถ้วนหน้าเรามาไกลมากแล้ว ไม่ควรถอยหลังกลับไปที่เดิมอีก
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทย ได้ยืนยันแล้วว่าการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุยังเป็นไปตามเดิม เพราะต้องให้คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติเคราะห์หลักเกณฑ์ (กผส.) ซึ่งเป็นหน้าที่ของ นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาเลือกว่าจะให้
  


ณัฐชา ขอสภาแก้ไขมติ ให้ชงชื่อนายกซ้ำสองได้ อย่าให้สิ่งไม่ถูกต้อง บันทึกไว้ตลอดไป
https://www.matichon.co.th/politics/news_4133252

‘ณัฐชา’ หนุน ‘โรม’ ชงญัตติข้อบังคับประชุมสภาข้อ 41 ชี้ สภาควรแก้ปัญหาเอง ลั่น ก้าวไกลไม่ล้มเลิกเสนอชื่อ ‘ พิธา’ ซ้ำหากมีช่อง
 
เมื่อวันที่นที่ 17 สิงหาคม ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กรุงเทพฯ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ก.ก. จะเสนอญัตติให้ทบทวนข้อบังคับการประชุมสภา ข้อที่ 41 จะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนวันที่ 19 กรกฎาคม ที่มีการปิดประชุมก่อนที่จะโหวตเพื่อหาข้อสรุป ว่า แน่นอนว่า เรื่องของข้อบังคับข้อที่ 29 เราผูกโดยสภา มีปัญหาโดยสภา และทางหน่วยงานภายนอกต่างๆ ที่มาตัดสินเราก็ไม่เห็นด้วย เพราะกลไกฝ่ายนิติบัญญัติก็ต้องใช้สภาเป็นผู้แก้ปัญหา เพราะฉะนั้นมองว่า การตัดสินในวันนั้นหลังจากโหวตลงมติไปแล้ว มีนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ วิตกกังวลเรื่องข้อกฎหมายที่สภาได้ลงมติไป รวมถึงองค์กรอิสระและหน่วยงานต่างๆ ออกมาให้ความเห็นว่าไม่ถูกไม่ควรนัก
 
ฉะนั้น เราก็อยากจะหยิบยกเรื่องราวต่างๆ ที่สภาผูกเอาไว้และแก้โดยสภา ด้วยการใช้อำนาจของสภาที่จะทบทวนญัตติที่ลงมติไปแล้ว ซึ่งสามารถทำได้ ส่วนกระบวนการที่ไม่อยากให้เกิดการกระทำเรื่องนี้ เพราะเหตุใดก็อาจจะส่งผลว่า หากเรื่องนี้มีการทบทวนใหม่ และมีคนลงความเห็นว่าไม่เห็นด้วย และสุดท้ายต้องกลับมาทบทวนใหม่ก็เกรงว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรค ก.ก. จะได้กลับมาโหวตอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้มีความพยายามเป็นเกมการเมืองอย่างแน่นอน แต่ความถูกต้องควรที่จะคงอยู่คู่สภา และสภาไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
 
เมื่อถามว่า มองการทำหน้าที่ของประธานสภาอย่างไร นายณัฐชา กล่าวว่า ในคราวที่แล้วก็ต้องเคารพการตัดสินใจของประธานสภา ซึ่งอำนาจตามข้อบังคับในข้อที่ 22 ของประธานสภา ส่วนในครั้งนี้เราก็อยากขอความเห็นใจ ว่าสภาผู้แทนราษฎรที่มีการลงมติอย่างหนึ่งอย่างใดไปแล้ว มันผูกพันและถูกบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ ว่าการทำหน้าที่ของผู้แทนราษฎร ทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ ฉะนั้นส่วนนี้จะถูกบันทึกและจดจำ
 
เมื่อถามว่า ยังมีช่องทางที่จะเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรค ก.ก. ได้อีกหรือไม่ นายณัฐชากล่าวว่า หากมีแนวทางหรือช่องทางที่จะสามารถสนับสนุนให้นายพิธา เป็นนายกฯ ได้ เราคงต้องทำต่อเนื่อง เพราะเราได้รับมอบหมายจากประชาชนมาแล้ว เราไม่สามารถล้มเลิกได้อย่างง่ายๆ วันนี้ 150 เสียงของพรรค ก.ก. ก็ยังคงยืนหยัดที่อยากจะต่อสู้เพื่อความต้องการของประชาชน แต่เราไม่สามารถทำได้เนื่องจากเราไม่มีเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ มากพอ ฉะนั้นก็เป็นเครื่องพิสูจน์และให้ประชาชนเห็นว่า การเลือกตั้งนั้นสำคัญและการตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือการตัดสินใจเลือกใครเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเรานั้น ต้องสังเกตดีๆ ในการโหวตเลือกนายกฯ ครั้งนี้ ว่าเขาสามารถตอบโจทย์ความต้องการของท่านได้หรือไม่ และสามารถเข้ามาทำหน้าที่แทนในสภาและโหวตนายกฯ ตามความต้องการของท่านได้หรือไม่ ฉะนั้นส.ส. จากทุกพรรคการเมือง วันนี้ประชาชนออกมากดดัน อย่าให้เป็นเรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย พรรคที่ได้รับเสียงอันดับ 1 ควรจะได้เป็นนายกฯ เราพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมันเกิดความผิดปกติในสังคม มีคนพยายามบิดเบือนและพยายามพูดว่า รวมเสียงจากฟากฝ่ายหนึ่งชนะก็สามารถเป็นนายกฯ ได้ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเรื่องผิดปกติในระบอบประชาธิปไตย



“เศรษฐา” เข้าพรรคพบทูตอิตาลี ยังเลี่ยงตอบคำถามการเมือง
https://www.thairath.co.th/news/politic/2717994

“เศรษฐา ทวีสิน” เข้าพรรคเพื่อไทย ลุยทำงานแลกเปลี่ยนความเห็นทูตอิตาลี สนับสนุนทำงานเศรษฐกิจ ขณะที่เจ้าตัวยังเลี่ยงเจอสื่องดตอบคำถามการเมือง
 
วันที่ 17 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศที่พรรคเพื่อไทยตลอดทั้งวันยังคงมีคณะทำงานด้านเศรษฐกิจเดินทางเข้ามาประชุมเตรียมความพร้อมด้านนโยบาย เวลา10.50 น. นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯนั่งรถส่วนตัวเดินทางเข้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย โดยรถได้ขับขึ้นไปที่ชั้น 7 ทันที ซึ่งนายเศรษฐาได้ให้การต้อนรับนายเปาโล ดีโอนีซี เอกอัครราชทูตอิตาลีประจำประเทศไทย ณ ที่พรรคเพื่อไทย สำหรับวัตถุประสงค์ในการเข้าหารือกับนายเศรษฐาครั้งนี้เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะพร้อมแลกเปลี่ยนแนวทางการทำงานด้านเศรษฐกิจของอิตาลี ขณะที่นายเปาโล ดีโอนีซีก็ยินดีกับนายเศรษฐาที่จะได้เสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีใน วันที่ 22 สิงหาคมนี้ 
 
ส่วนความชัดเจนหลังจากมีกระแสข่าวจากสื่อบางสำนักรายงานว่า วันนี้คณะเจรจาของพรรคเพื่อไทยจะพูดคุยกับตัวแทนของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการจับมือร่วมรัฐบาล ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค ได้ปฏิเสธว่าไม่ทราบกับกระแสข่าวดังกล่าวว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้ไม่มีกำหนดคุยจับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคการเมืองใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่