https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/22
ตอนที่ ๒๒
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. เพราะว่าชีวิตวันหนึ่งๆ ก็ล่วงไป ทีละขณะๆ จริงๆ เรียกกลับคืนมาไม่ได้เลย แต่เราได้รับประโยชน์อะไรจากชีวิตขณะหนึ่งที่ล่วงไปแล้ว นี้แสดงให้เห็นว่าเราเสียเวลากับชีวิตที่เป็นอยู่โดยไม่ได้อะไรเลยมาก ขณะหนึ่งก็ผ่าน ไปขณะหนึ่งก็ผ่านไป ขณะหนึ่งก็ผ่านไป ได้อะไรจากแต่ละขณะที่ผ่านไป ถ้าเป็นสิ่งที่ดีเป็นกุศล เป็นประโยชน์มากเพราะเหตุว่า ขัดเกลาจิตใจของเราให้เบาบาง จากการเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภมาก เป็นคนโกรธมาก มาเป็นผู้ที่สามารถจะเสียสละประโยชน์ของเราเองด้วยการช่วยเหลือคนอื่น นี้ก็เป็นอัตถจริยา
ประการสุดท้ายก็คือ สมานัตตตา การมีตนเสมอ การมีตนเสมอที่นี่มักจะมีปัญหาเสมอว่าจะเสมอกันได้ยังไง มีนาย ลูกจ้างกับนายจ้าง มีพี่กับน้อง มีพ่อกับแม่ มีสถานะตำแหน่งในราชการต่างกันบ้าง หรือคนในบ้านของเราเอง ก็มีผู้รับใช้ช่วยเหลือบ้างและจะเสมอกันได้อย่างไร แต่ตามความจริงการเสมอที่นี่ ควรจะเป็นเสมอในคุณธรรม ไม่ใช่ในสิ่งที่เรามองจากวัตถุภายนอก แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเราเป็นผู้ที่เข้าใจทุกคน เหมือนกับที่เราเข้าใจเราเองว่า เราก็ต้องการมีความสุข และก็ไม่ชอบมีความทุกข์ คนอื่นต้องเหมือนกันหมดในบ้าน ไม่มีใครต้องการความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราเกิดมาอาจจะต่างกันในชาตินี้ โดยสภาพฐานะ ความเป็นอยู่ หรือว่าโดยความรู้ โดยสัตว์ ตระกูล หรืออะไรๆ ก็แล้วแต่ แต่จริงๆ แล้วทุกคนมีใจที่เหมือนกัน คือมีโลภะก็โลภะชนิดเดียวกัน ชอบในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่กระทบสัมผัส มีโทสะ มีความขุ่นใจก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วไม่ต่างกัน นอกจากความคิดของเรา ซึ่งถือว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ถือว่านายจ้าง ลูกจ้าง เป็นต้น แต่ตามความจริง ถ้าเราเข้าใจชีวิต และทุกคนเหมือนกันเท่ากัน โลภะก็เหมือนกัน โทสะก็เหมือนกัน สุขก็เหมือนกัน ทุกข์เหมือนกัน ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เรามีใจเสมอ ไม่มีการยกตน หรือว่าข่มคนอื่น หรือว่าดูหมิ่นดูถูกใครเลย แล้วถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจใครได้ด้วยความจริงใจ มีความเป็นมิตร มีตนเสมอจริงๆ ไม่มีการสูงต่ำในใจ อย่างนั้นก็จะทำให้คนที่อยู่ใกล้เรา มีความสุขแน่นอนที่สุด คือเขาทำงานให้เราด้วยความรักเรา และเราก็ไม่ใช่ว่าถือว่าเขาทำงานให้เราโดยที่ว่าเขาได้เงินจากเรา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนมนุษย์เป็นคนที่เกิดมาร่วมกันและก็มีสุขทุกข์ร่วมกัน อันนี้ก็คือ สังคหวัตถุ
ถ. ทีนี้ก็เกิดความสงสัยว่า ปกติส่วนมากก็ไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมในลักษณะของสังคหวัตถุ แต่ว่ามีความต้องการที่จะปฏิบัติธรรมในลักษณะที่จะดับกิเลสเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไปนั่งหรือไปทำสมาธิ หรือเจริญวิปัสสนา แต่ถ้าโดยความเป็นจริงแล้ว ถ้ากุศลที่เป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันยังไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างปกติ การที่จะไปปฏิบัติธรรมที่มีความละเอียดและต้องอาศัยสติสัมชัญญะ คงเป็นสิ่งที่ยากใช่ไหม
ส. จะมีสักกี่คนที่คิดจะถึงดับกิเลสเวลานี้ ที่จะดับกิเลสคงจะน้อยมาก แต่ตามความเป็นจริงอย่างไรก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อยังมีกิเลสมากๆ และจะคิดอยากดับกิเลสก็เป็นสิ่งซึ่งยังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเพียงแต่ว่า ขอให้เข้าใจธรรมแค่นี้ ยังไม่ต้องไปถึงดับกิเลส เพียงแต่ว่าให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เรื่องดับกิเลสไม่ต้องพูดถึง เพราะเหตุว่าเป็นหน้าที่ของปัญญา ถ้าปัญญาเกิด ปัญญาเจริญขึ้น จะบอกปัญญาว่าอย่าดับกิเลสก็ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของปัญญา แต่ถ้าปัญญาไม่มี แล้วก็ไปอยากดับกิเลส ไปทำโน่น ไปทำนี่ ไปทำนั้น ก็ไม่มีทางเพราะเหตุว่าปัญญาไม่มี เพราะฉะนั้นที่เรามาฟังพระธรรม หรือเรามาสนทนาธรรม เห็นหน้ากันบ่อยๆ ที่นี่เดือนละครั้ง ก็เพื่อที่จะให้เรามีโอกาสพูดถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดง แล้วเราก็จะได้มีความเข้าใจธรรมขึ้น เพราะรับรองได้แน่ว่าไม่มีใครอยากดับกิเลส แต่เพียงเข้าใจขึ้นก็เป็นประโยชน์แล้ว และจากความเข้าใจนี่เองจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วเห็นโทษของกิเลสเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะอบรมปัญญาตามระดับขั้นยิ่งขึ้น เพราะว่าบางคนก็ฟังธรรม เรียนพระอภิธรรม เข้าใจเรื่องจิต ถามว่าอยากจะดับกิเลสไหม ก็ยัง ก็แสดงให้เห็นว่าปัญญามีหลายขั้น แล้วก็ปัญญาแต่ละขั้นนั้นก็จะต้องอาศัยการศึกษา หรือการฟังธรรมจึงจะเพิ่มขึ้น ไม่มีใครเลยในที่นี้ที่จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร อย่างไร นอกจากจะศึกษาธรรม เมื่อศึกษาแล้วก็ยังจะต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุนี้ ไม่ใช่เพราะเพียงฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก ในครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ พระองค์เป็น โชติปาละมานพ ศึกษาธรรมมากมาย นั่นไม่ใช่ แต่ต้องเป็นการที่สามารถที่จะตรัสรู้สภาพธรรมในขณะนี้ แล้วก็ต้องอาศัยการศึกษา การฟัง ไม่ใช่เพียงวันนี้วันเดียว วันนี้วันเดียวไม่มีทางพอ ชาตินี้ชาติเดียวก็ยังไม่พอ นี่ถึงจะเป็นผู้ที่เห็นพระปัญญาของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ถ้าคิดว่าชาตินี้ประเดี๋ยวก็คงจะถึงนิพพาน นั้นคือผู้ที่ไม่เห็น ไม่เข้าใจในพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ทีนี้พูดถึงเรื่องของปัญญาก็คงจะต้องมีอีกหลายท่านมีความคิด และในส่วนความคิดนั้นก็อาจจะเป็นทั้งที่ผิดหรือถูกได้ เช่นปัญญาที่จะเกิดขึ้นที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลส ถ้าอาศัยข้อปฏิบัติที่เป็นเรื่องของสมถะ หรือสมาธิ จะสามารถทำให้เกิดปัญญาแล้วละคลายกิเลส ดับกิเลสได้ไหม
ส. ก็เป็นเรื่องที่พูดกันแต่ไม่เข้าใจ อย่างพูดว่าจะอาศัยปัญญาของสมถะสมาธิ รู้หรือเปล่าว่าสมถะคืออะไ ร สมาธิคืออะไร เพียงแต่พูด เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ปัญญา
ถ. ปั
ญญาที่ถูกที่ตรงจริงๆ ควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไร
ส. ถ้าเป็นปัญญา ปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นธรรม อะไรกำลังปรากฏ ขณะนี้แล้วรู้ยังไงที่ว่ารู้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ต้องฟังต้องเรียนทั้งนั้น
ถ. ในตอนแรกนี้ก็คงจะต้องอาศัยการท่อง หรือคิดตามก่อน
ส. จะท่องว่าอะไร
ถ. ท่องว่า ทางที่จะรู้สภาพธรรมมี ไม่เกิน ๖ ทางคือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
ส.
ถ้าเข้าใจแล้วต้องท่องไหม
ถ. อันนี้แล้วแต่อัธยาศัย
ส. ถ้าเวลานี้ที่เราเกิดมาในโลกนี้ ก็มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายกระทบสัมผัส มีใจคิดนึก ทั้งหมดนี้เป็นธรรม ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เมื่อใดที่รู้ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นก็จะรู้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ธรรมเมื่อไหร่ กำลังเห็นในขณะนี้ต้องรู้เพราะว่าเป็นธรรม กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังคิดขณะนี้ เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้
เพราะฉะนั้นไม่ต้องท่อง ทั้งหมดขอให้เป็นความเข้าใจจริงๆ
ปัญญาที่ถูกที่ตรงจริงๆ ควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไร
https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/22
ตอนที่ ๒๒
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
ส. เพราะว่าชีวิตวันหนึ่งๆ ก็ล่วงไป ทีละขณะๆ จริงๆ เรียกกลับคืนมาไม่ได้เลย แต่เราได้รับประโยชน์อะไรจากชีวิตขณะหนึ่งที่ล่วงไปแล้ว นี้แสดงให้เห็นว่าเราเสียเวลากับชีวิตที่เป็นอยู่โดยไม่ได้อะไรเลยมาก ขณะหนึ่งก็ผ่าน ไปขณะหนึ่งก็ผ่านไป ขณะหนึ่งก็ผ่านไป ได้อะไรจากแต่ละขณะที่ผ่านไป ถ้าเป็นสิ่งที่ดีเป็นกุศล เป็นประโยชน์มากเพราะเหตุว่า ขัดเกลาจิตใจของเราให้เบาบาง จากการเป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนโลภมาก เป็นคนโกรธมาก มาเป็นผู้ที่สามารถจะเสียสละประโยชน์ของเราเองด้วยการช่วยเหลือคนอื่น นี้ก็เป็นอัตถจริยา
ประการสุดท้ายก็คือ สมานัตตตา การมีตนเสมอ การมีตนเสมอที่นี่มักจะมีปัญหาเสมอว่าจะเสมอกันได้ยังไง มีนาย ลูกจ้างกับนายจ้าง มีพี่กับน้อง มีพ่อกับแม่ มีสถานะตำแหน่งในราชการต่างกันบ้าง หรือคนในบ้านของเราเอง ก็มีผู้รับใช้ช่วยเหลือบ้างและจะเสมอกันได้อย่างไร แต่ตามความจริงการเสมอที่นี่ ควรจะเป็นเสมอในคุณธรรม ไม่ใช่ในสิ่งที่เรามองจากวัตถุภายนอก แต่ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าเราเป็นผู้ที่เข้าใจทุกคน เหมือนกับที่เราเข้าใจเราเองว่า เราก็ต้องการมีความสุข และก็ไม่ชอบมีความทุกข์ คนอื่นต้องเหมือนกันหมดในบ้าน ไม่มีใครต้องการความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราเกิดมาอาจจะต่างกันในชาตินี้ โดยสภาพฐานะ ความเป็นอยู่ หรือว่าโดยความรู้ โดยสัตว์ ตระกูล หรืออะไรๆ ก็แล้วแต่ แต่จริงๆ แล้วทุกคนมีใจที่เหมือนกัน คือมีโลภะก็โลภะชนิดเดียวกัน ชอบในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่กระทบสัมผัส มีโทสะ มีความขุ่นใจก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจะว่าไปแล้วไม่ต่างกัน นอกจากความคิดของเรา ซึ่งถือว่าสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง ถือว่านายจ้าง ลูกจ้าง เป็นต้น แต่ตามความจริง ถ้าเราเข้าใจชีวิต และทุกคนเหมือนกันเท่ากัน โลภะก็เหมือนกัน โทสะก็เหมือนกัน สุขก็เหมือนกัน ทุกข์เหมือนกัน ถ้าเรามีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ เรามีใจเสมอ ไม่มีการยกตน หรือว่าข่มคนอื่น หรือว่าดูหมิ่นดูถูกใครเลย แล้วถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจใครได้ด้วยความจริงใจ มีความเป็นมิตร มีตนเสมอจริงๆ ไม่มีการสูงต่ำในใจ อย่างนั้นก็จะทำให้คนที่อยู่ใกล้เรา มีความสุขแน่นอนที่สุด คือเขาทำงานให้เราด้วยความรักเรา และเราก็ไม่ใช่ว่าถือว่าเขาทำงานให้เราโดยที่ว่าเขาได้เงินจากเรา แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพื่อนมนุษย์เป็นคนที่เกิดมาร่วมกันและก็มีสุขทุกข์ร่วมกัน อันนี้ก็คือ สังคหวัตถุ
ถ. ทีนี้ก็เกิดความสงสัยว่า ปกติส่วนมากก็ไม่ค่อยจะเห็นประโยชน์ของการปฏิบัติธรรมในลักษณะของสังคหวัตถุ แต่ว่ามีความต้องการที่จะปฏิบัติธรรมในลักษณะที่จะดับกิเลสเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการไปนั่งหรือไปทำสมาธิ หรือเจริญวิปัสสนา แต่ถ้าโดยความเป็นจริงแล้ว ถ้ากุศลที่เป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันยังไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้อย่างปกติ การที่จะไปปฏิบัติธรรมที่มีความละเอียดและต้องอาศัยสติสัมชัญญะ คงเป็นสิ่งที่ยากใช่ไหม
ส. จะมีสักกี่คนที่คิดจะถึงดับกิเลสเวลานี้ ที่จะดับกิเลสคงจะน้อยมาก แต่ตามความเป็นจริงอย่างไรก็ต้องเป็นจริงอย่างนั้น เมื่อยังมีกิเลสมากๆ และจะคิดอยากดับกิเลสก็เป็นสิ่งซึ่งยังไม่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ถ้าเพียงแต่ว่า ขอให้เข้าใจธรรมแค่นี้ ยังไม่ต้องไปถึงดับกิเลส เพียงแต่ว่าให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วก็ให้เข้าใจธรรมยิ่งขึ้น เรื่องดับกิเลสไม่ต้องพูดถึง เพราะเหตุว่าเป็นหน้าที่ของปัญญา ถ้าปัญญาเกิด ปัญญาเจริญขึ้น จะบอกปัญญาว่าอย่าดับกิเลสก็ไม่ได้ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของปัญญา แต่ถ้าปัญญาไม่มี แล้วก็ไปอยากดับกิเลส ไปทำโน่น ไปทำนี่ ไปทำนั้น ก็ไม่มีทางเพราะเหตุว่าปัญญาไม่มี เพราะฉะนั้นที่เรามาฟังพระธรรม หรือเรามาสนทนาธรรม เห็นหน้ากันบ่อยๆ ที่นี่เดือนละครั้ง ก็เพื่อที่จะให้เรามีโอกาสพูดถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดง แล้วเราก็จะได้มีความเข้าใจธรรมขึ้น เพราะรับรองได้แน่ว่าไม่มีใครอยากดับกิเลส แต่เพียงเข้าใจขึ้นก็เป็นประโยชน์แล้ว และจากความเข้าใจนี่เองจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แล้วเห็นโทษของกิเลสเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะอบรมปัญญาตามระดับขั้นยิ่งขึ้น เพราะว่าบางคนก็ฟังธรรม เรียนพระอภิธรรม เข้าใจเรื่องจิต ถามว่าอยากจะดับกิเลสไหม ก็ยัง ก็แสดงให้เห็นว่าปัญญามีหลายขั้น แล้วก็ปัญญาแต่ละขั้นนั้นก็จะต้องอาศัยการศึกษา หรือการฟังธรรมจึงจะเพิ่มขึ้น ไม่มีใครเลยในที่นี้ที่จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร อย่างไร นอกจากจะศึกษาธรรม เมื่อศึกษาแล้วก็ยังจะต้องอบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเหตุนี้ ไม่ใช่เพราะเพียงฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก ในครั้งที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ในสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ พระองค์เป็น โชติปาละมานพ ศึกษาธรรมมากมาย นั่นไม่ใช่ แต่ต้องเป็นการที่สามารถที่จะตรัสรู้สภาพธรรมในขณะนี้ แล้วก็ต้องอาศัยการศึกษา การฟัง ไม่ใช่เพียงวันนี้วันเดียว วันนี้วันเดียวไม่มีทางพอ ชาตินี้ชาติเดียวก็ยังไม่พอ นี่ถึงจะเป็นผู้ที่เห็นพระปัญญาของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ แต่ถ้าคิดว่าชาตินี้ประเดี๋ยวก็คงจะถึงนิพพาน นั้นคือผู้ที่ไม่เห็น ไม่เข้าใจในพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ. ทีนี้พูดถึงเรื่องของปัญญาก็คงจะต้องมีอีกหลายท่านมีความคิด และในส่วนความคิดนั้นก็อาจจะเป็นทั้งที่ผิดหรือถูกได้ เช่นปัญญาที่จะเกิดขึ้นที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลส ถ้าอาศัยข้อปฏิบัติที่เป็นเรื่องของสมถะ หรือสมาธิ จะสามารถทำให้เกิดปัญญาแล้วละคลายกิเลส ดับกิเลสได้ไหม
ส. ก็เป็นเรื่องที่พูดกันแต่ไม่เข้าใจ อย่างพูดว่าจะอาศัยปัญญาของสมถะสมาธิ รู้หรือเปล่าว่าสมถะคืออะไ ร สมาธิคืออะไร เพียงแต่พูด เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ปัญญา
ถ. ปัญญาที่ถูกที่ตรงจริงๆ ควรจะเป็นข้อปฏิบัติอย่างไร
ส. ถ้าเป็นปัญญา ปัญญารู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง แค่นี้ก็รู้แล้วว่าอะไรเป็นธรรม อะไรกำลังปรากฏ ขณะนี้แล้วรู้ยังไงที่ว่ารู้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ต้องฟังต้องเรียนทั้งนั้น
ถ. ในตอนแรกนี้ก็คงจะต้องอาศัยการท่อง หรือคิดตามก่อน
ส. จะท่องว่าอะไร
ถ. ท่องว่า ทางที่จะรู้สภาพธรรมมี ไม่เกิน ๖ ทางคือ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
ส. ถ้าเข้าใจแล้วต้องท่องไหม
ถ. อันนี้แล้วแต่อัธยาศัย
ส. ถ้าเวลานี้ที่เราเกิดมาในโลกนี้ ก็มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายกระทบสัมผัส มีใจคิดนึก ทั้งหมดนี้เป็นธรรม ตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรม แต่เมื่อใดที่รู้ว่าเป็นธรรม เมื่อนั้นก็จะรู้ว่าพระผู้มีพระภาคตรัสรู้ธรรมเมื่อไหร่ กำลังเห็นในขณะนี้ต้องรู้เพราะว่าเป็นธรรม กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังคิดขณะนี้ เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องท่อง ทั้งหมดขอให้เป็นความเข้าใจจริงๆ