[๑๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแคว้นกุรุ มีนิคมหนึ่งของแคว้นกุรุ ชื่อว่า
กัมมาสธรรม ณ ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่า
นั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๑๓๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไป
อันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่ง
ทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน
๔ ประการ. ๔ ประการเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายใน
กายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑.
[๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี
ขันธบัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๗ ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
อย่างนี้ ตลอด ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ... ๑ ปี ยกไว้. ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติ
ปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธบัญจกมีเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๗ เดือน ยกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน
๒ เดือน ๑ เดือน กึ่งเดือน ... กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้
ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ
เมื่อขันธปัญจกยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
1.สติปัฏฐาน เป็นทางเอก เมื่อบรมเเล้วเจริญให้มาก ย่อมทำให้มรรคเจริญขึ้น -> โพชฌงค์->นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ
2.เบื้องต้นเเละเบื้องกลางของการปฏิบัติ :
a) สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา = ศีล
b)สัมมาสติ : สติที่รู้ในกาย-ใจเนืองๆ -> สัมมาสมาธิ : เป็นฌาน 1-4
c)เมื่อมีสัมมาสมาธิ ที่มีมรรคอื่นๆ เป็นองค์ประกอบเเละทำงานร่วมกัน จึงเกิดสัมมาทิฐิ ความเข้าใจถูกต้อง (เข้าใจว่าสิ่งต่างๆเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
เเละนำมาสู่ความคิดที่ถูกต้อง คือ สัมมาสังกัปปะ
3.เบื้องปลาย เมื่อมรรคสมบูรณ์เเล้ว โพธิปักขิยธรรมพรอ้มเเล้ว ก็จะเกิดมัคคสมังคี เข้าทำลายกิเลสตามความเข้าใจอริยสัจ 4
อานาปานสติ เปรียบเหมือนหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักไว้เพื่ออบรมสติปัฏฐาน 4 ดังนั้น การอบรมอานาปานสติที่ถูกต้อง = การเจริญสติปัฏฐาน 4 ครบทุกฐาน อานาปานสติจึงไม่ใช่การดูลมหายใจเพื่อให้จิตรวมเเล้วเกิดฌานอย่างเดียว เเต่เป็นการพิจารณากาย-ใจนี้เพื่อให้เกิดปัญญาด้วย ดังนั้น การเจริญอานาปานสติจริงๆ เเล้วก็คือ การฝึกสัมมาสมาธิ ที่มีมรรคอื่นๆ อีก 7 ตัวเข้าประกอบ ไม่ใช่สมาธิธรรมดา ในความหมายทั่วๆไป เพราะอานาปานสติเมื่อทำจนเกิดสัมมาสมาธิเเล้ว อัตตาจะหายไปด้วย จะไม่มีผู้เข้าฌาน ออกฌาน ไม่มีผู้ที่ได้ฌาน ไม่มีผู้ที่พิจารณาองค์ของฌาน มีเเต่ธรรมที่สืบต่อกันจากการดูลมหายใจ
ผลอันเป็นปฏิเวธ ของการเจริญอานาปานสติ คือ ตัณหา ทิฐิเเละมานะที่ลดลงไป จะเข้าใจว่าสิ่งต่างๆมันมีอยู่ ไม่สูญ เเต่มีอยู่เป็นธรรมชาติของเขา เกิด-ดับทำงานตามหลักของเขา ไม่มีเราที่เข้าไปควบคุมหรือบงการให้เป็นเเต่อย่างใด
สติปัฏฐานเป็นเครืองมือที่ใช้อบรมมรรค
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในแคว้นกุรุ มีนิคมหนึ่งของแคว้นกุรุ ชื่อว่า
กัมมาสธรรม ณ ที่นั่น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่า
นั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว.
[๑๓๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไป
อันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่ง
ทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน
๔ ประการ. ๔ ประการเป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายใน
กายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ พิจารณา
เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส
ในโลกเสียได้ ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา
และโทมนัสในโลกเสียได้ ๑.
[๑๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อยังมี
ขันธบัญจกเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๗ ปี ยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้
อย่างนี้ ตลอด ๖ ปี ๕ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี ... ๑ ปี ยกไว้. ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติ
ปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ เดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือเมื่อขันธบัญจกมีเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๗ เดือน ยกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน ๕ เดือน ๔ เดือน ๓ เดือน
๒ เดือน ๑ เดือน กึ่งเดือน ... กึ่งเดือนยกไว้ ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้
ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือพระอรหัตตผลในปัจจุบัน หรือ
เมื่อขันธปัญจกยังเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี.
1.สติปัฏฐาน เป็นทางเอก เมื่อบรมเเล้วเจริญให้มาก ย่อมทำให้มรรคเจริญขึ้น -> โพชฌงค์->นิพพิทา วิราคะ วิมุตติ
2.เบื้องต้นเเละเบื้องกลางของการปฏิบัติ :
a) สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวาจา = ศีล
b)สัมมาสติ : สติที่รู้ในกาย-ใจเนืองๆ -> สัมมาสมาธิ : เป็นฌาน 1-4
c)เมื่อมีสัมมาสมาธิ ที่มีมรรคอื่นๆ เป็นองค์ประกอบเเละทำงานร่วมกัน จึงเกิดสัมมาทิฐิ ความเข้าใจถูกต้อง (เข้าใจว่าสิ่งต่างๆเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
เเละนำมาสู่ความคิดที่ถูกต้อง คือ สัมมาสังกัปปะ
3.เบื้องปลาย เมื่อมรรคสมบูรณ์เเล้ว โพธิปักขิยธรรมพรอ้มเเล้ว ก็จะเกิดมัคคสมังคี เข้าทำลายกิเลสตามความเข้าใจอริยสัจ 4
อานาปานสติ เปรียบเหมือนหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงวางหลักไว้เพื่ออบรมสติปัฏฐาน 4 ดังนั้น การอบรมอานาปานสติที่ถูกต้อง = การเจริญสติปัฏฐาน 4 ครบทุกฐาน อานาปานสติจึงไม่ใช่การดูลมหายใจเพื่อให้จิตรวมเเล้วเกิดฌานอย่างเดียว เเต่เป็นการพิจารณากาย-ใจนี้เพื่อให้เกิดปัญญาด้วย ดังนั้น การเจริญอานาปานสติจริงๆ เเล้วก็คือ การฝึกสัมมาสมาธิ ที่มีมรรคอื่นๆ อีก 7 ตัวเข้าประกอบ ไม่ใช่สมาธิธรรมดา ในความหมายทั่วๆไป เพราะอานาปานสติเมื่อทำจนเกิดสัมมาสมาธิเเล้ว อัตตาจะหายไปด้วย จะไม่มีผู้เข้าฌาน ออกฌาน ไม่มีผู้ที่ได้ฌาน ไม่มีผู้ที่พิจารณาองค์ของฌาน มีเเต่ธรรมที่สืบต่อกันจากการดูลมหายใจ
ผลอันเป็นปฏิเวธ ของการเจริญอานาปานสติ คือ ตัณหา ทิฐิเเละมานะที่ลดลงไป จะเข้าใจว่าสิ่งต่างๆมันมีอยู่ ไม่สูญ เเต่มีอยู่เป็นธรรมชาติของเขา เกิด-ดับทำงานตามหลักของเขา ไม่มีเราที่เข้าไปควบคุมหรือบงการให้เป็นเเต่อย่างใด