จุดประสงค์สูงสุดของการฟังพระธรรม ก็เพื่อศึกษาให้เข้าใจถึงลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่กำลังมีปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู ...

ศึกษาให้เข้าใจถึงสภาพที่กำลังมีจริงๆ กำลังปรากฏจริงๆ ในขณะนี้ สภาพที่มีจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรม ว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เพราะฉะนั้นถ้ายังหลงติดยึดมั่นในตัวเรา ความทุกข์จะมากเหลือเกิน

https://www.dhammahome.com/cd/topic/14/17

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

ตอนที่ ๑๗
สนทนาธรรมที่โรงพยาบาลปากเกร็ดเวชการ พ.ศ. ๒๕๓๖
 
ส. ทางตากำลังเกิดและดับขณะที่เห็น ทางหูขณะที่กำลังได้ยิน สภาพที่ได้ยินต้องเกิดขึ้นและดับ นี้คือชีวิตประจำวันซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป ต้องเข้าใจจุดนี้จริงๆ ก่อน ให้แน่ใจจริงๆ ในพุทธศาสนาไม่มีตัวตน ไม่มีเรา มีแต่สภาพธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เพราะฉะนั้นถ้ายังหลงติดยึดมั่นในตัวเรา ความทุกข์จะมากเหลือเกิน อยากให้เป็นอย่างนี้ อยากให้เป็นอย่างนั้น แต่ว่า ใครจะเป็นอย่างไหนแล้วแต่บุญกรรมที่ทำมาทั้งหมด ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ก็รู้ว่า ไม่มีใครที่จะไปบังคับบัญชาอะไรได้เลยสักอย่างเดียว แต่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา รู้สิ่งที่กำลังปรากฏจนกระทั่งเห็นว่า ไม่ใช่เราจริงๆ นี้คือจุดมุ่งหมายที่สุดที่มานั่งฟัง ตั้งแต่เดี๋ยวนี้และอาจจะฟังต่อไปอีก เพื่อจะละคลายการติดการยึดมั่นความสำคัญในตัวตนลง ซึ่งถ้าไม่มีตัวเรา จะสบายและเบากว่ามีตัวเรา     เพราะว่า เวลาโกรธเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง พอเป็นเราโกรธแล้วรู้สึกหนัก เราโกรธ แต่ถ้ารู้ว่า โกรธเกิดขึ้นเป็นของธรรมดากับทุกคนและหมดด้วย ไม่มีใครที่โกรธและความโกรธนั้นไม่หมด ความโกรธไม่ใช่เรา ขณะนี้ทุกคนมีชื่อและมีความสำคัญในชื่อ ถ้าเขาเรียกชื่อเราไม่เพราะ อาจจะเติมคำหน้าคำหลังอะไรเข้าไปก็ตามแต่ เราโกรธเหลือเกินว่า ทำไมเรียกอย่างนี้ใช่ไหม แต่ถ้าเขาเรียกคุณ คุณนาย คุณหญิงหรืออะไรก็ตามแต่ ยศฐาบรรดาศักดิ์ใส่เข้าไป คนที่ไม่รู้จักธรรมจริงๆ อาจจะลืม เผลอไป รู้สึกว่ามีความสำคัญ มีความหมายเหลือเกินกับเพียงคำที่เกิดจากเสียง ซึ่งมาประกอบคำข้างหน้าหรือข้างหลังเท่านั้นเอง นี้คือความติดแม้ในชื่อ เพียงชื่อ แต่ความจริงเป็นสภาพธรรมทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่ถ้าไม่อาศัยชื่อ ไม่รู้จะเรียกอย่างไร ไม่รู้ว่าจะหมายความถึงสภาพธรรมไหน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ชื่อนี้เป็นแต่เพียงคำสมมุติเรียกสิ่งที่มีจริงๆ เพื่อให้เข้าใจ ต้องแยกให้ออก สภาพที่มีจริงๆ เป็นปรมัตถธรรม แต่ว่า ชื่อซึ่งใช้เรียก ไม่จริง ไม่มี แต่เป็นคำที่จำเป็นต้องใช้เพื่อให้รู้ว่าหมายความถึงสภาพธรรมอะไร ตอนนี้ยังอะไรที่จะสงสัยไหม เรื่องชื่อกับเรื่องตัวจริงๆ ธรรมจริงๆ อย่างได้ยิน ไม่มีชื่อ ได้ยินไม่ใช่ชื่อ คุณไข่ หรือ คุณไก่ อะไรเลย ใช่ไหม หรือเห็นเป็นสภาพธรรมที่ไม่มีชื่อ ไม่มีฝรั่ง ไม่มีจีน ไม่มีไทย ไม่มีแขก ไม่มีพม่า ไม่มีปลา ไม่มีนก การเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับไป การเห็นมีจริงๆ การเห็นอยู่ตรงไหน ขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่เป็นจริง มีจริงอย่างนั้น และภายหลังมาตั้งชื่อเอาเท่านั้นเอง เพื่อที่จะให้รู้ว่าอะไร เห็นที่ไหน แต่ว่า จริงๆ แล้วเป็นสภาพธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป และสภาพธรรมที่เกิดดับ ไม่ใช่เพียงแค่วันนี้หรือเมื่อวานนี้ นานแสนนานมาแล้ว และยังมีต่อไปอีก แต่ว่า ไปอย่างชนิดซึ่งไม่รู้สึกตัวเลย อย่างวันนี้ เมื่อกี้นี้กับเดี๋ยวนี้ คนละขณะแล้ว เห็นเมื่อกี้ ได้ยินเมื่อกี้ มีครบ กำลังรับประทานอาหาร ลิ้มรสก็มี ชอบไม่ชอบก็มี เห็นก็มี คิดก็มี ดับหมด เพราะฉะนั้น ขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น คือ ทุกๆ ขณะผ่านไปโดยที่ว่า ไปๆ เรื่อยๆ ถึงแสนโกฏกัปป์และต่อไปอีกเรื่อยๆ เรื่อยๆ นับไม่ถ้วน จะเป็นอย่างนี้ เหมือนอย่างนี้เรื่อยๆ ถ้าปัญญาไม่เกิดและไม่รู้ความจริง เพื่อที่จะละการยึดถือในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องแยกสภาพธรรมที่มีจริงๆ กับชื่อเสียงต่างๆ ซึ่งไม่จริง

ถ. ขออนุญาตกลับไปที่เรื่องความเพียรทางกาย ทางใจ เพื่อจะได้เกิดความเข้าใจที่ถูก คือ เท่าที่มีผู้สอนในเรื่องความเพียร คล้ายๆ ว่า ต้องการอยากจะให้ผู้ปฏิบัติได้มีความอดทนในการที่จะนั่ง เพราะปกติการนั่ง ถ้าเกินกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว จะรู้สึกกระสับกระส่าย ทีนี้เมื่อพิจารณาว่า ถ้าไม่อาศัยจิต แล้วกายคงจะไม่มีความหมายของคำว่า เพียร ได้เลย เพราะฉะนั้น เลยสงสัยว่า ที่กายต้องทนนั่งหรืออดทนนั่งต่อไป บางครั้งนานเป็นชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมงได้ เพราะว่า เป็นสภาพของจิตที่ต้องการให้กายอยู่ในลักษณะอย่างนั้นๆ จึงเกิดความสงสัยว่า ถ้าจะพูดถึงความเพียรแล้ว ถ้าไม่พูดถึงจิต กายจะไปทำอะไรได้ ในเมื่อเปรียบเทียบคนตายกับคนเป็น ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายให้ละเอียด

ส. เป็นที่รู้อยู่แล้วว่า รูปร่างกายไม่รู้อะไรเลย รูปไม่ใช่สภาพรู้ ถ้ากระทบสัมผัสที่กายของเรา ที่อ่อนหรือแข็ง กระทบสัมผัสหมอนหรือเก้าอี้ หรืออะไร ก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน คือ อ่อนหรือแข็ง ลักษณะที่อ่อนหรือแข็งไม่ใช่สภาพรู้ ใครจะไปกระทบ จับกระแทกอย่างไร อ่อนแข็งตรงนี้ไม่เจ็บ ไม่รู้สึกอะไรเลย สภาพที่ไม่รู้อะไร มี เพราะฉะนั้นเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า รูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงความเพียรซึ่งต้องเป็นนามธรรมแน่นอน เพราะว่า แข็งๆ เพียรทำอะไรไม่ได้ แต่ว่า ความเพียรได้ต้องเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของเจตสิก เป็นเรื่องของนามธรรม แต่ว่าความเพียรทางไหน จะเพียรด้วยกาย หรือว่าแม้กายของเราไม่ได้ทำอะไร แต่ความเพียรทางใจก็มี นี้คือการที่จะแยกลักษณะของความเพียรว่า แม้ว่า ความเพียรเป็นนามธรรม แต่ว่า ความเพียรนั้นเป็นไปในทางกาย หรือเป็นไปในทางใจ บางคนไม่ขยัน เรารู้เลย คนนี้ไม่ขยันเลยแสดงว่า ไม่มีความเพียรทางกาย แต่ทางใจเขาเพียรได้ แต่บางคนทางใจเพียรไม่ได้เลย ทางกายนี้ งานต่างๆ ออกแรงได้ ทำอะไรได้ทั้งวัน แต่จะให้เพียรอ่านหนังสือ ไม่ยอม อย่างคนที่เขาอยู่ตามต่างจังหวัดไกลๆ เขาอ่านหนังสือไม่ได้ ก็พยายามที่จะสอนเขา เวลาที่เขามาทำงานที่บ้าน งานการที่เป็นกายเขาทำได้สารพัดอย่าง เขาทำได้ จะกวาดบ้าน ถูบ้าน ทำอะไร เก็บใบไม้อะไรได้ แต่พอบอกให้อ่าน ก. ไก่ เขียน ก. ไก่ หรืออะไรอย่างนี้ พอไปถึง ส. เสือ เขาก็เลิก เขาบอกว่า ไม่เอาแล้ว คืออยากจะอ่านก็อยาก แต่ว่า ความเพียรทางใจอย่างนี้ไม่มี แต่เขาสามารถที่จะมีความเพียรทางร่างกายได้ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่า ความเพียรจะเป็นนามธรรมเพราะว่า รูปธรรมเพียรไม่ได้ แต่แม้กระนั้น ความเพียรนั้นก็เป็นความเพียรไปในทางกายหรือว่า เป็นความเพียรไปในทางใจ พอจะชัดเจนหรือไม่ ยังสงสัยเรื่องนั่งเพียรอีกหรือไม่ เพียรนั่งหรืออะไร

ถ. คือเรื่องนี้มันเกี่ยวกับเรื่องการปฏิบัติ เพราะว่า มีผู้ที่จะไปปฏิบัติธรรมและส่วนใหญ่จะมุ่งไปในเรื่องของการนั่ง โดยวิธีว่าอาจจะนั่งครั้งแรกในครึ่งชั่วโมง ต่อไปอาจจะเป็น ๑ ชั่วโมงอาจจะเป็น ๒ ชั่วโมง ถึง ๓ ชั่วโมง เพราะฉะนั้น คนที่นั่งได้นานๆ มักจะได้รับการยกย่องและมีผู้กล่าวว่า นี้เป็นความเพียรที่ประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าไม่นั่ง ไม่พิจารณา โอกาสที่จะเกิดสติปัญญา หรือว่ สภาพธรรมจะปรากฏก็ไม่มี จึงคิดว่า คำว่า ความเพียรจริงๆ น่าจะเป็นการเน้น แต่ที่ท่านอาจารย์อธิบายอย่างชัดเจนอย่างนี้แล้ว เข้าใจว่า คงจะเป็นที่เข้าใจกันดี เพราะว่า เพียรไหนทางไหน คือว่า อย่างที่ยกตัวอย่างมา เช่น การยกตัวอย่าง การทำงาน การทำความสะอาด อะไรต่างๆ ก็ต้องอาศัยกาย ถ้าไม่มีกายก็ไม่มีส่วนที่จะไปทำความสำเร็จได้ นี้เข้าใจแล้ว ทีนี้เนื่องจากว่า ความเป็นตัวเป็นตนมีมากเหลือเกิน เวลานี้ถึงแม้ว่า จะได้ฟังคำอธิบายของท่านอาจารย์พูดถึงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม ไม่มีอะไรพ้นไปจากสภาพจิต เจตสิก และรูป แต่ถึงอย่างไรยังมีความยึดว่า เป็นตัวตน เป็นเราอยู่ตลอดเวลา มีการฟังพระธรรมส่วนไหนบ้าง ที่จะช่วยลดคลายความเป็นตัวเป็นตนได้บ้าง เพราะว่า เต็มไปทั้งวันเลยความเป็นตัวของเรา แม้แต่เสียงของเรา เห็นก็เป็นเราเห็น พูดก็เป็นเราพูด ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายลักษณะด้วย

ส. เริ่มตั้งแต่ที่เรากำลังนั่งอยู่คือ ให้รู้จริงๆ ไปเลยว่า ไม่มีเรา และคำถามต่อไปคือว่า เมื่อไม่มีเราแล้วมีอะไร ใช่ไหม สิ่งที่กำลังมีปรากฏให้เห็นทางตา ทางหู เป็นอะไรถ้าไม่ใช่เรา คือ เป็นของจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงโดยเกิดขึ้นให้รู้ว่า มี อย่างเสียง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครได้ยิน แต่มีการได้ยิน และจะต้องได้ยินเฉพาะเสียงเท่านั้น จึงรู้ได้ว่า เสียงมี สำหรับคนที่มีโสตปสาท แต่ถ้าคนไหนหูหนวก อย่างไรๆ ก็ไม่ได้ยินเสียง ไม่สามารถที่จะนึกได้ว่า เสียงเป็นอย่างไรที่เขาว่า เสียง แต่ว่า คนที่มีหู ตอบได้ว่าดังๆ ใช่ไหม อะไรก็ตามที่เกิดดังๆ ขึ้นมา นั่นคือเสียง เพราะว่า เสียงต้องดังแน่ เสียงไม่ดังมีไหม ไม่มี แล้วแต่ว่า จะดังมาก ดังน้อย แต่ต้องดัง นี้คือ ลักษณะของเสียง เหมือนกับสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ถ้ามืดหมด มองไม่เห็นอะไร แต่เพราะสว่าง ถึงได้เห็นสีสันวรรณะต่างๆ แต่ที่กำลังเห็นเป็นสีสันวรรณะต่างๆ ให้ทราบว่า ตามความเป็นจริงแล้วเห็นเกินนี้ไม่ได้ ไม่มีใครเห็นแข็ง เห็นแข็งเห็นได้ไหม คือ การศึกษาธรรม ศึกษาได้หลายแบบ ถ้าศึกษาตามตำราอาจจะเร็ว เอาหนังสือมากางแล้วบอกว่า จิตมีเท่านั้น เจตสิกมีเท่านั้น รูปมีเท่านั้น จบ    แต่ถ้าจะให้เข้าใจ คือ ความเข้าใจนี้สำคัญมาก ไม่ว่าจะฟังอะไร ต้องฟังเพื่อความเข้าใจอย่างเดียว แม้แต่คำว่า ธรรม ถ้าเข้าใจจริงๆ สามารถเป็นพระโสดาบันบุคคลได้ เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แต่นี่แสดงให้เห็นว่า การฟัง ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระโสดาบันแสดงว่า ความเข้าใจในเรื่องที่ได้ยินได้ฟัง ยังไม่พอ คือว่า ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เช่น ขณะนี้มีเห็น เห็นอะไรแค่นี้ต้องคิดแล้ว ถ้าตอบอย่างเดิมว่า เห็นคน ผิดหรือถูก เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ ผิดหรือถูก มี ๒ อย่าง ผิดหรือถูก อย่างหนึ่งอย่างใด ถ้าบอกว่า เห็นคน ผิดหรือถูก
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่