JJNY : 5in1 พิธายันไม่จริง โทร.ไปขอเสียงส.ส.│‘อดีต พธม.’ได้กลิ่นคาว│ที่อยู่ร่วงแรง│ขึ้นอย่างต่อเนื่อง!│ร้อนแผดเผา 3 ทวีป

พิธา ยันไม่จริง โทร.ไปขอเสียงส.ส. ปัดดึงพรรคขั้วเดิมมาร่วมรัฐบาล แจงปมงูเห่า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_7770574
 
 
พิธา ยันไม่จริง โทร.ไปขอเสียงส.ส. ปัดดึงพรรคขั้วเดิมมาร่วมรัฐบาล แจงปมงูเห่า ก้าวไกลตรวจสอบและติดตามตลอด เชื่อมีบทเรียนจากงูเห่าก่อนหน้านี้
 
เมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 17 ก.ค.66 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกฯ พรรคก้าวไกล แถลงหลังการประชุม 8 พรรคร่วมรัฐบาล โดยนายพิธากล่าวว่า สำหรับการหารือของ 8 พรรค มีข้อสรุป 3 ข้อด้วยกัน โดยข้อ 1 มติของ 8 พรรค เสนอตนเป็นนายกฯ คนที่ 30 โดยจะโหวตรอบ 2 ข้อ 2 จากนั้นหารือถึงเรื่องมาตรา 272 ของพรรคก้าวไกล โดยพรรคเสนอเอง ไม่เกี่ยวข้องกับอีก 7 พรรคที่เหลือ
 
ข้อ 3 เป็นประเด็นข้อบังคับที่ 41 ที่มีข่าวออกมาว่าส.ว.จะตีความและมีความเห็นทางกฎหมาย คิดว่าไม่น่าจะเข้าข้อบังคับนี้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ไม่ถือเป็นญัตติ แต่ถือเป็นการเสนอผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเห็นต่างจากวุฒิสภา
 
นายพิธา กล่าวว่า ถ้าสมรภูมิแรกไม่มีคะแนนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ตนก็จะถอยให้กับพรรคอันดับ 2 ตามเอ็มโอยูเดิมของ 8 พรรคร่วม นั่นคือ พรรคเพื่อไทย โดยยืนยันมาตรา 272 ดำเนินการโดยพรรคก้าวไกล พรรคเดียวไม่เกี่ยวกับพรรคอื่น โดยวันที่ 18 ก.ค.จะประชุมกับวิปอีกครั้ง ซึ่งต้องรอฟังทางวิปอีกฝั่งด้วย โดย 8 พรรคยืนยันยังจับมือ ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี ยังส่งตนอีกครั้งและจะให้เวลาอย่างเต็มที่
 
เมื่อถามว่าในที่ประชุมเตรียมชื่อสำรองไว้หรือไม่ ในกรณีที่เสนอชื่อนายพิธาไม่ได้ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ นายพิธา กล่าวว่า ยังไม่มีเตรียมไว้ ยังเป็นชื่อตนคนเดียว ส่วนเรื่องการคุยกับส.ว.นั้น หลังจากวันที่ 13 ก.ค. ยังมีการพูดคุยเพิ่มเรื่อยๆ และยังมีโอกาสคุยกับส.ว.ที่ไม่มาโหวต ทราบว่าแต่ละคนติดภารกิจไปต่างประเทศ โดยเชื่อว่าครั้งนี้จะมาลงคะแนนให้
 
เมื่อถามถึงกรณีต่อสายไปยังพรรคร่วมรัฐบาลเดิม มีท่าทีกลับมาอย่างไร นายพิธา กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะจะหารือทางการเมืองกับเพื่อนๆ พี่ๆ  ส.ส.และส.ว.เวลาเดินผ่านในสภาฯ แต่ไม่ได้เชิญเข้าร่วมรัฐบาล แค่แลกเปลี่ยนประเด็นการเมืองเท่านั้นว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร โดยได้คุยทุกพรรคว่าสถานการณ์เป็นยังไง ยกเว้นพรรคลุงที่ไม่ได้คุย
 
เมื่อถามถึงประเด็นที่ระบุนายพิธาโทร.ไปขอเสียงให้มาโหวตให้ นายพิธา กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียด คอมเมนต์ไม่ได้ ไม่น่าจะจริง
เมื่อถามว่าตัวเลขในการโหวตรอบ 2 ที่ว่าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ควรเป็นที่ตัวเลขเท่าไร นายพิธา กล่าวว่า ถ้าให้เหมาะสมต้องขึ้น 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ เป็น 345 เสียง ไม่ได้ตั้งใจว่าจะกั๊กอะไร
 
เมื่อถามถึงการโหวตรอบ 2 จะมีการเสนอชื่อแข่ง นายพิธา กล่าวว่า เท่าที่ฟังการสัมภาษณ์ของหลายพรรค ทุกคนพูดว่ารัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นไปไม่ได้
นายพิธา กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นงูเห่านั้น พรรคก้าวไกลตรวจสอบและติดตามตลอด เชื่อว่ามีบทเรียนจากงูเห่าก่อนหน้านี้ ที่ผลเลือกตั้งออกมาได้คะแนนเพียง 1 พันกว่าคะแนน ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนแล้ว



‘อดีต พธม.’ ได้กลิ่นคาว ก้าวต่อไปต้องรอบคอบ! ไม่อยากเห็น ‘นกพิราบ’ ถูกสังหารกลางถนนอีก
https://www.matichon.co.th/politics/news_4084262

‘อดีต พธม.’ ได้กลิ่นคาว ก้าวต่อไปต้องเคลื่อนไหวให้สุขุม-วอนผู้มีอำนาจครั้งสุดท้าย ไม่อยากเห็นนกพิราบ ถูกฆ่ากลางถนน-หยุดปลุกปั่น
 
เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา นายอมร อมรรัตนานนท์ แกนนำแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ร่วมกิจกรรม แถลงการณ์วิพากษ์สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งจัดขึ้นโดยคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

โดยในตอนหนึ่ง นายอมรกล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากที่สมาชิกวุฒิสภาไม่เห็นชอบและงดออกเสียงโหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย ในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา
 
นายอมรกล่าวว่า วันนี้พวกเขาก็เข้ามาอยู่ในกรอบ สู้ในระบบรัฐสภา และข้อเสนอล่าสุดคือการเสนอให้เลิกมาตรา 272 เป็นข้อเสนอที่ต่ำที่สุด เป็นข้อเสนอที่บอกตรงๆ ว่าไม่ควรมีมนุษย์หน้าไหนปฏิเสธในการเปลี่ยนแปลง
 
ก่อนหน้านั้นที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ พวกคุณไม่ยอมแก้ไขยังพอเข้าใจได้ แต่วันนี้เมื่อมีการเลือกตั้ง ฉันทามติของประชาชน 14 ล้านคน พวกคุณยังบอกเป็นเสียงส่วนน้อย มันไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะปิดสวิตช์ตัวเอง ด้วยการลงมือโหวตยกเลิกมาตรา 272 เป็นปลายทางและเป็นทางออกของสังคมไทย เรื่องวันที่ 19 ก.ค. ผมไม่คาดหวัง ผมคิดว่าการกดปุ่มของบรรดา ส.ว.ในการคัดค้านการดำรงตำแหน่งของคุณพิธา ยังคงดำรงอยู่ แต่ก็อาจจะเห็นอีกมิติหนึ่งที่ ส.ว.บางส่วนที่สำนึกและตระหนักรู้ เมื่อกระบวนการประชาชนในวันนี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปมีการเคลื่อนไหว ขอความร่วมมือให้พวกเขาเปิดพื้นที่ให้ประชาธิปไตยมันเกิด แต่ก็เป็นแค่ความคาดหวัง จะเกิดหรือไม่เกิด 19 ก.ค.นี้รู้กัน
 
การที่ก้าวไกลเสนอญัตติแก้ไข ม.272 เป็นความชอบธรรมและเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ที่ผู้มีเกียรติและศักดิ์ศรีซึ่งเรียกว่า ส.ว.นั้น จำเป็นที่จะต้องหันมาโหวตสนับสนุน เพราะคุณเองก็รู้หน้าที่ ส.ว.ของอารยประเทศ ไม่มีประเทศไหนมีอำนาจในการเลือกตั้งนายกฯ” นายอมรชี้
 
นายอมรกล่าวต่อไปว่า จะมาอ้างขอเวลา 8-9 เดือนที่เหลืออยู่ ก็เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ขอเรียกร้องบรรดาขบวนการเยาวนชนคนหนุ่มสาว กระแสลมแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างที่น้องๆ หลายคนพูด ได้เกิดขึ้นแล้ว
 
สายลมที่กำลังโหมกระหน่ำ พัดพาเอาสิ่งที่มันเป็นปัญหาของสังคมไทย กำลังเกิดขึ้น แต่อย่าคาดหวังภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสังคมที่หยั่งรากลึกของกลุ่มอำนาจเก่า ที่ฝังมากว่า 80-90 ปี ว่าเขาจะยอมถอยง่ายๆ” นายอมรกล่าว
 
นายอมรกล่าวอีกว่า ตามสุภาษิตไทย สองคนร่วมคิด การที่เราสุมหัวกันเป็นกลุ่ม เป็นเครือข่าย เป็นองค์กรทางความคิด และมีเป้าหมายร่วมกันชัดเจนว่าเราต้องการเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทย และจะต้องทำให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชน ต้องมีพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริงเกิดขึ้น ซึ่งจัดตั้งทางความคิดอย่างเดียวไม่พอ
 
ทุกวันนี้น้องๆ บรรลุเป้าหมายนี้แล้ว 14 ล้านคนวันนี้เป็นปรากฏการณ์ที่พัฒนา เรียกว่ายกระดับในเชิงคุณภาพ ดูการชุมนุมแฟลชม็อบก็ได้ เมื่อปี 63 เราจะเห็นแต่เด็กๆ แต่เดี๋ยวนี้เราเห็นพ่อยก แม่ยก คนผู้เฒ่ารุ่นราวคราวเดียวกับผมเข้าร่วมมากขึ้น เป็นเพราะว่าได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น และข้อเท็จจริงเกิดขึ้นแล้ว” นายอมรระบุ
 
นายอมรกล่าวอีกว่า ฉะนั้น ก้าวต่อไปต้องเคลื่อนไหวให้สุขุมรอบคอบ และต้องมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าเราต้องเปลี่ยนให้ได้ แต่ระยะเวลานั้นต้องประเมินจากข้อเท็จจริง ในสภาพความเป็นจริงของสังคม ไม่ได้เรียกร้องให้หยุดการต่อสู้ ต้องสู้ต่อ ต้องเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง แต่เดินหน้าภายใต้กรอบคิดที่มีกระบวนการร่วมกันคิด เดินหน้าไม่ให้เข้าไปเป็นเหยื่อ
 
ผมบอกตรงๆ ว่า ผมขอครั้งสุดท้ายของสังคมไทย ผมไม่อยากเห็นการฆ่านกพิราบกลางถนนอีกแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมฝากผู้มีอำนาจรัฐ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูก เป็นหลานเรา คุณจะกินเลือดกินเนื้อเขาอีกหรือ เพราะฉะนั้นหวังไว้ว่า สังคมไทยในยุคของผม คงไม่อยากเห็นความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เกิดการเข่นฆ่ากัน และการเข่นฆ่ากันด้วยอำนาจรัฐก็พอจะเข้าใจได้ว่าพวกคุณปกป้องผลประโยชน์ของคุณ ถึงแม้มันจะไม่ชอบธรรม
 
อย่าได้สร้างสื่อมวลชน อย่าได้สร้างสื่อเทียมขึ้นมาเพื่อปลุกปั่นประชาชนให้เข่นฆ่ากันเองอีกเลย ผมผ่านความเจ็บปวดในยุค 6 ตุลา มาแล้ว ที่คนไทยฆ่าคนไทยกันเอง” นายอมรเผย
 
นายอมรกล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้เหตุการณ์ครั้งนั้นมันจบในวันนี้
 
พวกเขาก็ไม่หยุด แต่ผมขอว่า วันนี้ทบทวนเถอะ อย่าเลย จะใช้นิติประหาร ใช้นู่นใช้นี่ ความชอบธรรมคือสิ่งที่สังคมจะเรียนรู้ เขาจะตราหน้าพวกคุณเอง แต่ถ้าคุณใช้คนไทยฆ่าคนไทย คุณก็จะไม่มีแผ่นดินอยู่” นายอมรกล่าว



ยอดขายที่อยู่อาศัยร่วงแรงกว่า 29% สต๊อกเหลืออื้อ เปิด 5 โซนบ้าน-คอนโดขายดีขายอืด
https://www.matichon.co.th/economy/news_4084765

ยอดขายที่อยู่อาศัยร่วงแรงกว่า 29% สต๊อกเหลืออื้อ เปิด 5 โซนบ้าน-คอนโดขายดีขายอืด
 
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและอาคารชุด ที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย ในกรุงเทพฯและ 5 จังหวัดปริมณฑล ในไตรมาส 1 ปี 2566 มีการเสนอขายที่อยู่อาศัยรวม 204,226 หน่วย ขยายตัว 2.3% มูลค่า 989,251 ล้านบาท ขยายตัว 4.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในจำนวนนี้เป็นหน่วยเปิดตัวใหม่ 21,680 หน่วย หรือ 10.62% มูลค่า 82,246 ล้านบาท หรือ 8.31% ซึ่งมีจำนวนลดลง 26% และมูลค่าลดลง 22.5% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และดูยอดขายใหม่ที่เกิดในไตรมาสอยู่ที่ 21,291 หน่วย มูลค่า 105,768 ล้านบาท พบว่าพบว่าหน่วยลดลง 29.1% และมูลค่าลดลง 22% และมีอัตราการดูดซับที่ปรับตัวลดลงจาก 3.5% ต่อเดือน หรือระยะเวลาขายหมด 26 เดือน

แสดงให้เห็นว่าภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปรับตัวลงค่อนข้างแรง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการปรับตัวลงของยอดขายอาคารชุด ประกอบกับส่วนต่างของหน่วยเปิดตัวใหม่มากกว่าหน่วยที่ขายได้ใหม่ในไตรมาสนี้ มีจำนวนเพิ่มขึ้น 389 หน่วย ส่งผลให้หน่วยที่เหลือขายภาพรวมแนวราบและอาคารชุดในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 182,935 หน่วย มูลค่า 883,484 ล้านบาท ขยายตัว 7.8% และ 9.4% ตามลำดับ จากไตรมาส 1 ปี 2565” นายวิชัยกล่าว
 
นายวิชัยกล่าวว่า เมื่อแยกเฉพาะตลาดบ้านแนวราบในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑลในไตรมาส 1 มีเสนอขาย 124,723 หน่วย ขยายตัว 6.9% มูลค่า 679,672 ล้านบาท ขยายตัว 13% และเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่เสนอขายมากสุด ส่วนการเปิดตัวใหม่อยู่ที่ 8,699 หน่วย หรือ 6.97% มูลค่า 51,473 ล้านบาท หรือ 7.57% มีจำนวนหน่วยลดลง 16.8% และมูลค่าที่ลดลง 12.8% โดยทาวน์เฮาส์ลดลงมากสุด ทำให้หน่วยที่เหลือขายของแนวราบ ในตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 113,142 หน่วย มูลค่า 610,073 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% และ 14.7% ตามลำดับ
 
นายวิชัยกล่าวว่า ส่วนโซนมียอดขายและอัตราดูดซับสูงสุด ได้แก่ บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ยอดขาย 2,674 หน่วย มูลค่า 16,579 ล้านบาท, เมืองสมุทรปราการ-พระประแดง-พระสมุทรเจดีย์ ยอดขาย 1,477 หน่วย มูลค่า 5,394 ล้านบาท, บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย ยอดขาย 942 หน่วย มูลค่า 5,521 ล้านบาท, คลองสามวา-มีนบุรี-ลาดกระบัง ยอดขาย 918 หน่วย มูลค่า 5,990 ล้านบาท และเมืองสมุทรสาคร ยอดขาย 821 หน่วย มูลค่า 3,091 ล้านบาท และมีทำเลต้องระมัดระวังเพราะยังมีหน่วยเหลือขายมาก ได้แก่ บางใหญ่-บางบัวทอง-บางกรวย-ไทรน้อย เหลือขาย 16,803 หน่วย มูลค่า 80,150 ล้านบาท, บางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง เหลือขาย 15,221 หน่วย มูลค่า 84,580 ล้านบาท, ลำลูกกา-ธัญบุรี เหลือขาย 13,726 หน่วย มูลค่า 54,287 ล้านบาท, คลองหลวง-หนองเสือ เหลือขาย 12,146 หน่วย มูลค่า 43,574 ล้านบาท และเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก เหลือขาย 10,021 หน่วย มูลค่า 40,796 ล้านบาท

นายวิชัยกล่าวว่า ส่วนตลาดอาคารชุดไตรมาสแรกมีการเสนอขาย 79,503 หน่วย ลดลง 4.3% มูลค่า 309,579 ล้านบาท ลดลง 9.5% ในจำนวนนี้เป็นการเปิดตัวใหม่ 12,981 หน่วย หรือ 16.33% ลดลง 31.1% มูลค่า 30,773 ล้านบาท หรือ 9.94% ลดลง 34.7% ขณะที่มียอดขาย
ใหม่ 9,710 หน่วย ลดลง 48.9% มูลค่า 36,169 ล้านบาท ลดลง 45.2% มีอัตราการดูดซับทรงตัวอยู่ในระดับ 4.1% ต่อเดือน หรือจะขายหมดในเวลา 21 เดือน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่