ฤกษ์งามยามดี ขอมารีวิวการใช้ชีวิตตอนเรียนที่ญี่ปุ่น แชร์เพื่อนๆ หน่อยนะคะ
เริ่มจากการตัดสินใจมาเรียนก่อน
เราเรียนจบป.ตรี ก็ทำงานเลย ทำไปได้ 1 ปี มันหมดไฟ เบื่อไปหมด เลยตัดสินใจเรียน ป.โท เสาร์ อาทิตย์
แต่พอเรียนไปสักพัก ประมาณ 1 ปี ก็อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอี๊กก เพราะอยากสื่อสารกับนายรู้เรื่อง (เราทำงานบ.ญี่ปุ่นค่ะ)
ทีนี้ เรียนออนไลน์เอง แล้วสนุก ก็นึกคึก อยากไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นเลย เพราะเราก็ชอบประเทศนี้อยู่แล้ว
ด้วยความที่เงินเริ่มหมด เพราะค่าใช้จ่ายป.โท เลยจะหาทุนไปเรียน นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเคยไปแบบทุนเปล่า
ก็ได้ความหลังคุยกับเพื่อน เราเข้าไปดูในเพจโครงการ ช่วงโควิด จากทุนค่าเล่าเรียน 60% ก็กลายเป็น 100% สุดยอดมาก
จะมีจ่ายเพิ่มคือ จ่ายค่าบำรุงรักษาโรงเรียน 100,000 เยน ค่าหนังสือเรียน ค่าหอพักจ่ายเอง 50%
ค่าไฟจ่ายเอง แต่ค่าน้ำ ค่าแก๊สไม่มี เพราะเป็นห้องน้ำรวม มีอาหารให้วันธรรมดา เช้า-เย็น
มีรถบัสรับส่งไปโรงเรียน (รรอยู่บนเขา) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าประกันสุขภาพ สรุปแล้ว น่าสนใจมาก !
หลักสูตรเรียนภาษาญี่ปุ่นมีหลายแบบค่ะ แต่ทุน 100% มีแต่หลักสูตร ปีครึ่งกับสองปีเท่านั้น เลยเลือกปีครึ่งค่ะ
ส่วนหลักสูตรน้อยกว่าปีครี่งจะมีค่าใช้จ่าย และเรียนคนละรร แต่เมืองเดียวกันค่ะ (รรไฮโซ หรูหราหมาเห่ามาก)
พอตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ ควบคู่ไปกับการเรียนโทด้วย
เพราะเงื่อนไขทุนต้องมี N5 ค่ะ เราเรียนเอง ประมาณ 5 เดือน ก็ไปสอบ
สรุปก็สอบผ่าน แล้วก็สมัครทุนเลยค่ะ เราจบโทเดือน 8 ปลายๆ ส่วนจริงๆ รรที่ญี่ปุ่นควรเปิดเทอมเดือนตุลา
แต่ติดโควิด เลยเลื่อนเป็นปลายเดือนพฤศจิกายนแทนค่ะ
พอทุกอย่างจบเรียบร้อย ก็บินเลยค่ะ (วีซ่าเอย ยื่นเอกสารต่างๆเอย) ลืมบอกว่าโรงเรียนอยู่ฮอกไกโดนะคะ
เมืองค่อนข้างไกล ไม่มีแสงสีเสียง เหมาะแก่การตั้งใจเรียนสุดๆ (555555)
ตอนที่เราไป ยังห้ามบินตรงไปที่อื่น ต้องลงโตเกียวเพื่อกักตัวก่อนเท่านั้นค่ะ
ส่วนโรงแรม กับค่ากินอยู่ตอนกักตัว โรงเรียนออกให้หมดนะคะตอนนั้น
กักตัวเสร็จ ก็บินไปชิโตเสะ ขึ้นบัสที่โรงเรียนจัดมาให้ไปที่
หอค่ะ
เรื่องหอพัก
หอมีสองที่ค่ะ หอหญิง (ห้องคู่) กับหอรวม แยกชาย-หญิงค่ะ
เราอยู่หอรวม เพราะมีห้องเดี่ยว (ที่ไม่เดี่ยว มอหอ)
ห้องเดี่ยวคือเตียงสองชั้น แล้วกั้นผนังค่ะ ชั้นบนห้องนึง ชั้นล่างห้องนึง
ผนังแข็งแรง แต่บางเฉียบ เราได้เตียงบน ห้องติดกันเตียงล่าง แค่คุยโทรศัพท์ยังเกรงใจจ
แต่สีทนได้ค่ะ ทนไปค่ะ สู้ เมากลับห้องก็คือนอนพื้นข่ะ เคยปีนไปแล้วตก หลอนมาก
สภาพอากาศ
หนาวมากแม่! เราเคยมาเที่ยวฮอกไกโดครั้งนึงแล้ว รู้แหละว่าหนาว แต่พอมาอยู่ มันต่างจากแค่มาเที่ยวจริงๆ
เราเอาเสื้อขนแกะ บุอุ่นด้านใน มาตัวนึง กับกองทัพ Heattech แล้วก็มีไปซื้อแจคเกต เสื้อโค้ท ร้านมือสอง สภาพดีมาก มาใช้บ้าง
4 ฤดูที่นี่ มีแค่ฤดูร้อนเท่านั้นที่ร้อนตับจะแตก ประมาณ เดือนกว่าๆ เกือบ สองเดือน แบบห้องไม่มีแอร์ ตั้งไปซื้อพัดลมมากัน
ร้อนจะตาย บอกเลย แต่พอฤดูอื่นเช่น ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง จะอากาศดีมาก เย็นๆ สบายๆ พอหน้าหนาวก็หน๊าวหนาวหนาว
ร้อนทีขึ้นไปถึง 37 หนาวทีลงไปถึง -26 ร่างกายงงค่ะ สับสนไปหมดแล้ว
การใช้ชีวิต
พอไปอยู่จริงๆ ค่าใช้จ่ายบานเบอะกว่าที่คิด (ไม่ค่อยสงสัย)
หลักๆ ค่าใช้จ่ายที่สูงของเรา คือ ของกินค่ะ เราทำทำกับข้าวไม่เป็น เลยไปกินที่ร้านบ่อย
แถมสายดื่มอีก ดื่มที ก็เบียร์ทั้งแพคไปเลย กินจนเจ้าของหอกุมขมับบบบ
ทุนนี้ได้เงินใช้ด้วยนะคะ เป็นเงินเข้าบัตรเมืองซึ่งสามารถใช้กับซุปเปอร์ หรือร้านอาหารในเมืองที่ร่วมโครงการค่ะ
ได้เดือนละ 8,000 เยน ก็ไม่ได้มากอะไร แต่ก็ซื้อของมาทำกับข้าวเสาร์ อาทิตย์ได้พออยู่นะ สำหรับเรา
อีกเรื่องคือค่าไฟค่ะ แรกๆ เราไม่รู้ว่าการเปิดฮีตเตอร์เนี่ย มันกินไฟมาก พอค่าไฟเดือนแรกออกมา
ลมแทบจับ! เพราะความที่มันหนาวมากเนอะ เราก็ไม่รู้อีกว่ากินไฟ ลองไปสักเดือน สองเดือน ไม่ไหวแล้ว แพง
ก็แก้ปัญหาค่าไฟด้วยการ นั่งอ่านหนังสือที่โรงอาหารจนเวลาปิด เปิดฮีตเตอร์แค่ 30 นาทีก่อนนอน
ห่มผ้าหนาๆ หลายๆชั้น สรุป ค่าไฟก็จ่ายน้อยลงในเดือนต่อๆ มา ค่ะ
แก้ปัญหาเงินขาดมือด้วยการทำงานพิเศษ จะทำงานพิเศษได้ ต้องเรียนครบ 3 เดือนก่อนค่ะ
เอ้อ ! ถ้าจะทำงานพิเศษ ต้องกรอกเอกสารแจ้งทางตม.ก่อนนะคะ จะได้ประทับตราในไซริวการ์ด (บัตรต่างด้าว)
ถ้าไม่มีตรานี้จะทำงานพิเศษไม่ได้ค่ะ ทำงานได้สัปดาห์ละ 28 ชั่วโมง ช่วงหยุดยาวได้เยอะขึ้นค่ะ
งานพิเศษนี่ถ้าทำเต็มที่ได้เดือนละ100,000เยนขึ้นเลยนะ แต่เราต้องอ่านหนังสือด้วย เลยทำแค่พอใช้ค่ะ
*ความรู้สึกหลังทำงานพิเศษคือ ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน หรือคนทำงาน คุณมีโอกาส และมีเงินพอ
ที่จะทานข้าวร้านอาหารดีๆได้ เท่ากัน เพราะงานพิเศษได้เงินไม่น้อยค่ะ เด็กๆ เริ่มทำงานตั้งแต่ม.ปลาย
เก็บเงินไปเที่ยวกัน ไปทานอาหารดีๆกัน เห็นแล้ว รู้สึกดีปนเศร้าค่ะพอคิดถึงตอนตัวเองทำงานพิเศษที่ไทย
ปัญหาที่เจอตอนทำงานพิเศษ
แน่นอนว่าเป็นเรื่องการสื่อสารค่ะ เราทำงานร้านซูชิโระ เราทำงานตั้งแต่ภาษายังไม่แข็งแรง
(ทุกวันนี้ก็ยังไม่แข็งแรง) เลยมีสื่อสารผิดพลาดบ้างค่ะ แต่ไม่เคยแปะหน้าซูชิผิดนะ 55555
มีแต่ฟังคำสั่ง หรือการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าลำบากหน่อย
มีการเหยียดบ้าง แบบว่าเราทำส่วนนี้อยู่ ก็มีคนญี่ปุ่นบอกว่า ชั้นจะทำตรงนี้ เทอไปทำข้างหลังไป
คือนางจะทำกับเพื่อน แล้วก็พูดภาษาญี่ปุ่น ว่าเราไม่ดี อันนี้คือพอฟังเข้าใจบ้างนะคะ แต่ก็ไม่ได้สนใจ
อีกเรื่องคือสังขารค่ะ เราไม่ใช่เด็กจบใหม่เนอะ มีอายุเล็กน้อย ต้องยืนติดกัน 4-5 ชั่วโมง เราปวดหลังมาก
แต่ก็ทนทำไป เพราะได้เงินเยอะ ยิ่งช่วงหยุดยาวได้เพิ่มด้วย เลยทำไปค่ะ ฝึกตัวเองด้วย
อีกเรื่องคือการเดินทาง จากเมืองที่เราอยู่ ไปตัวเมืองใหญ่ ต้องนั่งบัสไปค่ะ ไม่มีรถไฟ
แล้วรอบรถคือน้อยมากๆ ต้องจัดการกะที่จะลงที่ร้านให้ดีๆ เอาจริงนะ เดินทางเหนื่อยกว่าทำงานอีก
สุดท้ายเราลาออกจากงานก่อนเข้าหน้าหนาวสุดท้าย เพราะไม่ไหวจริงๆ
การเรียนที่โรงเรียน
ก่อนเริ่มเรียนจะมีสอบวัดความรู้ค่ะ แต่เราเลือกได้ว่าอยากเรียนคอร์สเริ่มแรกไหม
ตัวเราเลือกเรียนคอร์สที่เริ่มตั้งแต่แรกเลย เพราะอยากทวนที่เคยเรียนเองมาด้วยค่ะ
มาเริ่มเลยค่ะ あ い う え お
อ่านหนังสือทุกวัน ทำงานพิเศษ แทบทุกวัน เหนื่อยแต่สนุกค่ะ
เรียนทั้งหมดประมาณ 1 ปี 3 เดือน แต่สอบ JLPT รอบสุดท้ายที่ 1 ปีค่ะ
เราไปญี่ปุ่นด้วย N5 เรียน 1 ปี ได้ N2 ค่ะ เหนื่อยแบบว่า พูดไม่ถูกเลย
ครั้งแรกสอบ N3 ผ่านปริ่มเลยค่ะ ครั้งที่สอง สอบ N2 คะแนนสูง ตกใจ เฮ้ย ได้พาร์ทฟังเต็ม!
ตื้นตันใจพูดไม่ออกเลย อันนี้ยกความดีความชอบให้แฟนไต้หวันนะคะ เพราะต้องคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น
เลยเหมือนได้ฝึกไปในตัวว (แหม จะอวดใช่ไหมจริงๆ แล้ว หน็อยยย)
แต่ว่านะคะ ข้อเสียของการเรียนเร็วเกินไป คือการไม่เข้าใจไปถึงรากของภาษาที่แท้จริงค่ะ
เราพูดได้ เขียนได้ อ่านได้ ฟังได้ แต่พูดยังไงดี มันไม่เหมือนกันการซึมซับการเรียนภาษาอังกฤษมาหลายๆปีอะ
ตอนนี้เราเลยยังเรียนอยู่แบบ เริ่มเรียนของ N3 ใหม่เลย ออนไลน์ (ฮ่าๆ)
โรงเรียนเราสอน N5/N4 ด้วย มินนะ โนะ นิฮงโกะ ส่วน N3/N2/N1 เรียนด้วย Shinkanzen master ค่ะ
อื่นๆ ก็จะมีเรียนคำศัพท์ เรียนการอ่าน การฟัง เรียนคันจิ (มีแค่แรกๆ หลังๆต้องฝึกเอง) เรียนพูดจะน้อยค่ะ เน้นสอบ
มีสอบจำลอง JLPT บ่อยมาก มากจนหลอน คะแนนแปะหน้าห้อง รู้หมด อายมาก
แต่ดีค่ะ ได้รู้ว่าเราอ่อนอะไร เราเนี่ยคลังคำศัพท์ในหัวน้อยมาก จนถึงทุกวันนี้ ฮื่อ
เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันก็มีหลากหลายเชื้อชาติค่ะ เช่นไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม อุซเบกิสถานยังมี
ถ้าเรียนคลาสเดียวกัน ก็อยู่ด้วยกันแบบนั้นไปจนเรียนจบค่ะ เลยสนิทกันมาก
กิจกรรมต่างๆ ของรรเราจะ น้อยกว่า รรในเมือง เพราะรรเราไม่มีตังนั่นเอง แฮ่!
อีกอย่างคือมีโควิดด้วย เลยงดกิจกรรมไปเยอะเลย เศร้า ยังดีก่อนเรียบจบจัดกีฬาสีได้งานนึงงงง
นอกนั้นก็มีไปเที่ยวกันเอง แรกๆ หอไม่ปล่อย กลัวเอาโควิดกลับมา แต่หลังๆ ยอมปล่อยบ้าง
ก็ไปเที่ยวกันค่ะ เช่ารถไป (คนไทยเช่าไม่ได้นะคะ เพราะว่าไม่ใช่วีซ่าท่องเที่ยว ใช้ใบขับขี่สากลไม่ได้)
แต่คนไต้หวันเช่าได้นะคะ กฎการขับขี่เขาเหมือนกัน เลยใช้ใบขับขี่ร่วมกันได้
เราก็บังคับเพื่อนให้พาไปเที่ยวกันนะคะ จ่ายค่าน้ำมันให้ หารกัน ไปคันละ 5 คน สนุกมากก
ไปบ่อน้ำสีฟ้ามั่ง ไปสวนสัตว์มั่ง ดูเพนกวินพาเหรด น่ารักมากๆค่ะ
วันสุดท้ายของการเรียนไปถึงพิธีจบการศึกษา จะมีเวลาพักค่ะ บางคนก็ไปเที่ยวโอซาก้า
บางคนไปเที่ยวโตเกียว บางคนไปสัมภาษณ์งาน บางคนอยู่หอ มารวมตัวเล่นกันที่ส่วนกลาง
หลังจากพิธีจบการศึกษายังอยู่ญี่ปุ่นได้อีกหน่อยนึง ก็แยกย้ายกันค่ะ
กลุ่มคนไทย ก็มีทั้งกลับบ้าน ทำงานต่อ เรียนต่อ ซึ่งรรเราเนี่ย เป็นเซมมงดูแลคนแก่ด้วยนะคะ
สามารถเรียนต่อได้ น่าจะเรียนต่อ 2 ปี เรียนฟรี หอฟรี เรียนจบบังคับทำงานฮอกไกโด 2 ปี ได้เงินเดือนปกติค่ะ
นอกจากนี้ถ้าอยากต่อเซมมงสาขาอื่นก็สามารถสมัครสอบได้ปกติค่ะ
ตอนแรกเราไม่คิดจะหางานที่ญี่ปุ่นเลย กะจะกลับบ้านไปทำงานที่ไทย
แต่บังเอิ๊ญญญญ เรียนๆไป ดั๊นนนมีแฟนเป็นคนไต้หวัน ซึ่งเด็กกว่า และกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยที่โตเกียว
ด้วยความที่เราก็นะ ครอบครัวก็สำคัญ แต่ ..ผู้ชายก็สำคัญไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่ เลยยกหูหาแม่
"แม่ ไม่กลับละนะ จะหางานที่นี่ เดี๋ยวบินกลับไปหาบ่อยๆ น้าค้า" วางสาย แม่ทักไลน์มาสวดต่อ
เห็นผู้ชายสำคัญกว่าแม่ ในใจตอบว่าใช่ค่ะ แต่จริงๆ พิมพ์ไปง้องอนแม่อยู่นานสองนาน
หลังจากตรากตรำสัมภาษณ์ ท้อแล้วท้ออีก ก็ได้งานจนได้ค่ะ วันนี้เขียนแค่ตอนเรียนพอก่อน
ถ้าว่างอีกจะเขียนช่วงทำงานต่อนะคะ วันนี้ ขอบคุณที่สนใจกระทู้ และอ่านจนจบค่า
ไม่แน่ใจว่าผิดกฎไหม เลยไม่ได้แปะลิงค์เพจทุนค่ะ ถ้าใครสนใจก็หลังไมค์มานะคะ
รีวิว เรียนภาษาญี่ปุ่นที่ญี่ปุ่น (ทุนค่าเล่าเรียน100%) กับการใช้ชีวิตทั่วไป
เริ่มจากการตัดสินใจมาเรียนก่อน
เราเรียนจบป.ตรี ก็ทำงานเลย ทำไปได้ 1 ปี มันหมดไฟ เบื่อไปหมด เลยตัดสินใจเรียน ป.โท เสาร์ อาทิตย์
แต่พอเรียนไปสักพัก ประมาณ 1 ปี ก็อยากเรียนภาษาญี่ปุ่นอี๊กก เพราะอยากสื่อสารกับนายรู้เรื่อง (เราทำงานบ.ญี่ปุ่นค่ะ)
ทีนี้ เรียนออนไลน์เอง แล้วสนุก ก็นึกคึก อยากไปเรียนภาษาที่ญี่ปุ่นเลย เพราะเราก็ชอบประเทศนี้อยู่แล้ว
ด้วยความที่เงินเริ่มหมด เพราะค่าใช้จ่ายป.โท เลยจะหาทุนไปเรียน นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเคยไปแบบทุนเปล่า
ก็ได้ความหลังคุยกับเพื่อน เราเข้าไปดูในเพจโครงการ ช่วงโควิด จากทุนค่าเล่าเรียน 60% ก็กลายเป็น 100% สุดยอดมาก
จะมีจ่ายเพิ่มคือ จ่ายค่าบำรุงรักษาโรงเรียน 100,000 เยน ค่าหนังสือเรียน ค่าหอพักจ่ายเอง 50%
ค่าไฟจ่ายเอง แต่ค่าน้ำ ค่าแก๊สไม่มี เพราะเป็นห้องน้ำรวม มีอาหารให้วันธรรมดา เช้า-เย็น
มีรถบัสรับส่งไปโรงเรียน (รรอยู่บนเขา) ค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าประกันสุขภาพ สรุปแล้ว น่าสนใจมาก !
หลักสูตรเรียนภาษาญี่ปุ่นมีหลายแบบค่ะ แต่ทุน 100% มีแต่หลักสูตร ปีครึ่งกับสองปีเท่านั้น เลยเลือกปีครึ่งค่ะ
ส่วนหลักสูตรน้อยกว่าปีครี่งจะมีค่าใช้จ่าย และเรียนคนละรร แต่เมืองเดียวกันค่ะ (รรไฮโซ หรูหราหมาเห่ามาก)
พอตัดสินใจได้แล้วก็เริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นออนไลน์ ควบคู่ไปกับการเรียนโทด้วย
เพราะเงื่อนไขทุนต้องมี N5 ค่ะ เราเรียนเอง ประมาณ 5 เดือน ก็ไปสอบ
สรุปก็สอบผ่าน แล้วก็สมัครทุนเลยค่ะ เราจบโทเดือน 8 ปลายๆ ส่วนจริงๆ รรที่ญี่ปุ่นควรเปิดเทอมเดือนตุลา
แต่ติดโควิด เลยเลื่อนเป็นปลายเดือนพฤศจิกายนแทนค่ะ
พอทุกอย่างจบเรียบร้อย ก็บินเลยค่ะ (วีซ่าเอย ยื่นเอกสารต่างๆเอย) ลืมบอกว่าโรงเรียนอยู่ฮอกไกโดนะคะ
เมืองค่อนข้างไกล ไม่มีแสงสีเสียง เหมาะแก่การตั้งใจเรียนสุดๆ (555555)
ตอนที่เราไป ยังห้ามบินตรงไปที่อื่น ต้องลงโตเกียวเพื่อกักตัวก่อนเท่านั้นค่ะ
ส่วนโรงแรม กับค่ากินอยู่ตอนกักตัว โรงเรียนออกให้หมดนะคะตอนนั้น
กักตัวเสร็จ ก็บินไปชิโตเสะ ขึ้นบัสที่โรงเรียนจัดมาให้ไปที่หอค่ะ
เรื่องหอพัก
หอมีสองที่ค่ะ หอหญิง (ห้องคู่) กับหอรวม แยกชาย-หญิงค่ะ
เราอยู่หอรวม เพราะมีห้องเดี่ยว (ที่ไม่เดี่ยว มอหอ)
ห้องเดี่ยวคือเตียงสองชั้น แล้วกั้นผนังค่ะ ชั้นบนห้องนึง ชั้นล่างห้องนึง
ผนังแข็งแรง แต่บางเฉียบ เราได้เตียงบน ห้องติดกันเตียงล่าง แค่คุยโทรศัพท์ยังเกรงใจจ
แต่สีทนได้ค่ะ ทนไปค่ะ สู้ เมากลับห้องก็คือนอนพื้นข่ะ เคยปีนไปแล้วตก หลอนมาก
สภาพอากาศ
หนาวมากแม่! เราเคยมาเที่ยวฮอกไกโดครั้งนึงแล้ว รู้แหละว่าหนาว แต่พอมาอยู่ มันต่างจากแค่มาเที่ยวจริงๆ
เราเอาเสื้อขนแกะ บุอุ่นด้านใน มาตัวนึง กับกองทัพ Heattech แล้วก็มีไปซื้อแจคเกต เสื้อโค้ท ร้านมือสอง สภาพดีมาก มาใช้บ้าง
4 ฤดูที่นี่ มีแค่ฤดูร้อนเท่านั้นที่ร้อนตับจะแตก ประมาณ เดือนกว่าๆ เกือบ สองเดือน แบบห้องไม่มีแอร์ ตั้งไปซื้อพัดลมมากัน
ร้อนจะตาย บอกเลย แต่พอฤดูอื่นเช่น ใบไม้ผลิ ใบไม้ร่วง จะอากาศดีมาก เย็นๆ สบายๆ พอหน้าหนาวก็หน๊าวหนาวหนาว
ร้อนทีขึ้นไปถึง 37 หนาวทีลงไปถึง -26 ร่างกายงงค่ะ สับสนไปหมดแล้ว
การใช้ชีวิต
พอไปอยู่จริงๆ ค่าใช้จ่ายบานเบอะกว่าที่คิด (ไม่ค่อยสงสัย)
หลักๆ ค่าใช้จ่ายที่สูงของเรา คือ ของกินค่ะ เราทำทำกับข้าวไม่เป็น เลยไปกินที่ร้านบ่อย
แถมสายดื่มอีก ดื่มที ก็เบียร์ทั้งแพคไปเลย กินจนเจ้าของหอกุมขมับบบบ
ทุนนี้ได้เงินใช้ด้วยนะคะ เป็นเงินเข้าบัตรเมืองซึ่งสามารถใช้กับซุปเปอร์ หรือร้านอาหารในเมืองที่ร่วมโครงการค่ะ
ได้เดือนละ 8,000 เยน ก็ไม่ได้มากอะไร แต่ก็ซื้อของมาทำกับข้าวเสาร์ อาทิตย์ได้พออยู่นะ สำหรับเรา
อีกเรื่องคือค่าไฟค่ะ แรกๆ เราไม่รู้ว่าการเปิดฮีตเตอร์เนี่ย มันกินไฟมาก พอค่าไฟเดือนแรกออกมา
ลมแทบจับ! เพราะความที่มันหนาวมากเนอะ เราก็ไม่รู้อีกว่ากินไฟ ลองไปสักเดือน สองเดือน ไม่ไหวแล้ว แพง
ก็แก้ปัญหาค่าไฟด้วยการ นั่งอ่านหนังสือที่โรงอาหารจนเวลาปิด เปิดฮีตเตอร์แค่ 30 นาทีก่อนนอน
ห่มผ้าหนาๆ หลายๆชั้น สรุป ค่าไฟก็จ่ายน้อยลงในเดือนต่อๆ มา ค่ะ
แก้ปัญหาเงินขาดมือด้วยการทำงานพิเศษ จะทำงานพิเศษได้ ต้องเรียนครบ 3 เดือนก่อนค่ะ
เอ้อ ! ถ้าจะทำงานพิเศษ ต้องกรอกเอกสารแจ้งทางตม.ก่อนนะคะ จะได้ประทับตราในไซริวการ์ด (บัตรต่างด้าว)
ถ้าไม่มีตรานี้จะทำงานพิเศษไม่ได้ค่ะ ทำงานได้สัปดาห์ละ 28 ชั่วโมง ช่วงหยุดยาวได้เยอะขึ้นค่ะ
งานพิเศษนี่ถ้าทำเต็มที่ได้เดือนละ100,000เยนขึ้นเลยนะ แต่เราต้องอ่านหนังสือด้วย เลยทำแค่พอใช้ค่ะ
*ความรู้สึกหลังทำงานพิเศษคือ ที่ญี่ปุ่น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเรียน หรือคนทำงาน คุณมีโอกาส และมีเงินพอ
ที่จะทานข้าวร้านอาหารดีๆได้ เท่ากัน เพราะงานพิเศษได้เงินไม่น้อยค่ะ เด็กๆ เริ่มทำงานตั้งแต่ม.ปลาย
เก็บเงินไปเที่ยวกัน ไปทานอาหารดีๆกัน เห็นแล้ว รู้สึกดีปนเศร้าค่ะพอคิดถึงตอนตัวเองทำงานพิเศษที่ไทย
ปัญหาที่เจอตอนทำงานพิเศษ
แน่นอนว่าเป็นเรื่องการสื่อสารค่ะ เราทำงานร้านซูชิโระ เราทำงานตั้งแต่ภาษายังไม่แข็งแรง
(ทุกวันนี้ก็ยังไม่แข็งแรง) เลยมีสื่อสารผิดพลาดบ้างค่ะ แต่ไม่เคยแปะหน้าซูชิผิดนะ 55555
มีแต่ฟังคำสั่ง หรือการพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานและหัวหน้าลำบากหน่อย
มีการเหยียดบ้าง แบบว่าเราทำส่วนนี้อยู่ ก็มีคนญี่ปุ่นบอกว่า ชั้นจะทำตรงนี้ เทอไปทำข้างหลังไป
คือนางจะทำกับเพื่อน แล้วก็พูดภาษาญี่ปุ่น ว่าเราไม่ดี อันนี้คือพอฟังเข้าใจบ้างนะคะ แต่ก็ไม่ได้สนใจ
อีกเรื่องคือสังขารค่ะ เราไม่ใช่เด็กจบใหม่เนอะ มีอายุเล็กน้อย ต้องยืนติดกัน 4-5 ชั่วโมง เราปวดหลังมาก
แต่ก็ทนทำไป เพราะได้เงินเยอะ ยิ่งช่วงหยุดยาวได้เพิ่มด้วย เลยทำไปค่ะ ฝึกตัวเองด้วย
อีกเรื่องคือการเดินทาง จากเมืองที่เราอยู่ ไปตัวเมืองใหญ่ ต้องนั่งบัสไปค่ะ ไม่มีรถไฟ
แล้วรอบรถคือน้อยมากๆ ต้องจัดการกะที่จะลงที่ร้านให้ดีๆ เอาจริงนะ เดินทางเหนื่อยกว่าทำงานอีก
สุดท้ายเราลาออกจากงานก่อนเข้าหน้าหนาวสุดท้าย เพราะไม่ไหวจริงๆ
การเรียนที่โรงเรียน
ก่อนเริ่มเรียนจะมีสอบวัดความรู้ค่ะ แต่เราเลือกได้ว่าอยากเรียนคอร์สเริ่มแรกไหม
ตัวเราเลือกเรียนคอร์สที่เริ่มตั้งแต่แรกเลย เพราะอยากทวนที่เคยเรียนเองมาด้วยค่ะ
มาเริ่มเลยค่ะ あ い う え お
อ่านหนังสือทุกวัน ทำงานพิเศษ แทบทุกวัน เหนื่อยแต่สนุกค่ะ
เรียนทั้งหมดประมาณ 1 ปี 3 เดือน แต่สอบ JLPT รอบสุดท้ายที่ 1 ปีค่ะ
เราไปญี่ปุ่นด้วย N5 เรียน 1 ปี ได้ N2 ค่ะ เหนื่อยแบบว่า พูดไม่ถูกเลย
ครั้งแรกสอบ N3 ผ่านปริ่มเลยค่ะ ครั้งที่สอง สอบ N2 คะแนนสูง ตกใจ เฮ้ย ได้พาร์ทฟังเต็ม!
ตื้นตันใจพูดไม่ออกเลย อันนี้ยกความดีความชอบให้แฟนไต้หวันนะคะ เพราะต้องคุยกันเป็นภาษาญี่ปุ่น
เลยเหมือนได้ฝึกไปในตัวว (แหม จะอวดใช่ไหมจริงๆ แล้ว หน็อยยย)
แต่ว่านะคะ ข้อเสียของการเรียนเร็วเกินไป คือการไม่เข้าใจไปถึงรากของภาษาที่แท้จริงค่ะ
เราพูดได้ เขียนได้ อ่านได้ ฟังได้ แต่พูดยังไงดี มันไม่เหมือนกันการซึมซับการเรียนภาษาอังกฤษมาหลายๆปีอะ
ตอนนี้เราเลยยังเรียนอยู่แบบ เริ่มเรียนของ N3 ใหม่เลย ออนไลน์ (ฮ่าๆ)
โรงเรียนเราสอน N5/N4 ด้วย มินนะ โนะ นิฮงโกะ ส่วน N3/N2/N1 เรียนด้วย Shinkanzen master ค่ะ
อื่นๆ ก็จะมีเรียนคำศัพท์ เรียนการอ่าน การฟัง เรียนคันจิ (มีแค่แรกๆ หลังๆต้องฝึกเอง) เรียนพูดจะน้อยค่ะ เน้นสอบ
มีสอบจำลอง JLPT บ่อยมาก มากจนหลอน คะแนนแปะหน้าห้อง รู้หมด อายมาก
แต่ดีค่ะ ได้รู้ว่าเราอ่อนอะไร เราเนี่ยคลังคำศัพท์ในหัวน้อยมาก จนถึงทุกวันนี้ ฮื่อ
เพื่อนๆที่เรียนด้วยกันก็มีหลากหลายเชื้อชาติค่ะ เช่นไทย จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เวียดนาม อุซเบกิสถานยังมี
ถ้าเรียนคลาสเดียวกัน ก็อยู่ด้วยกันแบบนั้นไปจนเรียนจบค่ะ เลยสนิทกันมาก
กิจกรรมต่างๆ ของรรเราจะ น้อยกว่า รรในเมือง เพราะรรเราไม่มีตังนั่นเอง แฮ่!
อีกอย่างคือมีโควิดด้วย เลยงดกิจกรรมไปเยอะเลย เศร้า ยังดีก่อนเรียบจบจัดกีฬาสีได้งานนึงงงง
นอกนั้นก็มีไปเที่ยวกันเอง แรกๆ หอไม่ปล่อย กลัวเอาโควิดกลับมา แต่หลังๆ ยอมปล่อยบ้าง
ก็ไปเที่ยวกันค่ะ เช่ารถไป (คนไทยเช่าไม่ได้นะคะ เพราะว่าไม่ใช่วีซ่าท่องเที่ยว ใช้ใบขับขี่สากลไม่ได้)
แต่คนไต้หวันเช่าได้นะคะ กฎการขับขี่เขาเหมือนกัน เลยใช้ใบขับขี่ร่วมกันได้
เราก็บังคับเพื่อนให้พาไปเที่ยวกันนะคะ จ่ายค่าน้ำมันให้ หารกัน ไปคันละ 5 คน สนุกมากก
ไปบ่อน้ำสีฟ้ามั่ง ไปสวนสัตว์มั่ง ดูเพนกวินพาเหรด น่ารักมากๆค่ะ
วันสุดท้ายของการเรียนไปถึงพิธีจบการศึกษา จะมีเวลาพักค่ะ บางคนก็ไปเที่ยวโอซาก้า
บางคนไปเที่ยวโตเกียว บางคนไปสัมภาษณ์งาน บางคนอยู่หอ มารวมตัวเล่นกันที่ส่วนกลาง
หลังจากพิธีจบการศึกษายังอยู่ญี่ปุ่นได้อีกหน่อยนึง ก็แยกย้ายกันค่ะ
กลุ่มคนไทย ก็มีทั้งกลับบ้าน ทำงานต่อ เรียนต่อ ซึ่งรรเราเนี่ย เป็นเซมมงดูแลคนแก่ด้วยนะคะ
สามารถเรียนต่อได้ น่าจะเรียนต่อ 2 ปี เรียนฟรี หอฟรี เรียนจบบังคับทำงานฮอกไกโด 2 ปี ได้เงินเดือนปกติค่ะ
นอกจากนี้ถ้าอยากต่อเซมมงสาขาอื่นก็สามารถสมัครสอบได้ปกติค่ะ
ตอนแรกเราไม่คิดจะหางานที่ญี่ปุ่นเลย กะจะกลับบ้านไปทำงานที่ไทย
แต่บังเอิ๊ญญญญ เรียนๆไป ดั๊นนนมีแฟนเป็นคนไต้หวัน ซึ่งเด็กกว่า และกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยที่โตเกียว
ด้วยความที่เราก็นะ ครอบครัวก็สำคัญ แต่ ..ผู้ชายก็สำคัญไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่ เลยยกหูหาแม่
"แม่ ไม่กลับละนะ จะหางานที่นี่ เดี๋ยวบินกลับไปหาบ่อยๆ น้าค้า" วางสาย แม่ทักไลน์มาสวดต่อ
เห็นผู้ชายสำคัญกว่าแม่ ในใจตอบว่าใช่ค่ะ แต่จริงๆ พิมพ์ไปง้องอนแม่อยู่นานสองนาน
หลังจากตรากตรำสัมภาษณ์ ท้อแล้วท้ออีก ก็ได้งานจนได้ค่ะ วันนี้เขียนแค่ตอนเรียนพอก่อน
ถ้าว่างอีกจะเขียนช่วงทำงานต่อนะคะ วันนี้ ขอบคุณที่สนใจกระทู้ และอ่านจนจบค่า
ไม่แน่ใจว่าผิดกฎไหม เลยไม่ได้แปะลิงค์เพจทุนค่ะ ถ้าใครสนใจก็หลังไมค์มานะคะ