JJNY : อานนท์แนะก้าวไกล-เพื่อไทย│‘อดีตคณบดีนิติฯมธ.’ไม่เห็นด้วย ปมผู้ตรวจฯ│อุทธรณ์ยืนคุกอดีตสส.พปชร.│พ่อค้าข้าวแกงโอด

อานนท์ ขอประชาชนอย่าเป็นศัตรูกันเอง แนะก้าวไกล-เพื่อไทยต้องระวัง ค่อยๆ เดินหน้าตั้ง รบ.
https://www.matichon.co.th/politics/news_4097337
 
 
อานนท์ ขอประชาชนอย่าเป็นศัตรูกันเอง แนะ ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ ต้องระวัง ค่อยๆ เดินหน้าตั้งรัฐบาล
 
จากกรณีที่ พรรคก้าวไกล (ก.ก.) มอบให้ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมดำเนินการหาเสียง ส.ส.และ ส.ว.เพิ่มเติม โดยพรรค พท.จะนำเสนอคำตอบของพรรคการเมืองที่ได้หารือร่วมกันไปก่อนหน้านี้ทั้ง 5 พรรค รวมทั้งเสียงสะท้อนของ ส.ว.ว่ามีความเห็นและเงื่อนไขอย่างไรต่อที่ประชุม 8 พรรคร่วม เบื้องต้นมีการนัดประชุมเวลา 15.00 น. วันที่ 25 กรกฎาคม ที่รัฐภา

ประเด็นนี้ นายอานนท์ นำภา ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน แสดงทรรศนะทางเฟซบุ๊กความว่า 
 
หลักใหญ่คือประชาชนต้องไม่เป็นศัตรูกันเอง
ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลต้องระวังจุดนี้
 
เส้นแบ่งคืออะไรก็เรียนรู้ไปด้วยกันครับ มันเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายประชาธิปไตยเชียร์คนละพรรคชัดเจน
อย่าเอาบางเรื่องบางราวมาเป็นเหตุให้บาดหมางจนเลยเถิด คนล้ำเส้นมีน้อยนิด คนมีสติมีล้นหลาม
 
ค่อยๆ เดินครับ

https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=9709895949051714&id=100000942179021&ref=embed_post



‘อดีตคณบดีนิติฯมธ.’ ไม่เห็นด้วย ปมผู้ตรวจฯยื่นศาล รธน.ตีความมติรัฐสภา ตัดสิทธิชื่อพิธา พร้อมสั่งรอคำตัดสิน
https://www.matichon.co.th/politics/news_4097263

‘อดีตคณบดีนิติ มธ.’ ไม่เห็นด้วย ปมผู้ตรวจฯยื่นศาล รธน.ตีความมติรัฐสภา ตัดสิทธิชื่อพิธา พร้อมสั่งสภารอคำตัดสิน
 
เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม นายพนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กไม่เห็นด้วยที่ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภาส่งเรื่องการที่สภามีมติใช้ข้อบังคับที่ 41 การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 2 ว่าเป็นญัตติซ้ำ ไม่สามารถเสนอกลับมาได้ ว่าไม่เห็นด้วยที่เอะอะอะไรก็จะนำเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แถมดันไปขอศาลให้สั่งรัฐสภาให้หยุดทำงาน รอจนกว่าศาลจะตัดสินเสียก่อนด้วย อย่างนี้มันทำให้อำนาจนิติบัญญัติต่ำเตี้ยลงไปกว่าอำนาจตุลาการมากยิ่งขี้นไปอีก จนเสียสมดุลระหว่างอำนาจอธิปไตย 3 อำนาจไปโดยสิ้นเชิง
 
ผิดหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตย และหลักอำนาจรัฐสภาธิปัตย์ (Parliamentary Sovereignty) กลายเป็นตุลาการธิปัตย์ (Judicial Sovereignty) ซึ่งหนักข้อยิ่งกว่าตุลาการภิวัตน์ (Judicial Activism) ขึ้นไปอีก ความจริงเรื่องความผิดพลาดของรัฐสภาที่ดันลงมติว่า การเสนอชื่อบุคคลให้รัฐสภาลงมติให้ความเห็นชอบเป็นนายกรัฐมนตรีถือว่าเป็นญัตตินั้นรัฐสภามีอำนาจแก้ไขความผิดพลาดของตนเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดให้หรอก
 
https://www.facebook.com/t.panat/posts/pfbid0Am1TvRSkYHYXTbfjHevgXD2t6q5tL5FzfVQJhGAz724AshuKSqa1fco9vbpZp5wrl
 


อุทธรณ์ยืนคุก 'ธณิกานต์' อดีตสส. พลังประชารัฐ ปมเสียบบัตรแทนกัน
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_7782340

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนคุก 1 ปี ปรับ 2 แสน ‘ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์’ อดีต สส.กทม. พรรค พปชร. ใช้อำนาจหน้าที่มิชอบเสียบบัตรแทนกัน
 
วันที่ 25 ก.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.9/2566 ที่อัยการสูงสุดยื่น ฟ้อง น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ สส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ (ตำแหน่งขณะเกิดเหตุ)

กรณีเมื่อวันที่ 8 ส.ค.62 จำเลยในฐานะ สส. ลงชื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่ได้ลาประชุม ระหว่างเวลาประมาณ 13.30-15.00 น. ซึ่งมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. … จำเลยไม่ได้อยู่ในที่ประชุมและได้ฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไว้กับ สส.รายอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยอยู่ในความครอบครองของสส.รายอื่นโดยความยินยอมของจำเลย
 
เพื่อให้ สส.รายนั้นใช้บัตรของจำเลยแสดงตนและลงมติแทน โดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์รู้เห็นยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของ ตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน ขอให้ลงโทษตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 172
 
เมื่อวันที่ 3 ส.ค.65 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พรป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำคุก 1 ปี และปรับ 2 เเสนบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี
 
จำเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้โอกาสโจทก์และจำเลยนำพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายเข้าไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยแล้ว และยังได้เรียกพยานบุคคลมาไต่สวนเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรด้วย
 
ฉะนั้น การที่ศาลจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ได้ความตามทางไต่สวน ทั้งหมดประกอบกัน หาใช่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฟังแต่เพียงสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่จำเลยแต่ฝ่ายเดียวตามที่จำเลยอุทธรณ์ไม่
 
เมื่อทางไต่สวนได้ความจากประจักษ์พยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 8 ส.ค.62 จำเลยจัดทำโครงการเสวนาแบ่งปันความรู้บทบาทแม่ยุคดิจิทัล ที่ห้องประชุมชั้น 5 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ เลขที่ 1256/9 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต เมื่อจำเลยมาถึงงานได้มีการพูดคุยเตรียมงานก่อนขึ้นเวทีเสวนากับพยาน
 
ต่อมาพิธีกรได้เชิญขึ้นเวทีเสวนาขณะนั้น เวลาประมาณ 13.30 น. โดยมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ใช้เวลาเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง 15 นาที ก่อนออกจากสถานที่จัดงาน พยานกับจำเลยได้ถ่ายรูปร่วมกันบนเวที จากนั้นพยานใช้เวลาอีกประมาณ 15 นาที ในการพูดคุยกับผู้มาร่วมงานจนถึงเวลา 15.00 น. จึงออกจากสถานที่จัดงาน
 
โดยมีบันทึกไทม์ไลน์ส่วนตัวที่บันทึกไว้ใน Google Maps ยืนยันช่วงเวลาสัมพันธ์กับคำเบิกความของพยาน และสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอนและใกล้เคียงกับเวลาการจัดงานเสวนา นอกจากนี้พยานจำเลยซึ่งเป็น ผู้จัดงาน (ออแกไนเซอร์) เบิกความว่า จำเลยมาถึงงานเสวนาเวลาประมาณ 13.30 น. และทุกคนลงจากเวทีเวลาประมาณ 14.00 น.
 
ประกอบกับจำเลยมีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ในระหว่างการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว จำเลยมีกิจธุระสำคัญต้องออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปร่วมงานเสวนาวิชาการโครงการกิจกรรมเวทีสาธารณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แก่แม่และเด็กในชุมชน และจำเลยยังแจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวน สน.บางโพ ว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตนและลงมติในวาระที่หนึ่ง เวลา 13.41 น. และวาระที่สาม เวลา 14.01 น. เพราะรีบออกไปร่วมงานเสวนา
 
อันเป็นการยืนยันว่า จำเลยไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเวลาที่เกิดเหตุ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยลงมติด้วยตนเองครั้งสุดท้ายเวลา 13.22 น.
 
ต่อมาในการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. … มีการลงมติ 2 ครั้ง โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย คือเวลา 13.41 น. และ 14.03 น. อันเป็นการลงมติต่อเนื่องจากเวลา 13.22 น. แสดงว่ามีบุคคลรู้ว่าจำเลยออกจากห้องประชุมเมื่อใด และจะกลับเข้ามาประชุมอีกหรือไม่ รวมทั้งต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยในครอบครองเพื่อลงมติแทนจำเลยได้
ทั้งเมื่อจำเลยกลับมาจากงานเสวนาก็ได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเองลงมติในการแสดงตน และลงมติพิจารณาระเบียบวาระต่อไปอีกหลายครั้งจนปิดการประชุม พฤติการณ์บ่งชี้ว่าต้องมีการคบคิดปรึกษากันมาก่อน ที่จำเลยมีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งแรกยอมรับว่าจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุม แต่ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือขอชี้แจงข้อเท็จจริงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า จำเลยลงมติร่าง พ.ร.บ.เหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. … ด้วยตนเอง
 
ต่อมากลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตนและลงมติดังกล่าว และเบิกความต่อศาลสรุปความได้ว่า จำเลยไปร่วมงานเสวนา การแสดงผลลงมติตามฟ้องน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของระบบ หรืออาจมีผู้อื่นกดปุ่มลงมติโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย การให้การของจำเลยจึงมีลักษณะกลับไปกลับมาไม่น่าเชื่อถือ
 
ข้ออ้างของจำเลยที่ว่า จำเลยอยู่ลงมติด้วยตนเองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งการที่ผลแสดงตนหรือลงมติจะมีชื่อสมาชิกคนใดลงคะแนนอย่างไร พยานโจทก์เบิกความว่า สส.ต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเสียบเข้าเครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ กับต้องกดปุ่มแสดงตนหรือลงมติด้วย ดังนั้น หากไม่มีการเสียบบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน
 
และลงมติที่เครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์และกดปุ่มแล้ว หรือมีการเสียบบัตรค้างไว้แต่ไม่ได้กดปุ่มใดย่อมไม่ อาจเกิดการประมวลผลใด ๆ ขึ้นได้ สำหรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการประชุมเป็นข้อผิดพลาดในขั้นตอนของการประมวลผล ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของระบบลงคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ
และในวันที่ 8 ส.ค.62 จำเลยได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติก่อนและหลังเวลาเกิดเหตุหลายครั้ง แต่จำเลยกลับโต้แย้งเฉพาะเวลา 13.41 น. และ 14.01 น. ว่าระบบขัดข้องหรือผิดพลาด หากจําเลยลงมติด้วยตนเองจริง จำเลยย่อมต้องแจ้งต่อที่ประชุมสภาถึงข้อผิดพลาดนั้นในทันที เชื่อว่าระบบการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน และลงมติไม่เกิดข้อขัดข้องหรือผิดพลาดดังที่จำเลยอ้าง
 
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐานแวดล้อมมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลย ฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไว้กับ สส.อื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ใน ความครอบครองของ สส.อื่นโดยความยินยอมของจำเลยเพื่อให้สส.นั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยลงมติแทนตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงพิพากษายืน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่