JJNY : ‘ทีดีอาร์ไอ’แนะ‘จ่ายหัวละพัน’│'ค้าปลีก'ชี้เป้าย่านสินค้าจีนทะลัก│อาลัย 2 ปี ‘ด.ช.วาฤทธิ์’│ยูเครนไม่พอใจข้อเสนอ

‘ทีดีอาร์ไอ’ แนะสูตรเบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้า ‘จ่ายหัวละพัน’ ชี้คลังพอรับไหว แต่ต้องรื้อระบบภาษี
https://www.matichon.co.th/economy/news_4132745

‘ทีดีอาร์ไอ’ แนะสูตรเบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้า ‘จ่ายหัวละพัน’ ชี้คลังพอรับไหว แต่ต้องรื้อระบบภาษี 

เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)ให้ความเห็นว่ากรณี “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ก่อนอื่นคือ สิทธิ หรือสวัสดิการต่างๆนั้น ทำได้สองรูปแบบ คือ 1.รูปแบบถ้วนหน้า และ 2.รูปแบบการเลือกเฉพาะกลุ่มที่อยากช่วยเหลือ ซึ่งทั้งสองรูปแบบมีข้อดูข้อเสียต่างกัน โดยรูปแบบถ้วนหน้า ข้อดีคือ รัฐบาลหรือคนทำนโยบายไม่ต้องกังวลใจ เพราะทุกคนได้สิทธิทันที แต่ปัญหาที่ตามมาคือใช้งบประมาณสูง
ส่วนรูปแบบเลือกกลุ่มนั้น ก็หมายความว่าคนที่รัฐบาลจะช่วยนั้นน้อยลง ไม่ใช่ทุกคน เพราะฉะนั้นงบประมาณก็จะลดลงแน่นอน แต่มีข้อด้อยสำคัญ คือ การคัดกรองกลุ่มคน อาทิ ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยแต่กลับไม่ได้รับสิทธิ อาจจะเพราะไปลงทะเบียนไม่ไหว ไม่มีหลักฐานเพียงพอ หรือกรณีที่ถูกคัดออกจากความผิดพลาด อีกด้านคือ ผู้สูงอายุที่มีฐานะแต่หลุดเข้ามาได้รับสิทธิ ซึ่งกรณีแบบนี้ก็เกิดให้เห็น ในโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่เจอปัญหาแบบนี้มาแล้ว

หากพิจารณา “เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ” ที่ใช้ในปัจจุบันนั้น เลือกกลุ่มเฉพาะผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ขึ้นไป ซึ่งตีเป็นวงเงินที่ใช้ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งถามว่าเยอะไหม ในทางวิชาการถือว่าพอรับได้ โดยทีดีอาร์ไอ ได้ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) วิจัยแล้วว่า ต่อให้มีการจ่าย เบี้ยผู้สูงอายุ ถ้วนหน้า 1,000 บาทต่อคน ระบบเศรษฐกิจไทยก็ยังรับได้ เพราะใน 1 ปี ใช้เงินราว 1.2 แสนล้านบาท ดังนั้นมาตรการปัจจุบัน ยังมองว่า ไม่มีปัญหาในทางวิชาการ เพราะการคลังประเทศยังรองรับได้
 
แต่หากมองไปอนาคต ความเสี่ยงมีมากขึ้น โดยมี 2 ปัจจัย คือ 1.จำนวนผู้สูงอายุมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันมีราว 12 ล้านคน แต่ในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า จะมีราว 20 ล้านคน ดังนั้น แปลว่าเงินที่ใช้ต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะเพิ่มมาอีก 8 ล้านคน หรืออีก 60-70% งบจึงเพิ่มจาก 1.2 แสนล้านบาท เป็น 2 แสนล้านบาทต่อปี

ปัจจัยที่ 2.คือ เรื่องนโยบายพรรคการเมือง ที่เมื่อมีการเลือกตั้งรอบใหม่ ก็มักจะมีนโยบายให้สวัสดิการเพิ่ม โดยในการเลือกตั้งรอบนี้ จะเห็นว่าหลายพรรค ให้เบี้ยคนชรา เพิ่มเป็น 3,000 บาทต่อคน ดังนั้น จากที่มีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน ใช้เงินงบเพิ่มมา 3 เท่าแล้ว และหากบวกเพิ่มปัจจัยการเมืองอีก งบที่ต้องใช้คือ 7 แสนล้านบาทต่อปี
 
ปัจจุบัน ผมยังเห็นว่าการจ่ายเบี้ยผู้สูงอายุยังโอเค ยังรับได้เพราะจ่ายคนละไม่เกิน 1,000 บาท ก็ใช้งบ 1-2 แสนล้านต่อปียังไหว แต่ในอนาคตอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าต้องจ่าย 7 แสนล้านบาทต่อปีรัฐบาลไหวไหม ซึ่งเป็นความท้าทายของรัฐบาลในอนาคต” นายนณริฏ กล่าวและว่า ในอนาคตรัฐบาลอาจจะต้องหาเงินมาโปะงบ 7 แสนล้านบาทต่อปีให้ได้ ถ้าทำให้ทุกฝ่ายก็พอใจ แต่ถ้าทำไม่ได้ก็เสี่ยงที่ประเทศจะเกิดวิกฤต โดยถ้าใครเลือกไปทางถ้วนหน้า ก็ต้องไปเก็บภาษีมากขึ้น ต้องเคลียร์กับประชาชนให้ได้ว่าต้องหาเงินมากขึ้น
 
ถ้าเลือกใช้ระบบถ้วนหน้า แปลว่ารัฐบาลนั้นต้องวางแผนการจัดเก็บภาษี ซึ่งเรื่องภาษีนั้นใช้เวลา ออกกฎหมายต่างๆ หรือถ้าออกเกณฑ์แบบจ่ายเบี้ยถ้วนหน้า แต่ดันไม่เก็บภาษีเพิ่ม ก็จะเสี่ยงเกิดปัญหาทางการเงิน คล้ายๆกับประเทศในลาตินอเมริกา เพราะจัดเก็บรายได้ไม่เพียงพอ” นายนณริฏ กล่าว


 
'ค้าปลีก' ชี้เป้าย่านสินค้าจีนทะลัก เผย 'นายกฯ' ในดวงใจ ต้องใช้เงินเป็น ไม่ใช่แจกอย่างเดียว
https://www.matichon.co.th/economy/news_4132762

‘ค้าปลีก’ ชี้เป้าย่านสินค้าจีนทะลัก เผย ‘นายกฯ’ ในดวงใจ ต้องใช้เงินเป็น ไม่ใช่แจกอย่างเดียว
 
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย เปิดเผยถึงกรณีมีข้อกังวลสินค้าจีนที่เข้ามาจำหน่ายในไทยจำนวนมาก ว่า สินค้าอุปโภคบริโภคจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มีนำเข้ามาขายในประเทศมานานมากแล้ว มีทั้งสินค้ามือหนึ่งและมือสอง และมีราคาถูกกว่าสินค้าไทยมาก ทำให้ได้รับความนิยมทั้งจากคนไทยและต่างชาติ ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสินค้าไทย เพราะขายไม่ค่อยได้
 
เห็นชัดตอนนี้มีแถวย่านห้วยขวางที่คนจีนอยู่เยอะ จะมีสินค้าจากจีนมาขายในมินิมาร์ทที่จีนมาเปิดหรือย่านที่คนจีนอยู่เยอะๆ จะมีร้านค้ารูปแบบนี้เปิดเยอะขึ้น จะขายให้คนจีนด้วยกันเอง และคนไทยด้วย ซึ่งภาครัฐก็ต้องดูข้อกฎหมายหรือกฎกติกาว่ามีอะไรที่ควบคุมได้หรือไม่” นายสมชายกล่าว
 
นายสมชาย กล่าวต่อว่า สำหรับนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทยนั้น ยังไม่รู้ว่าร้านค้ารายย่อยจะได้ประโยชน์หรือไม่ เพราะยังไม่เห็นเงื่อนไขในการใช้จ่าย ซึ่งเกรงว่าจะให้ซื้อได้เฉพาะร้านค้าใหญ่เท่านั้น ถ้าจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องจัดพื้นที่ให้มีการค้าขายที่เป็นผู้ประกอบการรายเล็กจากชุมชนหรือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและรับเงินวอลเล็ตนี้โดยเฉพาะ
 
นายสมชาย ยังกล่าวถึงสเปกนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในดวงใจ ว่า อยากได้คนที่ฉลาดทางการค้า รู้จักใช้เงินประมาณเป็น เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและเศรษฐกิจ ไม่ใช่เอามาแจกอย่างเดียว เพราะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ของประเทศให้เดินหน้าต่อไปได้ เพราะ ถ้าบริหารแบบนี้มีเท่าไหร่ก็ไม่พอแจก ตอนนี้ที่ดูจากรายชื่อที่เป็นแคนดิเดตอยู่ ยังไม่มีใครที่ตรงสเปกเพราะเป็นหน้าเดิมๆ ที่หมุนเวียนเข้ามา เหมือนเป็นเก้าอี้ดนตรี
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ย่านบางเขน ถือเป็นอีกหนึ่งย่านที่คนจีนอยู่อาศัยจำนวนมาก เพราะใกล้กับมหาวิทยาลัยเกริก ซึ่งได้มีการร่วมทุนกับจีน เปิดการเรียนการสอนภาษาจีน และมีนักศึกษาจีนมาเรียนจำนวนมาก ทำให้บริเวณโดยรอบของมหาวิทยาลัย มีร้านอาหารและร้านค้าปลีกของจีนมาเปิดบริการค่อนข้างคึกคัก
 
อย่างเช่น ร้าน SHENZAU SUPER MARKET-EXPRESS เปิดร้านขายสินค้าซึ่งนำเข้าจากประเทศจีนมาวางขาย เช่น บะหมี่สำเร็จรูป เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ เป็นต้น โดยมีราคาขายไม่ต่างจากของสินค้าไทยมากนัก เริ่มต้นตั้งแต่ 10 บาทขึ้นไป
 


จุดเทียน-ร่ายกวี อาลัย 2 ปี ‘ด.ช.วาฤทธิ์’ เยาวชนเหยื่อกระสุนพรากอนาคต หน้า สน.ดินแดง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4132643

จุดเทียน-ร่ายกวี อาลัย 2 ปี ‘ด.ช.วาฤทธิ์’ เยาวชนเหยื่อกระสุนพรากอนาคต หน้า สน.ดินแดง
 
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ที่หน้าสถานีตำรวจนครบาลดินแดง เขตดินแดง กลุ่มทะลุแก๊ซ ทะลุวัง และมวลชนอิสระ ร่วมจัดงานรำลึกให้กับ ด.ช.วาฤทธิ์ สมน้อย เยาวชนอายุ 15 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างการร่วมชุมนุมบริเวณหน้า สน.ดินแดง เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2564
 
บรรยากาศเวลา 18.00 น. นักกิจกรรม ประชาชน เพื่อนของ ด.ช.วาฤทธิ์ ทยอยเดินทางมารวมตัว ที่ถนนมิตรไมตรี ฝั่งศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (ดินแดง) โดยทำกิจกรรมรำลึก 1 ช่องทางจราจร มีการใช้ชอล์กขีดเขียนเป็นรอยร่างบุคคลตรงตำแหน่งที่ ด.ช.วาฤทธิ์ เสียชีวิต พร้อมติดป้ายข้อความที่ผนัง อาทิ “เด็กคนหนึ่งออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ได้กระสุนปืน” เสียงกระสุนปืน 5 นัดดังขึ้นหน้า สน.ดินแดง เวลาประมาณ 21.00 น.
 
นอกจากนี้ ยังมีการนำป้ายข้อความมาปูที่พื้น และแจกกระดาษให้ผู้ร่วมกิจกรรมเขียนข้อความ แสดงความอาลัย โดยมีผู้ร่วมเขียนข้อความ อาทิ ฆ่าน้องทำไม บางส่วนวาดภาพ ด.ช.วาฤทธิ์ มาวางรอบรอยชอล์ก ก่อนทำกิจกรรมจุดเทียนวางดอกกุหลาบไว้อาลัย โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันนี้ มีผู้แทน ส.ส.พรรคก้าวไกล มาร่วมวางดอกไม้รำลึก

กลุ่มทะลุแก๊ซ อ่านบทกวีที่แต่งขึ้นเพื่อมอบให้กับดวงวิญญาณของ ด.ช.วาฤทธิ์ เนื้อหาความว่า

แด่วิญญาณ นักสู้ นามวาฤทธิ์
มีชีวิต อุดมการณ์ และความฝัน
อาวุธร้าย พรากอนาคต พรากชีวัน
พรากจากกัน สู่สวรรค์ นิรันดร์กาล
ขอสรรเสริญ สดุดี ความกล้าหาญ
ลุกต่อต้าน เผด็จการ ด้วยความหวัง
ต่อสู้รัฐ ด้วยแรง และพลัง
แต่สุดท้าย ถูกกักขัง ด้วยความตาย
ครอบครัวถาม ความยุติธรรม อยู่ที่ไหน
ทำอย่างไร กับหัวใจ ที่สลาย
มีเพียงแค่ รูปถ่าย ที่ข้างกาย
และคำตอบ ที่ไร้ซึ่ง ความเป็นธรรม

บรรยากาศการจัดงานเป็นไปอย่างเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์รอบบริเวณ สน.ดินแดง โดยมีนักกิจกรรมที่เข้าร่วม อาทิ น.ส.เนติพร เสน่ห์สังคม หรือหนอนบุ้ง, น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน, นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำกลุ่มทะลุวัง, น.ส.อันนา อันนานนท์ หรือ  อันนา กลุ่มนักเรียนเลว, นายโสภณ ฤทธิ์ธำรง หรือเก็ท นักกิจกรรมกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ, น.ส.ธนลภย์ ผลัญชัย หรือหยก เยาวชนอายุ 15 ปี กลุ่มนักเรียนล้ม, นางเงินตา คำแสน หรือมานี ซึ่งล้วนเป็นผู้ต้องหา ม.112
 
นอกจากนี้ยังมี น.ส.วรรณวลี ธรรมสัตยา หรือตี้พะเยา กลุ่มราษฎรเอ้ย, นางวรวรณ แซ่อั้ง หรือป้าเป้า ทะลุกี นายคทาธร (สงวนนามสกุล) หรือต๊ะ นักกิจกรรมกลุ่มอาชีวะพิทักษ์ประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หนึ่งในผู้ที่ถูกคุมขังด้วยข้อหา ม.112 ยาวนานที่สุดในระลอกปี 2565-2566 มาร่วมทำกิจกรรมรำลึก โดยนายโชคดี ร่มพฤกษ์ หรืออาเล็ก กลุ่มศิลปินเพลงเพื่อราษฎร มาร่วมบรรเลงดนตรี
 
บรรยากาศเวลา 19.30 น. ที่หน้า สน.ดินแดง สมาชิกกลุ่มทะลุแก๊ซ และทะลุวัง นำเค้กวันเกิดจุดเทียน มามอบให้กับ ‘มานี’ โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกครื้น มีการร่วมร้องเพลงเป่าเค้กวันเกิด พร้อมอวยพรและสวมกอด ที่หน้า สน.ดินแดง ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบตรึงกำลังอยู่บริเวณหน้า สน.ดินแดง
 
สำหรับ ด.ช.วาฤทธิ์ สมน้อย อายุ 15 ปี มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอล โดยได้เข้าร่วมชุมนุมวันที่ 16 สิงหาคม 2564 #ไล่ล่าทรราชเราจะเดินไปบ้านประยุทธ์ ก่อนถูกยิงในช่วงค่ำบนถนนมิตรไมตรี ภาพจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพฯ ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม สน.ดินแดง จับภาพ ด.ช.วาฤทธิ์ล้มลงที่ถนนหน้า สน.ดินแดง เมื่อเวลา 20.44 น. ถูกยิงกระสุนทะลุคอ และฝังบริเวณไขสันหลังส่วนบน ร่วมกับมีภาวะสมองบวมจากการขาดออกซิเจน มีอาการบาดเจ็บสาหัส โดยหัวใจหยุดเต้นชั่วคราว บริเวณหน้า สน.ดินแดง ก่อนถูกนำตัวไปนอนรักษาตัวที่ห้อง ICU รพ.ราชวิถี ไม่รู้สึกตัวนานเกือบ 3 เดือน ก่อนเสียชีวิตเมื่อช่วงเช้าวันที่ 28 ตุลาคม 2564
 
สำหรับความคืบหน้าด้านคดี ปัจจุบันอัยการได้ส่งฟ้องผู้ต้องหา ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่