JJNY : เปิดสูตรตั้งรัฐบาลเพื่อไทย│เรียงคิวเจ๊ง! รร.เอกชน│ศาลรธน.อาจไม่รับคำร้องผู้ตรวจการฯ│โดรนชนตึกสูงกลางกรุงมอสโกซ้ำ

สัมภาษณ์พิเศษ “พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” เปิดสูตรตั้งรัฐบาลเพื่อไทยวัดปฏิกริยาของสังคม
https://www.matichon.co.th/matichon-tv/news_4107946
 
 
สัมภาษณ์พิเศษ “พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต” ผู้อำนวยการหลักสูตรการเมืองและยุทธศาสตร์การพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เปิดสูตรจัดตั้งรัฐบาลโดย “เพื่อไทย” จับตาปฏิกริยาของสังคมจะรับได้หรือไม่ ชมคลิป

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


เรียงคิวเจ๊ง! ‘โรงเรียนเอกชน’ แบกภาระหนี้-ขาดทุนไม่ไหว สช.รีบรุกแก้ปัญหา
https://www.dailynews.co.th/news/2581731/

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน รุกแก้ปัญหาโรงเรียนเอกชนเรียงคิวเจ๊ง เติมคุณภาพด้วยหลักสูตรฐานสมรรถนะให้โรงเรียนออกแบบหลักสูตรเอง หวังดึงผู้เรียน
 
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (กช.) เปิดเผยว่า ตามที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ส่งผลให้โรงเรียนเอกชนหลายแห่งได้รับผลกระทบแบกรับภาระหนี้และการขาดทุน โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนขนาดเล็กที่หลายแห่งได้ประกาศปิดกิจการลงนั้น ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) รับทราบปัญหาดังกล่าวเป็นอย่างดี และเราได้พยายามวางแนวทางการช่วยเหลือโรงเรียนเอกชนเหล่านี้ให้อยู่รอดต่อไปได้ 
 
ซึ่งขณะนี้ สช. ได้ขอทบทวนหลักเกณฑ์เงินกองทุนกู้ยืมโรงเรียนเอกชนในระบบอยู่ ซึ่งการทบทวนหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยเปิดทางให้โรงเรียนเอกชนได้ใช้เงินจากกองทุนนี้มาบรรเทาความเดือดร้อนได้ เพราะต้องยอมรับว่าโรงเรียนเอกชนไม่ได้เหมือนกับโรงเรียนของภาครัฐที่มีมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาล ดังนั้นตนมองว่าหากจะทำให้โรงเรียนเอกชนอยู่รอด จะต้องใส่เรื่องของคุณภาพเข้าไป

สิ่งที่ สช. กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้เพื่อแก้ปัญหาโรงเรียนเอกชนให้อยู่รอด คือ นำหลักสูตรฐานสมรรถนะเข้าไปสอดแทรกในการบริหารจัดการเรียนการสอน โดยให้โรงเรียนเอกชนได้ไปออกแบบหลักสูตรของตัวเอง เช่น การสร้างห้องเรียนอาชีพ ห้องเรียนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น เพราะหลักสูตรฐานสมรรถนะจะเป็นหลักสูตรที่เน้นส่งเสริมสมรรถนะของผู้เรียนในการปรับใช้องค์ความรู้ที่หลากหลายในสถานการณ์จริง ออกแบบกลยุทธ์และแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาโดยพลิกแพลงและอย่างยืดหยุ่นในระยะยาว พร้อมกับสื่อสารกับผู้ปกครองให้มากขึ้นว่าโรงเรียนแต่ละแห่งมีจุดเด่นด้านไหนอย่างไร และ สช. จะทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้ เนื่องจากผมมีนโยบายที่ต้องการให้โรงเรียนได้ออกแบบการพัฒนาโรงเรียนเอง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนจะต้องสร้างจุดแข็งของตัวเองให้ได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การปรับแนวทางดังกล่าวได้มีการนำร่องไปแล้วในโรงเรียนเอกชนหลายแห่ง และเร็วๆ นี้ จะโชว์ความสำเร็จของการปรับรูปแบบการบริหารจัดการโรงเรียนเอกชน เพื่อเป็นต้นแบบให้สถานศึกษาอื่นๆ ได้นำไปต่อยอดได้” เลขาธิการ กช. กล่าว


 
อัยการธนกฤต เผยแนวทางศาล รธน.อาจไม่รับคำร้องผู้ตรวจการฯ ผู้ร้องไม่ถูกละเมิดสิทธิโดยตรง
https://www.matichon.co.th/politics/news_4108080

อัยการธนกฤต ยกจุดชี้ขาดศาลรัฐธรรมนูญรับหรือไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้อาจไม่รับคำร้องหากเห็นว่าไม่ถูกกระทบสิทธิโดยตรง ยกเคสคำสั่งศาลเคยไม่รับคำร้อง ส.ส.ยื่นร้องรัฐสภาลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะไม่เป็นผู้ถูกกระทบสิทธิโดยตรงมาแล้ว
 
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ดร.ธนกฤต วรธนัชชากุล อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุดและอาจารย์ผู้บรรยายวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความและกฎหมายพยานหลักฐาน ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ความเห็นทางกฎหมายผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า จุดชี้ขาดศาลรัฐธรรมนูญรับหรือไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน
 
ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีการพิจารณาว่าจะรับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ในวันที่ 3 สิงหาคม 2566 นั้น ผมขอให้ความเห็นทางวิชาการด้านกฎหมายในเรื่องนี้ เพื่อให้ความรู้ทางกฎหมายแก่ท่านที่สนใจ โดยไม่มีวัตถุประสงค์ หรือจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะสนับสนุนพรรคการเมือง หรือขั้วการเมืองฝ่ายใดทั้งสิ้น
 
จุดชี้ขาดสำคัญที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินในกรณีนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 โดยพิจารณาจากผู้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและประชาชนว่าเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงหรือไม่ จากการกระทำของรัฐสภาที่ลงมติว่าการเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาเห็นชอบเพื่อแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นญัตติ ซึ่งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2563 ข้อ 41
 
สำหรับกรณีนี้ หากพิจารณาข้อกล่าวอ้างในประเด็นเรื่องบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการลงมติของรัฐสภา ถ้าหากจะมีเกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดเจนน่าจะเป็น คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งถูกละเมิดสิทธิในการได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีตามกระบวนการที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่คุณพิธาไม่ได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน แต่กลับเป็น ส.ส.และประชาชนจำนวนหนึ่งเป็นผู้ร้องเรียน
 
ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ส.ส.และประชาชนผู้ร้องเรียนไม่ได้เป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของรัฐสภาที่ลงมติดังกล่าว ศาลรัฐธรรมนูญก็อาจมีคำสั่งไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินไว้พิจารณาวินิจฉัย และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุติการเลือกนายกรัฐมนตรีไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ย่อมเป็นอันตกไปด้วย
นอกจากนี้ หากพิจารณาแนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านๆ มา ศาลรัฐธรรมนูญได้วางแนวคำวินิจฉัยมาโดยตลอดว่า ผู้ร้องต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรงจากการกระทำของผู้ถูกร้อง
 
ดังตัวอย่าง คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2565 ที่วินิจฉัยว่า ตามที่ นายระวี มาศฉมาดล ส.ส.พรรคพลังธรรมใหม่ ยื่นคำร้องว่าการลงมติของรัฐสภาที่ให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม โดยแก้ไขให้มีจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 คน และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และกำหนดให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องในฐานะ ส.ส. ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ขัด หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำโดยที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ซึ่งเป็นการกระทำทางนิติบัญญัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐธรรมนูญกำหนด ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิ หรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญโดยตรง เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นของผู้ร้องในฐานะหัวหน้าพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของรัฐสภาที่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น จึงมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
 
คลิก เพื่ออ่านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 18/2565 จำนวน 6 หน้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่