JJNY : วัตถุอันตรายกลางชุมชน! “5หน่วยงานรัฐ”ยังเงียบ?│โรมลั่นโหวตนายกฯ4ส.ค.│กอน.ย้ำปีนี้ลอบเผากระฉูด│รัสเซียส่งโดรนโจมตี

วัตถุอันตรายล็อตใหญ่ซุกกลางชุมชน! “5 หน่วยงานรัฐ” ยังเงียบ?
https://www.isranews.org/article/south-news/academic-arena/120667-responsibleagency.html
 
 
โกดังเก็บพลุ ประทัด ดอกไม้ไฟ ที่มูโนะ นราธิวาส ซึ่งเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิต 12 ราย บาดเจ็บเกือบ 200 คน และอาคารบ้านช่องเสียหายหลายร้อยหลังคาเรือนนั้น
 
ไม่ว่าการเคลื่อนย้ายและเก็บวัตถุไวไฟอันตรายล็อตนี้จะได้รับอนุญาตจากทางราชการ โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงอย่าง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า หรือไม่ก็ตาม แต่หากพิจารณาระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ยืนยันได้เลยว่า พลุมรณะล็อตนี้ มีส่วนหนึ่งส่วนใดผิดกฎหมายอย่างแน่นอน
 
คำถามคือใครต้องรับผิดชอบ?
 
ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 กำหนดให้ “พลุ” “ดอกไม้ไฟ” หรือ “ดอกไม้เพลิง” เป็นวัตถุอันตราย โดยจัดเป็นวัตถุระเบิดชนิดหนึ่ง เนื่องจากมีดินปืนเป็นส่วนประกอบหลัก
 
ฉะนั้นกฎหมายจึงกำหนดให้สถานประกอบการหรือโรงงานผลิตต้องตั้งอยู่ห่างจากชุมชม และได้รับใบอนุญาตที่ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมกับดำเนินการตามมาตรฐานความปลอดภัยทุกขั้นตอน
 
ที่สำคัญไม่อนุญาตให้ดัดแปลงที่พักอาศัยเป็นโรงงานผลิตพลุและดอกไม้ไฟ
ส่วนประกอบหลักของพลุและดอกไม้ไฟเกิดจากการผสมกันของสารเคมีหลากหลายชนิดที่สำคัญ หากมีความร้อนหรือประกายไฟเกิดขึ้น จะเกิดการระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
 
ตามประกาศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม (เป็น 5 หน่วยงานที่ต้องร่วมกันรับผิดชอบและตรวจสอบ) เรื่อง หลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับ ดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิงและวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง พ.ศ. 2547 ในส่วนของการผลิตมีข้อบังคับคือ

- กำหนดลักษณะของอาคาร สถานที่ หรือบริเวณที่ผลิตดอกไม้ไฟ ต้องไม่ตั้งอยู่ในชุมชน กำหนดระยะห่างจากอาคารอื่นๆ และห่างจากแนวรั้วอย่างน้อย 20 เมตรโดยรอบ
- ต้องเป็นอาคารเอกเทศชั้นเดียว
- ต้องติดสายล่อฟ้าที่มีประสิทธิภาพ
- อาคารต้องสร้างด้วยวัสดุไม่ติดไฟ มั่นคง แข็งแรง ป้องกันไฟจากภายนอกลุกลามเข้าภายในได้ พื้นต้องเป็นวัสดุที่ไม่ก่อประกายไฟ ราบเรียบ ไม่ลื่น ไม่แตก ทำความสะอาดง่าย ไม่ดูดซับของเหลวหรือสารเคมี ต้องถ่ายเทอากาศได้ดีและกำหนด
- ห้ามทำการใดๆหรือกิจการใดๆ ที่อาจทำให้เกิดประกายไฟหรือความร้อน เช่น การปรุงอาหาร การจุดธูปเทียน การเจาะ การเชื่อมและประสานโลหะหรือสิ่งอื่นใด เป็นต้น
 
-----------------
 
ขอบคุณภาพประกอบจาก รายการข่าวข้นคนข่าว เนชั่นทีวี
 


โรมลั่นโหวตนายกฯ4ส.ค. ต้องได้รัฐบาลปชช.ยันไม่ต้องพึ่งพรรคนั่งร้าน
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_592375/

“รังสิมันต์ โรม” เชื่อโหวตนายกฯ 4 สค. ต้องได้รัฐบาลประชาชนเท่านั้น ไม่ต้องดึงพรรคนั่งร้านของเผด็จการมาร่วม อย่าใช้ข้ออ้าง ม.112 เป็นเครื่องมือทำ 8 พรรคแตก
 
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ว่า 
 
สำหรับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะมีในวันที่ 4 สิงหาคม 2566 นี้ ผมเชื่อว่า 8 พรรคร่วมเราจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้โดยไม่ต้องดึงพรรคนั่งร้านของเผด็จการมาเข้าร่วม ผมทราบดีว่า สส. ทุกท่าน มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชน อันเป็นการเข้ามาด้วยกระบวนการที่กำหนดไว้ตามรัฐธรรมนูญ แต่เราก็ไม่สามารถลืมได้เช่นกันว่าพรรคการเมืองบางพรรคก็เป็นเครื่องมือให้เผด็จการใช้เป็นกลไกในการสืบทอดอำนาจมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
  
การจับมือกับ 2 ลุง นอกจากจะต้องไม่กลัวเสียงก่นด่าของพี่น้องประชาชนแล้ว ยังต้องละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมืองที่เรายึดมั่นและต้องเพิกเฉยต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประเทศและประชาชนในยุคเผด็จการได้ด้วย ซึ่งพรรคก้าวไกลไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน การไม่ยอมรับนโยบายของพรรคก้าวไกลเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 นอกจากจะเป็นการเอามาเป็นข้ออ้างแล้ว

ผมยังเชื่อว่าคนเหล่านั้นต่างหากที่ไม่ยึดมั่นในกระบวนการประชาธิปไตย เพราะไม่ว่ามติของรัฐสภาจะเป็นเช่นไร จะแก้ไขหรือไม่แก้ไข ก็เป็นเรื่องที่เราสามารถไปว่ากล่าวกันในสภาได้ แต่การไม่ยอมให้พรรคก้าวไกลนำเรื่องนี้ไปว่ากล่าวในสภาได้เลยต่างหากที่เป็นการเพิกเฉยต่อปัญหาของพี่น้องประชาชน ไม่ยอมทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนให้ตลอดรอดฝั่ง และกล่าวหาว่าทำให้สถาบันหลักสั่นคลอน
 
ดังนั้น ข้ออ้างว่าพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเรื่อง 112 จึงเป็นเพียงเครื่องมือในการทำลาย8 พรรคให้แตกออกจากกัน ทำให้เราต้องละทิ้งอุดมการณ์ทางการเมือง ละทิ้งคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อพี่น้องประชาชน และหาช่องทางสืบทอดอำนาจให้กับพรรคพวกของตนเองเท่านั้น

ถ้าหากเรามีเป้าหมายที่จะจัดตั้งรัฐบาลตามฉันทามติของประชาชน ตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับพี่น้องทุกท่าน ผมเชื่อมั่นว่าเราจะมีรัฐบาลนั้นได้ เราจะสามารถยุติการสืบทอดอำนาจของเผด็จการได้โดยไม่ต้องรอการเลือกตั้งครั้งต่อไป ผมขอให้พี่น้องประชาชนติดตามต่อไปครับ
 
https://www.facebook.com/rangsimanrome/posts/pfbid0YbCHwjstHvcpn54HCjuAnDFxE168jeXZcusxVibZFe6jYwYEPaPSNWHbUHT3TcNjl



กอน. ย้ำจ่ายเงินอ้อยสดไม่ได้ผล ปีนี้ลอบเผากระฉูด 33% ต้นตอ พีเอ็ม2.5
https://www.matichon.co.th/economy/news_4108500
 
กอน. ย้ำจ่ายเงินอ้อยสดไม่ได้ผล กางตัวเลขลักลอบเผา 3 ปีต่อเนื่องพุ่งไม่หยุด ปีนี้กระฉูดเฉียด 33% ต้นตอ พีเอ็ม2.5
 
นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(สอน.) กล่าวถึงความคืบหน้าข้อเรียกร้องชาวไร่ที่ขอให้ภาครัฐจ่ายเงินชดเชยตัดอ้อยสด ฤดูการผลิต2565/66 ว่า เมื่อเร็วๆนี้ คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(กอน.) ที่มี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ได้หารือถึงเรื่องดังกล่าวพบว่า ตัวเลขการลักลอบเผาอ้อย 3 ปีฤดูการผลิตที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่ามาตรการจัดการปัญหาการลักลอบเผา ด้วยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนให้ผู้ตัดอ้อยสดยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

เริ่มจากฤดูการผลิตปี 2563/2564 มีอ้อยถูกลักลอบเผา 17.61 ล้านตัน คิดเป็น 26.42% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด 66.66 ล้านตัน ฤดูการผลิตปี 2564/2565 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผา 25.12 ล้านตัน คิดเป็น 27.28% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด 92.07 ล้านตัน และฤดูการผลิตปี 2565/66 มีอ้อยที่ถูกลักลอบเผาสูงถึง 30.78 ล้านตัน คิดเป็น 32.78% จากปริมาณอ้อยเข้าหีบทั้งหมด 93.89 ล้านตัน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก
 
นอกจากนี้ยังสูงกว่าระบุในแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง” 2562 – 67 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.)มีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ที่กำหนดให้โรงงานน้ำตาลรับอ้อยไฟไหม้เข้าหีบได้ไม่เกิน 20% ต่อวัน ภายในปี 2564 และให้อ้อยไฟไหม้หมดไปภายในปี 2566 นอกจากนี้ปัญหาลักลอบเผายังมาจากกระบวนการป้องปรามของหน่วยงานภาครัฐอาจยังไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงได้มีการทบทวนมาตรการและกลไกที่อาจมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่เป็นภาระงบประมาณรัฐต่อไป
 
จากการหารือดังกล่าว ผู้แทนเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้ขอนำแนวทางและมาตรการที่ สอน. เสนอ กลับไปหารือก่อนจะนำข้อสรุปเสนอที่ประชุม กอน. ครั้งต่อไป ยืนยันว่าภาครัฐพร้อมหาแนวทางส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสด เพื่อลดพีเอ็ม 2.5 ดูแลสุขภาพของประชาชนและดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม” นายภานุวัฒน์กล่าว

นายภานุวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมยังรับทราบถึงแนวทางในการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่เกิดจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย ฤดูการผลิตปี 2566/2567 เพื่อให้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเติบโตอย่างยั่งยืน มีวัตถุดิบจากอ้อยสดคุณภาพดี และผ่านกระบวนการผลิตที่ได้รับมาตรฐาน ถูกกฎหมาย และไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสิ่งแวดล้อม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่