JJNY : “พิธา”ย้ำคดีหุ้นสื่อจงใจกลั่นแกล้ง│พิธาชี้เกณฑ์ใหม่‘เบี้ยผู้สูงอายุ’│คนสูงอายุโอด ปรับหลักเกณฑ์│หอค้าเอกชน ขอสเปก

“พิธา” ย้ำอีกรอบคดีหุ้นสื่อจงใจกลั่นแกล้งทางการเมือง
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_598627/

“พิธา”ย้ำอีกรอบคดีหุ้นสื่อจงใจกลั่นแกล้งทางการเมือง พร้อมตั้ง 2 คำถามถึง กกต. ขอความเป็นธรรมจากสังคม คำสั่งหยุดปฏิบัติหน้า เป็นธรรมหรือไม่
 
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความบน facebook ว่า 
 
เมื่อวานนี้ (14 สิงหาคม) มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต. มีมติว่าจะให้ยกคำร้องผมในคดีอาญามาตรา 151 เรื่องการรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร จากการถือหุ้นไอทีวี โดยคณะกรรมการสืบสวนมีเหตุผลสำคัญว่า บริษัทไอทีวีไม่มีการดำเนินกิจการอยู่และไม่มีรายได้จากการเป็นสื่อ จึงไม่ถือว่าผมมีความผิด
 
ผมยืนยันอีกครั้งว่า คดีหุ้นไอทีวีของผม เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่ เพราะผมถือหุ้นนี้มาตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง เป็น ส.ส. มา 4 ปี แต่เพิ่งจะเกิดการร้องเรียนกันขึ้นในเวลาที่ผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการเสนอชื่อผมต่อสภาไม่กี่วัน รวมถึงมีหลักฐานความผิดปกติมากมายที่บ่งชี้ว่ามีความพยายมปลุกปั้นให้บริษัทไอทีวีซึ่งเลิกกิจการสื่อไปนานกว่า 10 ปี กลับมาเป็น “หุ้นสื่อ” ให้ได้
 
มาวันนี้ ที่มีการเปิดเผยมติของคณะกรรมการไต่สวนออกสู่สาธารณะแล้วว่าผมไม่ผิด ทำให้มีประเด็นคำถามที่ผมขอถามไปยัง กกต. ดังนี้
 
1. คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว ซึ่งทำคดีมาตรา 151 (คดีอาญา) มีมติก่อนที่ กกต. จะพิจารณาส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือไม่ ถึงแม้ว่า กกต จะอ้างว่า การพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน เป็นคนละกระบวนการกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการสืบสวนฯ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่รวบรวมพยานหลักฐานและเรียกพยานบุคคลมาสอบข้อเท็จจริง ได้เห็นข้อเท็จจริงว่า ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อและมิได้มีรายได้จากกิจการสื่อมวลชนในขณะที่ผมสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด แต่กกต. กลับยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยละเลยข้อเท็จจริงบางประการที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้หยิบยกมาพิจารณา และละเลยแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางหลักเรื่องการมีรายได้และที่มาของรายได้เป็นเกณฑ์ว่าบริษัทใดเป็นสื่อหรือไม่
 
2. การที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติว่า หุ้นไอทีวีไม่ใช่หุ้นสื่อ นอกจากจะสอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ก็สอดรับกับความเห็นของประชาชนทั่วไปอีกด้วย ดังนั้น การสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้งๆ ที่ไอทีวี และอินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่ ล้วนแต่มีเอกสารงบการเงินยืนยันว่า ไอทีวีหยุดประกอบกิจการ และไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ ประกอบกับคดีหุ้นสื่อ (นอกจากคดีคุณธนาธร) ของ สส. ปี 2563 ประมาณ 60 คน ศาลก็ไม่ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แต่ในคดีผม กลับสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงขอให้สังคมพิจารณาว่าการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผม มีความเป็นธรรมหรือไม่
 
https://www.facebook.com/timpitaofficial/posts/pfbid0EQn9Myna9zWx6VBUcUs6JqCZdYW8beiuXre3xZiETsAGzW4oUtg8r4ygpTh9i4CQl



พิธา ชี้เกณฑ์ใหม่ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ตัดสิทธิสูงวัย 5 ล้านคน งบเท่ากับซื้อ ‘เรือดำน้ำ’ ไม่ได้ใช้ประโยชน์
https://www.matichon.co.th/politics/news_4129555
 
พิธา ชี้เกณฑ์ใหม่ ‘เบี้ยผู้สูงอายุ’ ตัดสิทธิสูงวัย 5 ล้านคน งบเท่ากับซื้อ ‘เรือดำน้ำ’ ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
 
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ที่ว่าการอำเภอแกลง จ.ระยอง สถานที่เปิดรับสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 3 (อ.แกลง อ.เขาชะเมา) จ.ระยอง แทนตำแหน่งที่ว่างลง โดย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมคณะ ได้มาส่ง นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ เข้ามาสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส.เขต 3 จ.ระยอง ท่ามกลางประชาชนจำนวนมากแห่มาต้อนรับ

ทั้งนี้ นายพิธาได้กล่าวถึงกรณีคณะไต่สวน กกต.มีความเห็นให้ กกต.ยกคำร้อง กรณีหุ้นไอทีวีว่า ตนก็เห็นความปกติมาแต่แรก อยากให้จบโดยเร็ว อยากจะกลับไปทำงาน เพื่อบ้านเมืองและพี่น้องประชาชน
 
ส่วนเรื่องเบี้ยยังชีพคนชรา ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ ที่ต้องสื่อสารกันให้ชัดเจน เท่าที่ตรวจสอบเบื้องต้นจะมีการลดลงจำนวน 5 ล้านคน งบประมาณจำนวน 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเท่ากับงบประมาณเรือดำน้ำที่แทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์ น่าเสียดายที่สภายังไม่เปิด จะได้ให้ลูกพรรคตั้งกระทู้ถามในสภาเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว


 
คนสูงอายุโอดรัฐบาลรักษาการปรับหลักเกณฑ์เบี้ยยังชีพใหม่ หวั่นไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ
https://www.dailynews.co.th/news/2624990/
 
คนสูงอายุ ขอนแก่น -มหาสารคาม หวั่นจะได้รับเงินสูงอายุหรือไม่ หลังมีการปรับเกณฑ์พิจารณาใหม่ เพราะบางคนความช่วยเหลือที่รัฐจัดสรรยังไม่ได้อะไรเลย เสนอควรให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม

เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 15 ส.ค.ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นประชาชนในเขตเทศบาลนครขอนแก่นทั้งผู้ที่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและที่กำลังจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลังมีข่าวออกมาว่าจะมีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์รับเบี้ยผู้สูงอายุใหม่จึงทำให้ประชาชนหลายคนรู้สึกกังวลว่าจะไม่ได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อไปในอนาคต

น.ส.อุดม วงศาเนา อายุ 59 ปี แม่ค้าตลาดสดเทศบาลนครขอนแก่น กล่าวว่า รู้สึกกังวลหลังมีข่าวออกมาว่าจะมีการปรับเกณฑ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่และกลัวจะไม่ได้เพราะตอนนี้อายุ 59 ปีแล้ว ปีหน้าจะได้รับเบี้ยแล้วถ้ามีการปรับใหม่กลัวว่าจะไม่ถูกพิจารณาเพราะว่าเกณฑ์ใหม่จะมีการพิจารณาผู้มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการยังชีพเกณฑ์นี้จะเชื่อถือได้ยังไง

ขนาดบัตรสวัสดิการแห่งรัฐบัตรคนจนตัวเองยังไม่ได้รับการพิจารณาเลย และไม่ได้รับสวัสดิการอะไรที่รัฐบาลออกมาช่วงก่อนหน้านี้คนจนจริงๆ จะไม่ค่อยได้รับการพิจารณาตัวแม่เองที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำขายของเลี้ยงชีพมีรายได้ไม่เกินเกณฑ์ที่จะได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ยังไม่ได้สิทธิ์ตรงนี้เลย จึงไม่มีความมั่นใจว่าเกณฑ์ที่จะนำมาปรับใช้ใหม่สำหรับการรับเบี้ยผู้สูงอายุจะได้หรือเปล่าเพราะถึงเบี้ยจะไม่มากแต่ถ้าได้มาก็จะช่วยบรรเทาได้บ้างเล็กน้อย พอข่าวออกมารู้สึกกังวลจนรู้สึกเฉยๆไปแล้วเพราะเราไม่ได้สวัสดิการรัฐมาตั้งแต่แรกแล้ว จึงอยากฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารฝากให้ใส่ใจผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น อยากให้ตรวจสิทธิ์ผู้สูงอายุให้ดีว่าคนที่ได้ควรจะได้จริงหรือไม่ บางคนมีเยอะเงินแต่ก็ยังได้คนจนจริงๆกลับไม่ได้สิทธิ์อยากให้ปรับเงินขึ้นอีกเล็กน้อย น่าจะช่วยแต่ละเดือนได้เยอะ” น.ส.อุดม กล่าว
 
ด้านนายไชยา ยอดระบำ อายุ 58 ปี พ่อค้า กล่าวว่า ไม่กังวลเพราะว่าอยู่ในกลุ่มคนชั้นกลางยังไงก็ต้องได้รับการพิจารณาผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้วเพราะว่าไม่มีเงินฝากในบัญชีเยอะเกินเกณฑ์ที่กำหนด จึงไม่รู้สึกกังวลตามที่จะมีการปรับจะต้องมีหลักเกณฑ์มากกว่านี้แต่ตอนนี้เป็นแค่การพูดคุยกันเท่านั้นยังไม่มีรายละเอียดเพิ่ม ถามว่าเงิน 600 บาทแต่ละเดือนที่ได้รับไม่พอใช้แน่นอน แต่เรามีอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ไม่ได้จะรอแต่เงินเบี้ยผู้สูงอายุอย่างเดียว ส่วนของเบี้ยเป็นแค่การเสริมจากทางภาครัฐให้มา  ถ้าถามว่าได้เดือนเท่าไหร่จะพอบอกได้เลยว่าเดือนละเท่าไหร่ก็ไม่พอ ถ้าเราไม่รู้จักใช้คำว่าพอไม่มีจริง ฝากถึงรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารให้ปรับหลักเกณฑ์ตามความเป็นจริงไม่ต้องให้ 3,000-4,000 บาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้ขึ้นตามความจริง 600 ,700 ,800 ตามแผนที่วางไว้ตามงบประมาณเพราะว่าคนละ 3,000 บาท จะเอางบประมาณมาจากไหน ถ้าได้รับการพิจารณาก็ดีจะเก็บเงินส่วนนั้นไว้เพราะไม่ได้หวังเพราะมีอาชีพที่สามารถเลี้ยงตัวเองได้อยู่แล้ว

จ.มหาสารคาม ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ตลาดสดเทศบาลเมืองมหาสารคาม  สำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อกรณีดังกล่าว  ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ได้รับฟังข่าวสารมาบ้าง  แต่ยังไม่ทราบถึงรายละเอียดหรือเกณฑ์ปฏิบัติว่าเกณฑ์แบบใหม่จะออกมาเป็นอย่างไร
 
นางสาวธนารัตน์  อรุณโน  แม่ค้าขายปลาทูในตลาดสดเทศบาลเมืองมหาสารคคาม  กล่าวว่า  พอจะได้ยินข่าวมาบ้าง  ซึ่งหากเป็นคนหาเช้ากินค่ำ  ก็ค่อนข้างที่จะลำบาก  เพราะไม่รู้ว่าจะเอาเกณฑ์อะไรมาวัดว่าเป็นผู้ไม่มีรายได้  หรือรายได้น้อย  อยากให้ภาครัฐไปตรวจสอบข้าราชการบำนาญที่รับเบื้ยผู้สูงอายุซ้ำซ้อนมากกว่า  ส่วนเกณฑ์ผู้สูงอายุแบบใหม่ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน  ที่ผ่านมารัฐเคยจ่ายมาแบบไหนก็อยากให้คงไว้เหมือนเดิม เมื่อถึงอายุ 60 ปี  เพราะถือเป็นสิทธิที่ประชาชนควรจะได้รับ  ซึ่งการขายของแต่ละวัน  รายได้แต่ละวันก็ไม่แน่นอน  ขายได้บ้างไม่ได้บ้าง  หากได้เงินผู้สูงอายุมา  อย่างน้อย ๆ ก็จะได้มาช่วยในเรื่องของค่าน้ำค่าไฟ  ก็ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายได้.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่